Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 21 การลอบสังหารนอกหอม่านเมฆ
ณ หอสุราแห่งหนึ่งไม่ห่างจากหอม่านเมฆนัก ภายในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง บนโต๊ะมีสุราอาหารชั้นเลิศวางอยู่พร้อมแล้ว มีเพียงกานก้านเสวียนั่งอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว
ร่างกายอ้วนพีของเขานั่งอยู่บนม้านั่งนั้น มิได้หาหญิงรับใช้คนงามคนใดมาอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาดื่มสุราไปพลาง มองดูนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ ไปพลาง สายตาจับจ้องมองไปยังทิศทางของหอม่านเมฆที่อยู่ไกลออกไป เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าแผนการลอบสังหารในคราวนี้นั้นมีความสำคัญมากมายเพียงใด อย่างน้อยสำหรับเขาคนนี้ก็เป็นการตัดสินความเป็นความตายของเขาเลยทีเดียว! เขาไม่มีทางปล่อยให้ล้มเหลวโดยง่ายอย่างแน่นอน
“ข้ามีโอกาสนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากคราวนี้คว้าน้ำเหลว ทั้งตระกูลอิงซานก็จะต้องเดือดดาล ย่อมไม่มีทางให้ข้าหาโอกาสได้อีกเป็นครั้งที่สองอยู่แล้ว เจ้านายก็ไม่มีทางให้โอกาสข้าอีกครั้งเช่นกัน” กานก้านเสวียเอ่ยพึมพำ
เอี๊ยด
ประตูห้องส่วนตัวถูกผลักเปิดออก ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ชายหนุ่มร่างผอมผู้นี้มีกลิ่นอายของขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่รางๆ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง พลางหมุนมีดสั้นในมือเล่นตามอำเภอใจ
เมื่อกานก้านเสวียมองเห็นผู้มาก็ยืดกายขึ้นต้อนรับด้วยดวงตาเป็นประกายในทันใด แล้วเอ่ยอย่างประจบประแจงอยู่บ้างว่า “พี่เหนียน”
“อืม” ชายหนุ่มร่างผอมนั่งลงตามสบาย “อีกประเดี๋ยวก็จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วหรือ ข้ารับภารกิจนี้ของเจ้า ก็รั้งรออยู่ที่เมืองอัคคีโชตินี่มานานถึงห้าล้านปีแล้ว”
“ลำบากพี่เหนียนแล้ว ตอนนี้เจ้าเด็กโง่เง่าผู้นั้นก็อยู่ภายในหอม่านเมฆ” กานก้านเสวียพูด “ฉุนอวี้เฟิง อิงซานเลี่ยฮู่ กับคนอื่นๆ ต่างก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้าเด็กโง่เง่าผู้นั้น รอให้เขาออกมา ก็เป็นเวลาลงมือของพวกเราแล้วล่ะ”
บริเวณโดยรอบทั้งหมดมีการป้องกันและการตัดขาด โลกภายนอกไม่มีทางตรวจสอบการสนทนาที่นี่ได้เลย
ชายหนุ่มร่างผอมพยักหน้า ”วางใจเถิด พอถึงเวลานั้นข้าจะสังหารอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นให้ได้”
“พี่เหนียน เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันถึงชีวิตของน้อง ขอพี่เหนียนกรุณาด้วย” กานก้านเสวียเอ่ยอย่างอดมิได้
“หึ ข้าไม่สนใจชีวิตเจ้าหรอกนะ ขอเพียงแค่จำเอาไว้ให้ดีว่าหลังเสร็จงานแล้วก็ต้องจ่ายข้ามาอีกสิบสองล้านแก้วผลึกจักรวาลด้วย” ชายหนุ่มร่างผอมพูด
กานก้านเสวียพยักหน้า “แน่นอน”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในแผนการนี้ของเขาก็คือการเชิญ ‘เหนียนจิ่ว’ มือสังหารผู้น่าหวั่นเกรงจากทะเลสาบมารทมิฬตรงหน้าผู้นี้มา การจะเชิญให้เขาลงมือได้นั้นก่อนอื่นต้องจ่ายแปดล้านแก้วผลึกจักรวาล หากลอบสังหารล้มเหลว ทั้งหมดก็ไม่เป็นอันต้องพูดถึงอีก แต่หากงานสำเร็จก็ยังต้องจ่ายอีกสิบสองล้านแก้วผลึกจักรวาล! หรือพูดได้ว่าลำพังเพียงแค่ ‘เหนียนจิ่ว’ ผู้นี้เพียงคนเดียว หากแผนลอบสังหารสำเร็จก็ต้องจ่ายถึงยี่สิบล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินในมือของกานก้านเสวียทั้งหมดก็เพียงแค่เกินสิบห้าล้านแก้วผลึกจักรวาลมาหน่อยเดียวเท่านั้น
เพื่อแผนลอบสังหารในครั้งนี้
เขาก็ได้ใช้จ่ายทรัพย์สินไปจนหมดสิ้น แปดล้านแก้วผลึกจักรวาลที่จ่ายไปล่วงหน้า ทั้งยังมีกลเม็ดอื่นๆ ที่ตระเตรียมเอาไว้อีก ทรัพย์สินถูกใช้จ่ายไปจนหมดสิ้นแล้ว! แม้กระทั่งเงินออมของตนเองก็เอามาใช้ไปบางส่วนแล้ว ถ้าหากสำเร็จ ถึงเวลานั้นเขาก็ยังต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดของตนไปชดเชยด้วย หรือแม้กระทั่งยังต้องหยิบยืมแก้วผลึกจักรวาลจำนวนหนึ่งจากเพื่อนร่วมสำนักด้วย
“ขอเพียงแค่แผนลอบสังหารสำเร็จ ก็จะคุ้มค่ากับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ด้วยความดีใจของเจ้านาย เผลอๆ อาจตกรางวัลให้อย่างยิ่งใหญ่ก็ได้” กานก้านเสวียเอ่ยพึมพำ
กาลเวลาเคลื่อนผ่านไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้มลง
กานก้านเสวียดื่มสุราเป็นเพื่อนเหนียนจิ่ว พวกเขาสองคนก็มิได้พูดอะไรกันอีก
“หืม” เหนียนจิ่วมองไปยังด้านนอก
“ออกมาแล้วสินะ” ร่างกายของกานก้านเสวียถึงกับสั่นสะท้าน จ้องมองคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาด้านนอกหอม่านเมฆที่อยู่ไกลออกไปผ่านช่องหน้าต่าง หนึ่งในนั้นก็มีหนุ่มน้อยผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวที่ถูกห้อมล้อมอยู่คนหนึ่ง
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่หล่อเหลางดงามคนหนึ่งโดยแท้ พลังยุทธ์ของตัวเขาเองไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย ข้าเองก็บดขยี้จนตายได้โดยง่าย แต่เกรงว่าท่านโหวหั่วเลี่ยจะต้องจัดเตรียมวิธีการมากมายเพื่อปกป้องเขาอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย หากข้าลงมือเขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอน” เหนียนจิ่วลุกขึ้น ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ออกจากหน้าต่างมาแล้วร่อนลงบนพื้นถนนของโลกภายนอกแล้วเดินเล่นอยู่ข้างนอกอย่างผ่อนคลาย คล้ายกับเป็นหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนท้องถนน
กานก้านเสวียกระวนกระวายจนลืมหายใจ
ช่วงเวลาชี้ชะตาชีวิตของเขามาถึงแล้ว!
“เตรียมตัวกันให้ดี เมื่อใดที่เขามาถึงที่นี่ก็ตรงเข้าไปลงมือในทันที” กานก้านเสวียออกคำสั่ง
……
สัตว์มังกรแปดตนลากรถม้าอันหรูหรานั้นเคลื่อนผ่านท้องฟ้า อิงซานเลี่ยฮู่พาตัวบุตรชายนั่งอยู่บนรถม้าอย่างผยองลำพองใจหาใดเปรียบ พวกเถียนอี้จือและสาวใช้เหยียนอวี๋ต่างก็ยืนอยู่ด้านข้าง เหล่าองครักษ์และเหล่าสาวใช้ต่างก็รอคอยอยู่รอบๆ
รถม้ามีความรวดเร็วอย่างที่สุด
“ลูกพ่อ หอม่านเมฆนี้ไม่ธรรมดาเลยใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่า ก็เป็นครั้งแรกที่พาเจ้ามา ยังมีของเลิศรสอีกมากมายที่ยังมิได้ให้เจ้าได้ลองลิ้มชิมรสดู” อิงซานเลี่ยฮู่ลอบพูดยิ้มๆ “ในภายหน้าลูกพ่อจะมาด้วยตนเองก็ได้ ผู้บำเพ็ญน่ะ ควรจะต้องเห็นอะไรๆ ให้มากสักหน่อย บุปผางามเคลือบยาพิษ ก็ต้องลองสัมผัสดู นี่ก็เป็นการขัดเกลาจิตใจเหมือนกันนะ”
“ใต้เท้าเลี่ยฮู่ขอรับ” เถียนอี้จือที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงต่ำ
อิงซานเลี่ยฮู่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วพูดกับเถียนอี้จืออย่างกระอักกระอ่วนว่า “ผู้อาวุโสเถียน ข้าก็เพียงแค่พูดเฉยๆ พูดเฉยๆ เท่านั้นเอง บุปผางามเคลือบยาพิษขัดเกลาจิตใจ ที่ข้าพูดก็มิผิดกระมัง” ขณะนี้อิงซานเลี่ยฮู่นึกเสียใจจนอยากจะตบปากตัวเองนัก เพราะว่าวาจาของเขา เกรงว่าเถียนอี้จือจะไปรายงานกับท่านโหว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ฟังอย่างเฉยเมยมาโดยตลอด
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบมองไปยังหอสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่ง ตั้งแต่จมดิ่งกับเคล็ดวิชาเขตพลังที่ได้ตระหนักรู้อย่างลึกลับในหอกด้ามนั้น เขาก็เป็นเลิศอย่างที่สุดในด้านการควบคุมห้วงอากาศ แม้กระทั่งในยามปกติเขาก็สามารถรับสัมผัสในบริเวณโดยรอบได้โดยอัตโนมัติ แล้วก็ค้นพบคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
“กานก้านเสวียหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบชายร่างใหญ่อ้วนพีที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างหอสุรา ชายร่างใหญ่อ้วนพีก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป กานก้านเสวียก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะคราหนึ่งด้วย
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจอีกต่อไป
เพราะเรื่องของสาวใช้เหยียนอวี๋นั้นเขาเคยสั่งให้คนไปตรวจสอบแล้วก็ได้รู้ว่ากานก้านเสวียผู้นี้ทำธุรกิจที่สกปรกบางอย่าง คนประเภทนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลย
ทันใดนั้น…
“ครืน”
ห้วงอากาศโดยรอบพลันสั่นไหว อาณาบริเวณกว้างโดยรอบต่างก็ได้รับแรงกดดัน
“แย่แล้ว” เถียนอี้จือตกตะลึงแล้วตะโกนว่า “ระวังด้วย ห้วงอากาศโดยรอบถูกกดดัน มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้”
“อะไรนะ” อิงซานเลี่ยฮู่ตื่นตระหนกในทันใด
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลำแสงต่อเนื่องสองสายพุ่งออกมาจากกลุ่มผู้บำเพ็ญบนถนนเบื้องล่างอย่างฉับพลัน ทว่าเถียนอี้จือและองครักษ์ติดตามเก้าคนกลับมีเกราะสีเงินปรากฏขึ้นบนผิวกายอย่างเปี่ยมทักษะยิ่ง ชุดเกราะสาดประกายประกายสีเงินสว่างวาบ กลายเป็นทรงกลมสีเงินขนาดใหญ่ล้อมรอบรถม้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่เอาไว้ ถึงแม้จะมีลำแสงสองสายและเคล็ดวิชาหมอกพิษที่แผ่ปกคลุมซึ่งศัตรูส่งมาทำการลอบสังหาร พวกเถียนอี้จือต่างก็ต้านรับเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ปัง…”
“ครืน”
ห้วงอากาศสั่นสะท้าน
“ลอบสังหารหรือ ถึงกับกล้าลอบสังหารลูกชายข้าเชียวหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่เดือดดาลจนหน้าถอดสีอีกทั้งยังกระวนกระวายอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าเขาจะมีองครักษ์อยู่เช่นกัน แต่กลับห่างชั้นกับองครักษ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเทียบไม่ติดเลย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ มีมือสังหารลอบสังหารเสวี่ยอิงขอรับ” อิงซานเลี่ยฮู่ถ่ายเสียงให้กับท่านโหวหั่วเลี่ยอย่างหาได้ยากยิ่ง ตามปกติแล้วเขาย่อมมิกล้ารบกวนท่านโหวหั่วเลี่ยอยู่แล้ว แต่ท่านโหวหั่วเลี่ยได้รับสารจากเถียนอี้จือมาก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าท่านโหวหั่วเลี่ยจะโมโหจนตัวสั่น แต่จวนโหวอยู่ห่างไกลจากสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเคลื่อนที่ในพริบตาไปได้ แต่ทุกครั้งที่เคลื่อนที่ในพริบตาก็มีระยะทางอันจำกัด หากจะไปก็ยังต้องใช้ระยะเวลาชั่วจิบชาถ้วยหนึ่ง
ต่อให้เข้าไปในระยะใกล้ บริเวณโดยรอบก็ถูกจำกัดการเคลื่อนที่ในพริบตา ก็ต้องเหาะเหินเข้าไปใกล้ๆ คิดอยากช่วยนั้นก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“บังอาจนัก!”
เสียงตะโกนอย่างเดือดดาลดังก้องฟ้าดิน
พลังฟ้าดินพลุ่งพล่าน พลังฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างบ้าคลั่ง แล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง ซึ่งก็คือร่างแปรที่สร้างขึ้นทันควันของท่านโหวหั่วเลี่ย แต่เพราะรวมตัวขึ้นมาโดยอาศัยพลังฟ้าดิน จึงต้องอาศัยเวลาชั่วขณะหนึ่ง
“ท่านโหวหั่วเลี่ย อย่านำร่างแปรนี้ของท่านออกมาเลย” ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนทั่วฟ้าดิน
ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งพลันบินโฉบบนท้องฟ้าแล้วกระแทกลงบนทรงกลมสีเงินยวงขนาดมหึมาที่เถียนอี้จือและองครักษ์ติดตามเก้าคนสร้างขึ้นในทันใด ในขณะที่กระแทกนั้น ชายหนุ่มร่างผอมก็แยกออกเป็นหก ส่วน กลายเป็นชายหนุ่มร่างผอมหกคน ทุกคนต่างก็แผ่กลิ่นอายอันชวนให้คนตื่นตกใจไม่ด้อยไปกว่าร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยเลย ดูคล้ายว่าในพริบตาเดียวค่ายกลรบของพวกเถียนอี้จือก็ถูกทำลายเสียจนแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
“คุณชาย ระวังด้วยนะขอรับ” เถียนอี้จือร้อนรน
“ดีจริง” ‘กานก้านเสวีย’ ชายร่างใหญ่อ้วนพีผู้ชมดูอยู่บนหอสุราที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็อดที่จะกำหมัดแน่นมิได้ เล็บมือก็จิกเข้าไปในเนื้อ เขาอารมณ์ปั่นป่วน “สมแล้วที่เป็นมารเฒ่าเหนียน!”
………………………………………..