Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 32 งานเลี้ยง
ราตรีมาเยือน
บนรถม้า ฝานเฟยฉีนั่งเคียงบ่ากับตงป๋อเสวี่ยอิง ด้านข้างก็มีองครักษ์และข้ารับใช้ยืนอยู่ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงพาเพียงแค่มารรับใช้จื่อไป๋ไปด้วย
“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง ถึงแล้วล่ะ” ฝานเฟยฉีชี้ไกลออกไป
“สมกับที่เป็นสกุลฝานจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปไกลๆ เรือนที่อยู่ไกลออกไปกว้างใหญ่หรูหรา “ใหญ่โตยิ่งกว่าจวนท่านโหวหั่วเลี่ยที่นครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเสียอีก”
สกุลฝาน หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ
อีกสองตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็สันโดษกว่าอยู่พอสมควร ไม่ค่อยสนใจรัฐประเทศอื่นๆ อยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่สนใจที่จะตั้งฐานย่อยในรัฐประเทศอื่นๆ เลย! แล้ว ‘สกุลฝาน’ ก็ขยายอิทธิพลของตนแทรกผ่านเข้าไปทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกาอย่างบ้าคลั่ง ในความเป็นจริงแล้วสามารถจัดเป็นสิบตระกูลใหญ่แถวหน้าในดินแดนจิตโลกาได้…
ล้วนมีความหยิ่งยโส นี่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรพลังของแต่ละคนก็แกร่งกล้าเกินไป ทำให้พวกเขาไม่สนใจที่จะไปผูกมิตรกับบรรดารัฐเล็กๆ เลย! เท่าที่พวกเขาดู มีบางเวลาที่พลังยังมิสู้สงบจิตบำเพ็ญหยั่งรู้ ทำให้ตนเองยิ่งแกร่งกล้า!
ปรารถนาจะแทรกซึมผูกมิตรกับตระกูลใหญ่ระดับสูงทุกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ตระกูลหนึ่ง มีความสามารถกดดันรัฐโบราณเสียดฟ้า ถ้าหากปรารถนาแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะสามารถทำลายทั้งรัฐเมฆทักษิณาได้อย่างง่ายดาย มีเพียงแค่ท่านประมุขรัฐที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สกุลฝาน…
แข็งแกร่งเหลือเกิน ตนเองอยู่ที่โลกหนังสือสะสมของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ได้อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมากมายเหลือเกิน ก็ยิ่งมีความเข้าใจใน ‘สกุลฝาน’ มากยิ่งขึ้น
สกุลฝาน
แสดงถึง ‘ความโอหัง’ ‘โหดเหี้ยม’ ‘เลวทราม’ ‘การสังหาร’…เป็นหนึ่งเดียวในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุที่ชมชอบการขยายออกไปภายนอก วีรบุรุษผู้ล้ำเลิศเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็ยังต้องยิ้มต้อนรับ ไม่กล้าล่วงเกินสกุลฝานเลย
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากมายมาอาศัยหลบภัยในสกุลฝาน เป็นเค่อชิงของสกุลฝาน สวามิภักดิ์ต่อสกุลฝาน ต่อสู้เพื่อสกุลฝาน!
……
ภายในโถงตำหนักอันใหญ่โตหรูหรา
มีผู้บำเพ็ญหลายคนอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว นั่งกระจายตัวกันอยู่ พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างติดลมบน ผู้ที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานก็คือบุรุษรูปร่างอ้วนสูงใหญ่คนหนึ่ง
“พี่ใหญ่เทียนฉ่ง” ฝานเฟยฉีเหยียบย่างเข้าไปภายในตำหนักแล้วก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังยิ่งขึ้นว่า “ศิษย์น้องเสวี่ยอิงของข้ามาแล้ว”
ฝานเทียนฉ่งนั่งอยู่ที่นั่นพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วหัวเราะฮ่าๆ พลางพูดยิ้มๆ ว่า “คุณชายเสวี่ยอิง ข้าได้ยินมานานแล้วว่ารัฐเมฆทักษิณามีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถือกำเนิดขึ้นมาคนหนึ่ง ถ้าหากไม่รังเกียจก็เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เทียนฉ่งสักคำหนึ่งก็แล้วกัน มาๆๆ รีบเข้ามานั่งเร็วเข้าสิ อีกประเดี๋ยว ‘งานเลี้ยงสัตว์มารโอษฐ์เหิน’ ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เนื้อสัตว์มารโอษฐ์เหินนี้ล้วนเป็นแบบทำไปพลางกินไปพลาง ถ้าหากระยะเวลาเนิ่นช้าออกไป รสชาติก็จะแย่ลงไปพอสมควรเลยทีเดียว”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เทียนฉ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะอย่างถ่อมตน
อีกฝ่ายเกรงอกเกรงใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าชักช้า
เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่า…
ฝานเทียนฉ่ง ผู้ดำเนินการของสกุลฝานที่รัฐเมฆทักษิณา เป็นผู้นำสูงสุดของสกุลฝานที่รัฐเมฆทักษิณา ตัวเขาเองมีพลังยุทธ์ขั้นอลวนชั้นที่สิบ สามารถเผชิญกับเทพจักรวาลซึ่งๆ หน้าได้! สิ่งที่สำคัญก็คือเขาสามารถเคลื่อนย้ายกำลังมหาศาลอันเป็นของสกุลฝานได้ หากพูดว่า ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ คือผู้มีพลังอันแข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้งของรัฐเมฆทักษิณา สกุลฝานก็จัดเป็นลำดับที่สองแล้ว
ถือได้ว่าฝานเทียนฉ่งเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจลำดับสองของรัฐเมฆทักษิณา
“ฝานเทียนฉ่ง สิ่งที่บำเพ็ญคือ คัมภีร์มารซือเทียนวิชาลับที่ไม่เผยแพร่ของสกุลฝาน พลังกล้าแกร่งหาใดเปรียบ ร่างกายแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับอาวุธลับล้ำค่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง อ้างอิงจากข้อมูลที่เขาเข้าใจ ความแข็งแกร่งของร่างกายของฝานเทียนฉ่งนั้นยังเหนือกว่าร่างเมฆทักษิณาทิพย์ขั้นที่สิบอันสมบูรณ์แบบอยู่พอสมควร น่าเสียดายที่สกุลฝานไม่มีทางเผยแพร่ออกสู่ภายนอก
“พลังยุทธ์ของตัวเขาเองแข็งแกร่งเป็นที่สุด ว่ากันว่ายังเป็นศิษย์รักของ ‘มหาเคารพซือเทียน’ แห่งสกุลฝานอีกด้วย ได้รับความรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง นี่จึงทำให้เขามาจัดการดูแลรัฐเมฆทักษิณาที่มีความสำคัญยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ
“ฮ่าฮ่า…”
ภายในโถงตำหนักมีเสียงหัวเราะก้องสะท้อน ผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็กำลังพูดคุยสนทนากัน
“นั่นก็คือตาเฒ่าโง่เง่าแห่งรัฐเพรียกหิมะ ถือว่าตนเองเป็นเทพจักรวาล ไม่เห็นข้าที่เป็นขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่ในสายตาเลย ถึงขนาดที่ต่อตีกับข้าซึ่งๆ หน้า ข้าจึงสามารถบดขยี้จนเขาบาดเจ็บสาหัสได้” ฝานเทียนฉ่งแย้มยิ้ม “น่าเสียดายที่เขาวิ่งเร็วเกินไป มิฉะนั้นข้าจะบดขยี้เขาจนตายเลยทีเดียว”
“โง่เง่านัก กล้าประมือกับพี่ใหญ่เทียนฉ่ง ก็มิใช่เป็นการหาเรื่องให้ตนเองอับอายหรือไร”
“เทพจักรวาลแล้วอย่างไร ก็มิได้ถูกพี่ใหญ่เทียนฉ่งตีเสียจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนกันหรือ”
“เจ้าพวกบ้าจากรัฐเพรียกหิมะนั่นก็ช่างรนหาที่ตายนัก ทำไมจะต้องมาทำลายเรื่องดีๆ ของพวกเราด้วย”
เหล่าผู้บำเพ็ญในที่นั้นหลายคนต่างก็พากันประจบสอพลอ
ฝานเทียนฉ่งพูดยิ้มๆ “รัฐเพรียกหิมะหรือ ในบรรดาสี่รัฐมารทมิฬ รัฐเพรียกหิมะก็ไม่ประมาณกำลังตนที่สุดแล้ว เป็นอริกับรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นอริกับสกุลฝานของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า! หึ ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งก็จะสั่งสอนเขาให้หนักๆ สักคราหนึ่ง”
ฝานเทียนฉ่งเผยรอยยิ้มออกมาในทันใดแล้วมองออกไปยังบริเวณไกลๆ
เตาขนาดใหญ่มหึมาถูกส่งขึ้นมา ภายในเตาก็มีสัตว์ประหลาดที่ใกล้สุกแล้วอยู่ตัวหนึ่ง มีพ่อครัวกำลังหั่นแล่เนื้อ ปะปนกับคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งที่กำลังปรุงรสสุราส่งขึ้นมา
“มาลิ้มรสดูเร็วเข้า คุณชายเสวี่ยอิง เจ้าเพิ่งมาหาข้าที่นี่เป็นครั้งแรก สัตว์มารโอษฐ์เหินนี้เป็นสิ่งที่ข้าชอบกินที่สุดเลย น่าเสียดายนักที่ช่างจับยากเสียเหลือเกิน” ฝานเทียนฉ่งลอบพูดยิ้มๆ “สัตว์มารโอษฐ์เหินที่ค้นพบในสี่รัฐมารทมิฬ เกรงว่าคงจะมีสักครึ่งหนึ่งที่ตกมาเป็นของข้าที่นี่ แต่ก็มีลาภปากเป็นครั้งคราวเท่านั้นแหละ”
พูดแล้วฝานเทียนฉ่งก็โบกมือคราหนึ่ง เนื้อสัตว์มารโอษฐ์เหินที่แล่เสร็จแล้วจานแรกก็ลอยมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีแขกเหรื่อมากพอสมควร แต่ความจริงแล้วก็จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นเพื่อเอาใจตงป๋อเสวี่ยอิง! เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงมาเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าฝานเทียนฉ่งจะมีสถานะสูงส่งพอแล้ว แต่ก็ยังคงผูกไมตรีกับผู้ที่มีศักยภาพทุกคนอยู่เช่นเดิม สำหรับเขาแล้วผู้ที่มีศักยภาพอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ ในอนาคตการเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าก็คงจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเลย
สำหรับชั้นที่สิบน่ะหรือ
นี่ก็พูดยากแล้ว! จากความยากในการบำเพ็ญนั้นก็เทียบเคียงได้กับเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เก้าที่อากาศอันสับสนอลหม่านสร้างขึ้น สิ่งที่สำคัญก็คือยังต้องรวมกับเคล็ดลับบางอย่าง หรือแม้กระทั่งจำเป็นต้องใช้ร่วมกับอาวุธล้ำค่าที่สืบทอดกันมาจึงจะสามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่สิบได้
“ขอบคุณพี่ใหญ่เทียนฉ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับจานมา
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป
ด้านข้างก็มีนักดนตรีกำลังบรรเลง คนกลุ่มหนึ่งสนทนาพูดคุยกัน ฝานเทียนฉ่งพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงหลายประโยคอยู่เป็นระยะๆ
“คุณชายเสวี่ยอิง ได้ยินมาว่าเจ้าบุกผ่านชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้ว ข้าก็เป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพเช่นเดียวกัน พวกเรามาประลองกันสักหน่อยดีไหมเล่า” องครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายของแขกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“บังอาจนัก! ที่นี่เป็นสถานที่ที่ให้เจ้ามาส่งเสียงดังเอะอะได้หรืออย่างไร” แขกผู้หนึ่งที่กำลังนั่งลิ้มรสเนื้อสัตว์มารโอษฐ์เหินอยู่ที่นั่นเช่นกันตะโกนด้วยสีหน้าเข้มในทันใด
ฝานเทียนฉ่งพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “พี่ผางป๋อ เป็นวันแห่งความเบิกบานใจ ประลองกันให้ครึกครื้นมีชีวิตชีวาสักหน่อยก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณชายเสวี่ยอิงจะมีความสนใจหรือไม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งฟังอยู่ตรงนั้นแล้วก็เข้าใจ
การท้าทายนี้เกรงว่าจะเป็นฝานเทียนฉ่งที่จัดการ เกรงว่าคงอยากจะอาศัยสิ่งนี้เพื่อดูชั้นเชิงของตนโดยละเอียด
“กล้ามาท้าทายกันที่นี่ ดูท่าทางคงจะมีที่พึ่งพิง แต่เช่นนี้ก็ยิ่งน่าสนใจกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นยืนพูดด้วยรอยยิ้ม มารรับใช้จื่อไป๋ที่อยู่ด้านข้างถ่ายเสียงพูด “คุณชาย ข้าว่าเขาน่าจะเชี่ยวชาญเคล็ดมีด เคล็ดมีดมีความดุร้ายโหดเหี้ยม คุณชายจะต้องระวังด้วยนะขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
สายตาของเขาสูงส่งกว่ามารรับใช้จื่อไป๋มากมายนัก ทันใดนั้นก็ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ไปถึงยังจุดศูนย์กลางโถงตำหนัก
“เอาล่ะ” ฝานเทียนฉ่งและคนอื่นๆ พากันส่งเสียงโห่ร้อง พลางชมดูอยู่ข้างๆ
“คุณชายเสวี่ยอิง ท่านต้องระวังด้วยล่ะ” องครักษ์หนุ่มผู้นั้นก็ก้าวมายังจุดศูนย์กลางโถงตำหนักอย่างเต็มไปด้วยแววต่อสู้ ยืนประจันหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ
“ลงมือเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ท่านไม่ใช้อาวุธหรือ” องครักษ์หนุ่มถาม
“ยังไม่จำเป็นชั่วคราวก่อน ถ้าหากเจ้าสามารถบีบคั้นจนข้าต้องใช้อาวุธได้ ข้าก็จะใช้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ได้”
องครักษ์หนุ่มม่านตาหดเล็กลง อันที่จริงแล้วเขาคือศิษย์ในนามของ ‘ผางป๋อ’เค่อชิงกลุ่มหนึ่งของสกุลฝาน เพราะว่าพลังยุทธ์เหมาะสมกันพอดี ผางป๋อจึงเลือกเขามาท้าทายคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ในขณะนี้
นี่คือโอกาสอันหาได้ยากที่เขาจะได้สำแดงพลังยุทธ์ต่อหน้าระดับสูงของสกุลฝานที่สาขารัฐเมฆทักษิณา
“รับกระบวนท่า” องครักษ์หนุ่มตะโกน
พรึ่บ
ร่างกะพริบวาบคราหนึ่งก็กลายเป็นเงารางสีแดงโลหิตสายหนึ่งพุ่งไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ตรงกลางของเงารางสีแดงโลหิตนั้นมีประกายมีดสีแดงโลหิตสายหนึ่งเจืออยู่รางๆ
“พี่ผางป๋อ เจ้าเด็กผู้นี้ฝึกวิชามีดมายาเงาโลหิตของท่านได้ไม่เลวเลยนะ”
“ใช้ได้เลยทีเดียว”
บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นพูดคุยไปพลาง ชื่นชมไปพลาง
“ปึง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ที่เดิมยื่นนิ้วมือออกไปแล้วชี้เบาๆ คราหนึ่ง ประกายมีดก็แข็งค้างไปในทันที นิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปยังจุดที่แหลมคมที่สุดของใบมีดนั้นพอดี จุดที่แกร่งที่สุดก็เป็นจุดที่พลังคุกคามรวมตัวกันอยู่มากที่สุด ”ปัง…” ชี้แล้วก็เกิดเสียงระเบิด ใบมีดถูกระเบิดโจมตีจนสั่นไหว องครักษ์หนุ่มผู้นั้นก็ถูกทำให้สั่นสะท้านจนต้องโซซัดโซเซบินถอยหลังไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไรกัน ภายใต้เคล็ดมีดมายาของข้า แต่สามารถชี้จุดที่แกร่งที่สุดได้ทันทีเลยอย่างนั้นหรือ” องครักษ์หนุ่มหัวใจสั่นสะท้าน “เป็นไปไม่ได้ จะต้องเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน”
มีดมายา เดิมทีก็ขึ้นชื่อในเรื่องความพิสดารอยู่แล้ว เป็นถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ เขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคู่ต่อสู้ที่พลังยุทธ์ใกล้เคียงกันจะสามารถมองทะลุชั้นเชิงของเคล็ดมีดของเขาได้อย่างง่ายดาย
“พรึ่บ”
องครักษ์หนุ่มแปลงเป็นเงารางพุ่งเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้เงาร่างของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกพิสดารยิ่งกว่าเดิม ประกายมีดก็ยิ่งส่งเสียงหวีดหวิวอย่างต่อเนื่อง เงามีดจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องราวกับกระแสน้ำ เปลี่ยนแปรอย่างที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยามที่ประกายมีดปกคลุมเข้ามาก็ยังคงชี้นิ้วออกไปเช่นเก่า
…………………………………………