Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 26 นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
สามวันให้หลัง
ไอหมอกแผ่กำจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ในศาลาริมทะเลสาบ หอกยาวเล่มหนึ่งวางอยู่บนเข่าทั้งสอง เนื่องจากร่างแปรของแม่เฒ่าอิงซานอยู่ที่เมืองอัคคีโชติ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเพียงแค่ใช้ความคิดแทรกซึมเข้าไปในด้ามหอกเพื่อรับรู้ มิได้สำแดงออกมาเพื่อฝึกฝนแต่อย่างใด
เขาดื่มสุราไปพลาง สาวใช้เหยียนอวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็รินสุราให้เป็นครั้งคราว
“เสวี่ยอิง” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
ท่านโหวหั่วเลี่ยบุรุษผมแดงและชายหนุ่มชุดดำรูปงามแปลกตาก็บินเข้ามาพร้อมกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บหอกยาว จากนั้นก็ยืดกายขึ้น
“ท่านโหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว สายตากลับหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มชุดดำรูปงามแปลกตาอย่างอดมิได้ ชายหนุ่มรูปงามแปลกตาถือพัดจีบเอาไว้ในมือข้างหนึ่งพลางโบกสะบัด กลิ่นอายชั่วร้ายพิกล
“ข้าน้อยมารรับใช้พิรุณโลหิต” ชายหนุ่มชุดดำรูปงามแปลกตารวบพัดเข้าหากันแล้วคารวะพลางกล่าวว่า “แม่เฒ่าประทานชื่อให้ข้าว่า ‘อิงซานจื่อไป๋’ จากนี้ไปจะเป็นองครักษ์ของคุณชาย รอให้ถึงวันที่คุณชายสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็จะเป็นคราวที่ข้าได้กลับไปยังเรือนประจำตระกูล”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
มารรับใช้ ‘พิรุณโลหิต’ หรือ
ในบรรดาหุ่นเชิดเลือดเนื้อ ผู้ที่มีพลังระดับขั้นอลวนนั้นหาได้ยากนัก ที่สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมากๆ ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มารรับใช้ ‘เฉาชิ่ง’ นับว่าเป็นระดับฐานต่ำสุด ราคาถูกที่สุด แต่ก็ยังต้องใช้แก้วผลึกจักรวาลห้าสิบล้านก้อน เทพจักรวาลที่สามารถหลอมแปรขึ้นมาได้ก็พอมีอยู่บ้าง แต่มารรับใช้พิรุณโลหิตนั้นแตกต่างกัน มีเพียง ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ หนึ่งในรัฐโบราณทั้งหกเท่านั้นที่สามารถหลอมแปรขึ้นมาได้ ตามปกติแล้วสามารถคงพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่เจ็ดเอาไว้ได้ตลอดกาล แต่ในคราวคับขันก็สามารถแผดเผาตนเองเพื่อปะทุพลังระดับวังปฐมเทพชั้นที่แปดออกมาได้ หลังการต่อสู้ เนื่องจากทำให้ตนเองบาดเจ็บ ก็ต้องดูดซับวัตถุภายนอกจำนวนมากเข้าไปเพื่อชดเชย
มารรับใช้ซึ่งสามารถปะทุพลังรบระดับวังปฐมเทพชั้นที่แปดออกมาได้นั้น…ราคาก็น่าหวาดหวั่นมากทีเดียว ราคาสามารถเทียบได้กับเฉาชิ่งหกตนเลยทีเดียว ต่อให้ท่านโหวหั่วเลี่ยทุ่มเทสมบัติทั้งหมดของตนก็ไม่แน่ว่าจะซื้อได้ มีเพียงแม่เฒ่าอิงซานเท่านั้นที่สามารถซื้อได้สบาย แล้วตั้งชื่อให้ว่าอิงซานจื่อไป๋
“จากนี้ไปต้องรบกวนจื่อไป๋แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันที
“ได้เป็นองครักษ์ให้คุณชายก็ถือเป็นเกียรติของข้าแล้วขอรับ” จื่อไป๋ถือพัดจีบเอาไว้ในมือแล้วโค้งคารวะเล็กน้อย
“เสวี่ยอิง บรรพชนดั้งเดิมเกรงว่าผู้บงการการลอบสังหารในครั้งนี้จะไม่ยอมรามือ จึงได้ส่งจื่อไป๋มา” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว
“ตรวจสอบไม่พบตัวผู้บงการหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ทำได้เพียงคาดเดาว่าน่าจะเป็นมารตนหนึ่งในทะเลสาบมารทมิฬเท่านั้น” ท่านโหวหั่วเลี่ยส่ายหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจบีบรัดแน่น
ทะเลสาบมารทมิฬหรือ
รัฐทั้งสี่รอบด้านซึ่งรวมถึงรัฐเมฆทักษิณาด้วยนั้น ถูกเรียกรวมกันว่าสี่รัฐมารทมิฬ เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะ ‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ ซึ่งอยู่ข้างเคียงกับพวกเขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดนจิตโลกาว่าเป็นสถานที่ที่มารร้ายรวมตัวกัน อย่างมารร้ายอันน่าหวาดหวั่นซึ่งถูกหกรัฐโบราณหมายหัวและไล่ล่านั้นต่างก็ซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบมารทมิฬ
อย่างหกรัฐโบราณยังสามารถปล่อยให้พวกเขาหลบหนีไปได้
ส่วนรัฐเมฆทักษิณาและรัฐชั้นรองอื่นๆ เมื่อเผชิญหน้ากับทะเลสาบมารทมิฬก็ล้วนแต่ปวดหัวมาก เพราะถึงอย่างไรเท่าที่พอจะคาดคะเนได้ ในทะเลสาบมารทมิฬก็มีเทพจักรวาลมากถึงเกือบสิบท่าน และยังมีมารร้ายอันน่าหวาดหวั่นที่เคยเป็นภัยต่อหกรัฐโบราณอีกด้วย
“มารร้ายในทะเลสาบมารทมิฬส่งคนมาลอบสังหารข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง
“น่าจะเป็นศัตรูที่ตระกูลอิงซานสร้างขึ้นมาน่ะ” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว “ตระกูลอิงซานคงอยู่มาตลอดคืนวันอันยาวนาน จึงย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะผูกสัมพันธ์กับเหล่ามารร้ายกับมารร้ายในทะเลสาบมารทมิฬ ตระกูลอิงซานไม่ยอมถูกรังแกหรอก ย่อมเปิดฉากการเข่นฆ่าบ้างเป็นบางครั้ง!”
“ผูกสัมพันธ์กับมารร้ายอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจ
ตระกูลอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งในรัฐเมฆทักษิณา จะผูกสัมพันธ์อันใดกับมารร้ายกัน
“รอเจ้าสำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้ว ก็จะรู้เรื่องพวกนี้เอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยเอ่ย “เรื่องจะรอช้ามิได้แล้ว เจ้ารีบมุ่งหน้าไปยังนครหลวงเถิด”
“ขอรับ ข้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกว้าง
ทันใดนั้นจื่อไป๋ก็สะบัดพัดจีบให้คลี่ออกแล้วพัดไปมาพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามิได้ไปยังนครหลวงมาตั้งนานแล้ว ครั้งนี้สามารถตามคุณชายไปชมนครหลวงได้ด้วย”
******
วันนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงพามารรับใช้จื่อไป๋ เถียนอี้จือ สิงห์เมฆาทะมึนสองตนและองครักษ์เก้านายและสาวใช้เหยียนอวี๋อีกคนหนึ่งไป แม้หรงซิงหลันผู้เป็นมารดาจะให้พาสาวใช้ไปหลายคนหน่อย แต่ชาติก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงเคยชินกับความลำบากอยู่แล้ว พาสาวใช้ไปนางหนึ่งก็เพื่อตอบสนองหรงซิงหลันผู้เป็นมารดาแล้ว
“ฟิ้ว”
ในเมืองอัคคีโชติ อาศัยค่ายกลส่งถ่าย พวกเขาก็ไปถึง‘เมืองฉุนอวี้’ หนึ่งในตัวเมืองระดับสามกษัตริย์
จากเมืองฉุนอวี้ พวกเขาค่อยอาศัยค่ายกลส่งถ่ายมุ่งหน้าไปยังนครหลวง!
“ฟิ้ววว…”
มิติกลับคืนสู่ความสงบ
ข้างกายหนุ่มน้อยรูปงามในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างมีสาวใช้ ชายชราอาภรณ์สีเทาและชายหนุ่มรูปงามแปลกตาซึ่งโบกพัดจีบไปมาอีกคนหนึ่ง สิงห์เมฆาทะมึนสองตนก็มองไปรอบด้านพลางเปล่งเสียงคำรามต่ำออกมา องครักษ์เก้านายก็ยิ่งเคร่งขรึมกว่า
“นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู
กลางอากาศ รังสีระลอกแล้วระลอกเล่าม้วนตัวอยู่ กำแพงเมืองกว้างใหญ่เสียจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ในฐานะตัวเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐเมฆทักษิณา และเป็นตัวเมืองที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาประจำการด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่ง ‘สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์’ หนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกาตั้งอยู่ นครหลวงรัฐเมฆทักษิณาจึงเป็นตัวเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากไปทั่วดินแดนจิตโลกา ณ ที่นี้ ผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอกพบเห็นได้ทั่วไปมาก ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายของหกรัฐโบราณล้วนมีหน่วยย่อยอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญที่มายังสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เพื่อหมายจะเข้าสำนักมาบำเพ็ญก็มากมายเสียจนน่าตกใจ
“นครหลวงรัฐเมฆทักษิณานี้ รู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่า ‘เมืองราชันย์มีด’ หนึ่งในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นสิบเป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
ช่วยไม่ได้ เทพจักรวาลในดินแดนจิตโลกามีจำนวนมากมายเกินไปแล้ว การค้นคว้าค่ายกลก็ย่อมสูงยิ่งกว่า เกรงว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จทางด้านค่ายกลเหนือกว่าบรรพชนทิพย์ก็คงมีมากมายนัก นอกจากนี้ ในฐานะที่ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ เป็นประมุขของหนึ่งในสิบสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดาเทพจักรวาลก็นับได้ว่ามั่งคั่งอย่างยิ่ง แน่นอนว่าสามารถซื้อค่ายกลที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นทั้งหลายได้
พลังของตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็น่าหวาดหวั่นมากพออยู่แล้ว ภายในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา พลังของเขาแทบจะเรียกได้ว่าไร้ศัตรู
“คุณชาย พวกเราตระกูลอิงซานก็มีเรือนส่วนตัวอยู่ที่นี่เช่นกัน” มารรับใช้จื่อไป๋พูดยิ้มๆ “ไปพักผ่อนที่เรือนส่วนตัวก่อนเถิด แม่เฒ่าได้ให้คนจัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว รอให้ทางสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เตรียมการเรียบร้อยแล้ว คุณชายค่อยไปนะขอรับ”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
……
ณ เรือนอิงซาน นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
ที่นี่ก็มีคนตระกูลอิงซานอยู่มากมาย บ้างก็บำเพ็ญอยู่ที่นี่ บ้างก็รับผิดชอบการค้าต่างๆ ทว่าเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงนั้น เขากลับกลายเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดในเรือนส่วนตัวอิงซานทันที
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้น”
“เขามายังนครหลวงแล้วหรือ”
แม้ที่นี่จะมีผู้อาวุโสประจำตระกูลสามท่านคอยปกครองด้วยเช่นกัน แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีมารรับใช้จื่อไป๋เป็นองครักษ์แล้ว ผู้อาวุโสประจำตระกูลสามท่านก็ย่อมค้อมศีรษะให้เล็กน้อยแล้ว พวกเขาไม่สนใจ เพราะถึงอย่างไรคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้จะต้องได้กลายเป็นขั้นอลวนและได้รับแต่งตั้งเป็นโหวแทบจะแน่นอน
พวกเขาวางท่าทีลงไป แล้วต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“คุณชายเสวี่ยอิง ที่นี่มิใช่เมืองอิงซาน และยิ่งมิใช่เมืองอัคคีโชติ ที่นี่มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ ผู้ที่มีสถานะสูงส่งก็มีมากมายก่ายกอง อย่างผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลระดับกษัตริย์ก็แล้วไปเถิด บางคนเป็นคนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณ หรือถึงขั้นเป็นตระกูลกษัตริย์แห่งหกรัฐโบราณ แม้แต่องค์ชายใหญ่แห่งรัฐเมฆทักษิณาของเราซึ่งเหิมเกริมเป็นที่สุดก็ยังมิกล้าล่วงเกินโดยง่าย”
“ใช่แล้ว คุณชายเสวี่ยอิง อยู่ที่นี่ต้องถ่อมเนื้อถ่อมตนหน่อย”
เหล่าผู้อาวุโสประจำตระกูลและลูกหลานของตระกูลบางคนกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ลอบทอดถอนใจ
มารรับใช้จื่อไป๋ที่อยู่ด้านข้างโบกพัดจีบพลางพูดเสียงเรียบ “คุณชาย อย่ากังวลไปเลย แม่เฒ่าให้ข้านำบัญชาทิพย์เมฆทักษิณาก้อนหนึ่งมาด้วย! ขอเพียงท่านมิได้เป็นฝ่ายล่วงเกินก่อน ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจคนของหกรัฐโบราณเลย อันที่จริงคนของหกรัฐโบราณก็มีสถานะสูงต่ำเช่นกัน ผู้ที่สามารถทำให้ข้าถอยห่างได้ก็มีอยู่ไม่มากนัก”
“บัญชาทิพย์เมฆทักษิณาหรือ” ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสามตกตะลึง
บัญชาทิพย์เมฆทักษิณา
เป็นสิ่งที่ประมุขรัฐมอบให้ ตัวแม่เฒ่าอิงซานเองก็มีบัญชาทิพย์เช่นนี้อยู่เพียงก้อนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าพลังระดับแม่เฒ่าแล้ว บัญชาทิพย์ก็เป็นเพียงสิ่งที่วางประดับเท่านั้น เมื่ออยู่กับตงป๋อเสวี่ยอิง บัญชาทิพย์จึงจะมีผลในการคุ้มกันจริงๆ
“แม่เฒ่าช่างโปรดปรานคุณชายเสวี่ยอิงจริงๆ” ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสามและคนอื่นๆ ของตระกูลในที่นั้นล้วนอดอิจฉาเป็นอันมากมิได้
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใช่ผู้ที่คลั่งไคล้ในการบำเพ็ญจนไม่สนใจอะไรเลยทั้งสิ้น แน่นอนว่าคงจะไม่ไปหาเรื่องศัตรูตัวฉกาจอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ วันที่สองหลังจากเขามาถึงนครหลวง ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง ‘ชุมชนของล้ำค่า’
ไม่ว่าตัวเมืองใดก็ล้วนแต่มีชุมชนของล้ำค่าด้วยกันทั้งสิ้น
นครหลวงรัฐเมฆทักษิณานับได้ว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงในดินแดนจิตโลกา ชุมชนของล้ำค่าจึงรุ่งเรืองกว่าทางเมืองอัคคีโชติตั้งไม่รู้มากมายเท่าไหร่ แม้จะอยู่ไกลโพ้น ก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีของสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนที่แผ่กำจายออกมา ที่นี่มีร้านค้าซึ่งตระกูลกษัตริย์เป็นผู้เปิด และมีร้านค้าที่ตระกูลใหญ่ของหกรัฐโบราณเปิดเอาไว้ที่นี่
สมบัติล้ำค่าต่างๆ มากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
“ร้ายกาจ”
“ช่างเก่งกาจโดยแท้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทั่วบริเวณ เปิดหูเปิดตา เปิดหูเปิดตาเป็นอันมาก
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่บนถนนชุมชนของล้ำค่าแล้วก็คิ้วขมวด เขาพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีหอกยาวปรากฏขึ้นมา ด้ามหอกยาวราวกับมีความรู้สึกหลุดพ้นอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา ไกลออกไปมีแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง “อะไรดึงดูดมันอยู่น่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
เขารีบสาวเท้าไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว แม้มารรับใช้จื่อไป๋และพวกเถียนอี้จือที่อยู่ด้านหลังจะงุนงงกันไปหมด ทว่าก็ยังคงตามไปอย่างรวดเร็ว
“อยู่ตรงนั้นนั่นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นร้านค้ายอดกลมแห่งหนึ่ง สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมองทะลุผ่านอุปสรรคในอากาศไป ก็เห็นทันทีว่า ในบรรดาสมบัติล้ำค่าถึงสิบสองชิ้นที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศที่ชั้นสามของร้านค้าทรงกลมแห่งนั้นมีหัวหอกอยู่อันหนึ่งด้วย
……………………………………..