Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 22 ที่แท้ยังมียอดฝีมืออยู่อีกหรือ
“เหนียนจิ่วหรือ” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยที่กำลังรวมร่างอยู่ได้เห็นเหตุการณ์แล้วหัวใจก็กระตุกคราหนึ่ง อดที่จะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมิได้ “ผู้ใดช่างบังอาจถึงเพียงนี้ บังอาจเป็นอริกับตระกูลอิงซานของข้า”
กล้าลอบสังหารคุณชายเสวี่ยอิงผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศก็คือการตบหน้าตระกูลอิงซานดีๆ นี่เอง!
ตระกูลอิงซานย่อมไม่มีทางปล่อยเอาไว้อย่างแน่นอน!
ภายใต้สถานการณ์ปกติก็มีอยู่เพียงไม่กี่ขุมอำนาจที่จะกล้าสามหาวเช่นนี้ แต่ตอนนี้การลอบสังหารก็ยังเกิดขึ้นเสียแล้ว ถึงขนาดยังมีเจ้ามารเหนียนจิ่วผู้นี้อยู่ด้วย
เหนียนจิ่ว เดิมทีเป็นปีศาจงูเก้าหัวที่เกิดและเติบโตจากดินในทะเลสาบมารทมิฬ เพราะเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณจึงได้มีพรสวรรค์ร่างแยก สามารถแบ่งร่างแยกได้ถึงเก้าร่าง! ขอเพียงแค่มีร่างแยกร่างหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ร่างแยกอีกแปดร่างจะตายไปจนหมดก็สามารถบำเพ็ญกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเหนียนจิ่วจึงไปเป็นมือสังหารอยู่เป็นประจำโดยอาศัยพรสวรรค์ร่างแยกนี้
ถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าที่ไปลอบสังหารโดยไม่เสียดายชีวิตก็มีอยู่ไม่มากนัก ถ้าไม่ตายก็เป็นยอดฝีมือที่มีเคล็ดวิชาวิเศษดังเช่นเหนียนจิ่วผู้นี้
“คุ้มกันคุณชาย”
สิงห์เมฆาทะมึนสองตนแปลงเป็นร่างมนุษย์ในทันใด อีกทั้งรอบด้านยังมีพลทหารเกราะดำเก้าสิบแปดคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอีกด้วย สิงห์เมฆาทะมึนสองตนนี้แปลงเป็นร่างมนุษย์ หนึ่งในนั้นสวมเกราะสีดำเช่นเดิม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นผิวกายกลับมีเกราะสีทองเข้มปรากฏขึ้น พวกเขาหนึ่งร้อยค
แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลรบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในพริบตา ครืน…
บริเวณโดยรอบมีเมฆดำปกคลุม ล้อมรอบรถม้าเอาไว้ตรงกลาง ส่วนพลทหารทั้งหนึ่งร้อยนายก็กระจายตัวกันอยู่ในกลีบเมฆดำ ชุดเกราะบนร่างของแต่ละคนสาดประกายกล้า พลังรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์
“บังอาจบุกสังหารคุณชายเสวี่ยอิง ช่างบังอาจยิ่งนัก” สองมือของหัวหน้ากองเกราะสีทองเข้มที่เป็นผู้นำมีอาวุธปลายแหลมปรากฏออกมา เขาตะโกนอย่างเดือดดาล เสียงดังสนั่นกึกก้องทั่วฟ้าดิน
“ผู้คุ้มกันลับของแม่ทัพหั่วเลี่ยหรือ ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ แม่ทัพหั่วเลี่ยมีผู้คุ้มกันลับอยู่ทั้งหมดสามกอง ถึงกับมีกองหนึ่งที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเจ้าเด็กโง่เง่าผู้นี้มาโดยตลอด” ชายหนุ่มร่างผอมหกคนหัวเราะเสียงดังลั่นแต่กลับมุ่งสังหารตรงเข้ามา “ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยสิว่าพวกเจ้าร้ายกาจสักเพียงใดกัน”
“ฆ่ามัน”
หัวหน้ากองเกราะสีทองเข้มตะโกน เมฆดำที่ล่องลอยอยู่ต่างก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดมหึมาตนหนึ่ง การโจมตีแต่ละครั้งของหัวหน้ากองเกราะสีทองเข้มดุร้ายเป็นอย่างยิ่งราวกับเป็นกรงเล็บของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้า
“อะไรกัน ถึงกับมีผู้คุ้มกันลับของแม่ทัพหั่วเลี่ยกองหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นมาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ” กานก้านเสวียที่ชมดูอยู่บนหอสุราที่อยู่ไกลออกไปโมโหจนสีหน้าซีดเผือด “ลำเอียงกับเขามากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ถึงกับให้ผู้คุ้มกันลับเหล่านั้นคอยเฝ้าอารักขาอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เป็นระยะเวลายาวนานเชียวหรือนี่”
นี่คือสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างที่สุดแล้วจริงๆ
ผู้คุ้มกันลับกองหนึ่ง
นายกองของผู้คุ้มกันลับมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของวังปฐมเทพ สวนสมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง รวมตัวกันเป็นค่ายกลรบก็สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้เลยทีเดียว ก็สามารถบดขยี้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่อ่อนแอสักหน่อยจำนวนหนึ่งได้แล้ว
……
อิงซานเลี่ยฮู่แข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังปลอบประโลมตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างกาย “ลูกพ่อวางใจเถิด พวกเขาทำร้ายเจ้ามิได้หรอกนะ”
สาวใช้เหยียนอวี๋ก็กำหมัดแน่นอยู๋ข้างๆ เตรียมพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อคุณชายของตัวเองอยู่ทุกขณะ
อันที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็เป็นเพียงแค่เทพแท้เท่านั้น… เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นมือสังหารมารเฒ่าเหนียนจิ่ว กลุ่มผู้คุ้มกันลับที่หัวหน้ากองสิงห์เมฆาทะมึนนำมา หรือว่าจะเป็นเถียนอี้จือ หรือแม้แต่ท่านโหวหั่วเลี่ย และพญามารที่เข้าใจสถานการณ์การลอบสังหารอยู่ตลอดเวลาผู้นั้น พวกเขาต่างก็กังวลกันเป็นอย่างยิ่ง มีความกระวนกระวายกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่พอสมควร
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ภายนอกดูเหมือนกระวนกระวาย แต่ความจริงแล้วกลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง!
นั่นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง
“ลอบสังหารหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนรถม้า “โอ้ มือสังหารผู้นี้สามารถแปลงเป็นร่างแยกหกร่างได้ในชั่วพริบตา แต่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น แต่กลับสามารถสำแดงร่างแยกได้… คงจะมิใช่เคล็ดร่างแยกทางสายห้วงอากาศ หากแต่เป็นทางศาสตร์โบราณกระมัง”
“แต่ก็ร้ายกาจอยู่พอสมควรทีเดียว ร่างแยกร่างเดียวของมือสังหารผู้นี้ก็คล้ายจะมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้ว ร่างแยกหกร่างยังมีเคล็ดการร่วมโจมตีอีกด้วย สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้เลยทีเดียว”
“โอ้…”
“ที่แท้แล้วสิงห์เมฆาทะมึนสองตนของข้านี้ ตนหนึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันลับ ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นผู้คุ้มกันลับธรรมดาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังมีผู้คุ้มกันลับคนอื่นๆ อีกเก้าสิบแปดคนคอยรับคำสั่งอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์มาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ท่านโหวหั่วเลี่ยช่างให้ความสำคัญกับข้าเหลือเกินจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ข้าคิดมาตลอดว่าพวกผู้อาวุโสเถียนเขาเป็นองครักษ์ คิดไม่ถึงว่าจะมีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ผู้อาวุโสเถียนบัญชาการองครักษ์ติดตามเก้าคน… ก็มีเพียงแค่พลังรบระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ ผู้คุ้มกันลับพร้อมเพรียงกันทั้งกลุ่มกลับแกร่งกล้ายิ่งกว่าเสียอีก”
ผู้คุ้มกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูกองผู้คุ้มกันลับและการสังหารของมารเหนียนจิ่วผู้นั้นโดยละเอียด ทั้งสองฝ่ายไล่สังหารกันอย่างบ้าคลั่ง มารเฒ่าเหนียนจิ่วตีไม่แตกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “เคล็ดวิชาต่างๆ นานาของดินแดนจิตโลกาเหนือชั้นกว่าจริงๆ ค่ายกลรบนี้ยังแยบยลกว่าทางอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นเป็นอย่างมากทีเดียว”
ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน
ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวคนหนึ่ง รวมกับขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ อีกเก้าสิบเก้าคน ย่อมไม่สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวออกมาได้อย่างแน่นอน
แต่ดินแดนจิตโลกานี้สามารถทำได้ เคล็ดค่ายกลรบของดินแดนจิตโลกาเหล่านี้ยังเหนือชั้นกว่าค่ายกลรบเคล็ดการร่วมโจมตีที่ฝูงมารผลาญทำลายสร้างขึ้นมาเสียอีก
……
“กานก้านเสวีย คิดไม่ถึงว่าผู้คุ้มกันลับทั้งชุดจะคอยคุ้มกันข้างกายอยู่ตลอดเวลา ข้าโจมตีให้แตกมิได้ เกรงว่าภารกิจนี้คงจะล้มเหลวเสียแล้วล่ะ” เหนียนจิ่วกลับถ่ายสารให้กับกานก้านเสวีย
“ไม่นะ”
กานก้านเสวียสองตาแดงก่ำ
เขาระดมลูกน้องใต้บังคับบัญชาจัดการทหารที่ตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคราวนี้เขาไปตามหามารเฒ่าเหนียนจิ่วจนพบ ขอให้เขาช่วยลงมือโดยไม่เสียดายสิ่งใด นี่คือไม้ตายที่สำคัญที่สุดของเขาแล้ว คิดไม่ถึงว่าขนาดมารเฒ่าเหนียนจิ่วสำแดงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพก็ยังไม่สามารถตีให้แตกพ่ายได้เลย
“มารเฒ่าเหนียนจิ่วผู้นี้ช่างใจเสาะนัก ได้ยินว่าเขามีร่างแยกเก้าร่าง แต่ทุกครั้งที่ลอบสังหารก็ใช้ร่างแยกอย่างมากที่สุดหกร่างเท่านั้น ไม่รู้ว่าเอาอีกสามร่างแยกไปซ่อนเอาไว้ที่ไหน” นัยน์ตาของกานก้านเสวียมีความบ้าคลั่งอยู่บ้าง
“ทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ”
“ล้มเหลวแล้ว ข้าก็ต้องตาย”
“หมดหน้าตักแล้ว”
ถึงแม้ว่ากานก้านเสวียจะฝากความหวังเอาไว้กับมารเฒ่าเหนียนจิ่วผู้แข็งแกร่งเป็นอันมาก แต่ถึงอย่างไรเมื่อล้มเหลวแล้วก็ต้องตาย เขายังได้เตรียมไม้ตายสุดท้ายเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องสิ้นเปลืองเวลาไปกว่าสองล้านปีจึงจะหายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่งพบ แล้วขอให้เขาช่วยหลอมน้ำยาพิษออกมาให้ เพื่อน้ำยาพิษส่วนนี้ก็ต้องจ่ายไปถึงหกล้านแก้วผลึกจักรวาล ต้องรู้ไว้ว่าอาวุธลับล้ำค่าที่ธรรมดาสามัญที่สุดบางอย่างก็มีราคาเพียงแค่สิบล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้น
น้ำยาพิษนี้เมื่อปนเปื้อนก็เกือบจะต้องตายแล้ว! เพียงแค่อยู่ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง เกรงว่าคงจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานได้
“มารเฒ่าเหนียนจิ่ว หรือว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อท่าน แต่ท่านมีร่างแยก ก็ไม่เป็นไร” ในมือของกานก้านเสวียหยิบเอาขลุ่ยสีดำเลาหนึ่งออกมาแล้วเริ่มต้นบรรเลงเบาๆ
ฮืม…
กระแสเสียงอันไร้รูปร่างแผ่ไปยังทิศทางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในทันใด
ระลอกกระแสเสียงนี้มีสีเขียวแปลกประหลาด สามารถมองเห็นสีของน้ำยาพิษนี้ได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีวิธี…ยังต้องการพลังคุกคามที่ใหญ่ขึ้น ทั้งยังต้องการให้สังเกตไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย แก้วผลึกจักรวาลเล็กน้อยที่เขาเตรียมไปนั้นย่อมไม่เพียงพออยู่แล้ว
“อะไรกันนี่” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยที่เพิ่งจะรวมร่างได้สำเร็จแล้วกำลังร่วมมือกับกองผู้คุ้มกันลับจัดการกับมารเฒ่าเหนียนจิ่วก็ได้เห็นน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนสายหนึ่งไหลแผ่เข้ามาเช่นกัน จึงอดที่จะสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้
ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ย ร่างแปรก็มิได้มีอาวุธล้ำค่าใดๆ มีเพียงแค่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพเท่านั้น สามารถนับได้อย่างกระท่อนกระแท่นว่ามีพลังยุทธ์เทียบเคียงกับร่างแยกร่างหนึ่งของมารเฒ่าเหนียนจิ่วเท่านั้น ย่อมไม่มีทางส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมได้อยู่แล้ว
“น้ำยาพิษหรือ” มารเฒ่าเหนียนจิ่วได้เห็นเหตุการณ์แล้วกลับเผยสีหน้ายินดี
“แย่แล้ว” กองผู้คุ้มกันลับตื่นตระหนกตกใจ พวกเขารู้สึกถึงความน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งชนิดหนึ่งได้จากในน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนที่ไหลมาอย่างรวดเร็วนี้ ถ้าหากพวกเขาแตะต้องถูกน้ำยาพิษนี้ เกรงว่าคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ปัง… โครม…
เสียงโครมครามดังขึ้นรอบๆ ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยและกองผู้คุ้มกันลับต่างก็แบ่งความสนใจไปให้การจัดการรับมือกับน้ำยาพิษนั้น แต่ยุทธวิธีต่างๆ ล้วนไม่สามารถกำจัดน้ำยาพิษนั้นออกไปได้เลย น้ำยาพิษแผ่ซ่านเข้ามาเช่นเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำยาพิษที่คุ้มค่ากับหกล้านแก้วผลึกจักรวาล
“ทำอย่างไรดีเล่า”
น้ำยาพิษกระแสเสียงมีความรวดเร็วเหลือเกิน อีกทั้งยังมิอาจทำการเคลื่อนที่ในพริบตาได้ หรือว่าตัวเองจะหนีเอาชีวิตรอด ไม่สนใจคุณชายแล้วดีเล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” มารเฒ่าเหนียนจิ่วโจมตีกองผู้คุ้มกันลับอย่างอุกอาจแต่กลับหัวเราะเสียงดัง เท่าที่เขาดูหากไม่มีกองผู้คุ้มกันลับนี้คอยต้านทานแล้ว คุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้นก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง การจะฆ่าให้ตายนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน
“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีเล่า” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เขาส่งสารไปให้แม่เฒ่าอิงซานก่อนแล้ว แต่แม่เฒ่าอิงซานก็ไม่มีหนทางจะมาที่นี่ได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นเดียวกัน ก็ต้องไปขอให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนผู้เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นมาช่วยเหลือ… สิ่งต่างๆ ที่ส่งผลต่อสถานการณ์ต่างก็จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งสิ้น แต่การสังหารในระดับนี้นั้นกลับสังหารได้ร้อยครั้งพันครั้งภายในชั่วพริบตา
“ต้านทานโดยไม่กลัวสูญเสียสิ่งใด ถ่วงเวลาเอาไว้อย่างสุดกำลัง หากเวลานานขึ้นก็จะมีความหวังแล้ว” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยส่งสารให้กับเหล่าผู้คุ้มกันลับ
“ขอรับ” ผู้คุ้มกันลับทั้งหลาย มีบางคนที่เต็มอกเต็มใจ มีบางคนที่ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยังรับคำสั่ง
คำสั่งของท่านโหว พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืน
พวกเขาต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง
มาต้านรับน้ำยาพิษอันแปลกประหลาดนี้ สามารถถ่วงเวลาออกไปได้นานเท่าใดก็เท่านั้น!
……
บนรถม้า อิงซานเลี่ยฮู่และสาวใช้เหยียนอวี๋ต่างก็มีความงงงันอยู่บ้าง พวกเขาต่างก็ไม่ใคร่จะเข้าใ
สถานการณ์ในตอนนี้กันสักเท่าใดนัก รู้เพียงว่าร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยและบรรดาเหล่าผู้คุ้มกันลับทั้งหมดต่างก็เสี่ยงชีวิตเข้าสังหาร เหล่าผู้คุ้มกันลับต่างก็คลุ้มคลั่งกันเสียแล้ว ให้ความรู้สึกอันเศร้าโศกชนิดหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงคนเดียวที่สงบนิ่ง เขามองไปยังบริเวณไกลออกไป มองดูกานก้านเสวียที่กำลังผิวขลุ่ยสีดำนั้น
“น้ำยาพิษนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ดูเหมือนจะมีพลังคุกคามอันยิ่งใหญ่ การโจมตีธรรมดามิอาจทำให้พวกมันสลายไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ในมือของเขามีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ นั่นก็คืออาวุธลับล้ำค่าเล่มหนึ่ง
พร้อมกันนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็แผ่กระจายออกไป
ระลอกคลื่นแผ่กระจายไปยังที่ต่างๆ อย่างประณีตยิ่ง
“ไป”
พื้นที่ที่มีน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนเหล่านั้นอยู่เกิดการบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าพวกมันลอยไปยังทิศทางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ แต่เพียงชั่วพริบตากลับลอยไปถึงยังข้างกายกานก้านเสวียเสียแล้ว
“อะไรกันนี่” กานก้านเสวียมองดูน้ำยาพิษสีเขียวอ่อนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น น้ำยาพิษมิอาจแยกแยะได้ว่าผู้ใดเป็นศัตรู เขาควบคุมขลุ่ยก็เพียงเพื่อควบคุมทิศทางของมันเท่านั้นเอง
“พรึ่บ”
ภายใต้การไหลแผ่ของน้ำยาพิษ ร่างกายของกานก้านเสวียก็ถูกกัดกร่อนในทันใดจนกลายเป็นของเหลวสีเขียวบ่อหนึ่ง สิ้นชีวิตไปในทันที
ถึงแม้ว่าน้ำยาพิษจะแผ่กระจายตัวไปรอบด้าน แต่โชคดีที่บริเวณรอบๆ ไม่มีคนอยู่เลย ผู้บำเพ็ญเหล่านั้น รวมถึงบรรดาแขกเหรื่อและเหล่าผู้ดูแลต่างก็พากันหนีไปไกลก่อนแล้ว ถึงอย่างไรการต่อสู้ในระดับนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญต่างก็พาตัวออกห่างกันอย่างสุดชีวิตอยู่แล้ว ถึงแม้จะอยู่ห่างสิบลี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเลย
……
ณ บริเวณอันห่างไกลจากท้องถนนแห่งหนึ่ง ชายชุดดำผู้หนึ่งดูอยู่ห่างๆ เขาก็คือร่างแปรของพญามารผู้นั้น อาศัยสมบัติล้ำค่า รวบรวมกลิ่นอายทั้งหมดปักหลักพำนักอยู่ที่เมืองอัคคีโชติ ด้วยความแค้นที่เขามีต่อท่านโหวหั่วเลี่ย… ร่างแปรอยู่ที่นี่ก็เพื่อหาโอกาสที่จะจัดการกับท่านโหวหั่วเลี่ย
“เจ้ากานก้านเสวียผู้นี้ยังมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย ถึงกับจัดเตรียมน้ำยาพิษชนิดนี้เอาไว้” ชายชุดดำเหยียดยกมุมปากยิ้มน้อยๆ แล้วสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน
น้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนนั่นกลับไปยังข้างกายกานก้านเสวียอย่างน่าประหลาด กานก้านเสวียจึงจบชีวิตลง
แม้กระทั่งชายชุดดำยังรู้สึกว่าห้วงมิติดูเหมือนจะเป็นปกติอย่างยิ่งอยู่ตลอด
“ที่แท้แล้วยังมียอดฝีมือคอยคุ้มกันคุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้นอยู่ด้วยหรือ เพื่อคุ้มกันเขา ตระกูลอิงซานจะเสี่ยงเกินไปแล้วหรือไม่” ชายชุดดำเห็นเหตุการณ์แล้วก็ขบกรามโดยไม่รู้ตัว
……………………………………………