Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 38 การบูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ
นอกเมืองอัคคีโชติ ฟ้าสว่างรำไร
เงาร่างสองสายยืนอยู่บนผืนดิน พลางทอดสายตามองออกไปยังเมืองอัคคีโชติอันตระหง่านง้ำ แม้ในรัฐเมฆทักษิณา เมืองอัคคีโชติจะจัดได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเมืองที่มีร่างแปรของเทพจักรวาลและขั้นอลวนประจำการอยู่ ในฐานะตัวเมืองที่มีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน…ก็มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลถึงแสนล้านลี้ จำนวนของผู้บำเพ็ญในเมืองก็มีนับล้านล้านคน
“ตัวเมืองของรัฐเมฆทักษิณสร้างขึ้นมาได้ฟุ่มเฟือยนัก” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบมองดูตัวเมืองพลางพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น่าเสียดายที่อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว”
“ถูกทะเลสาบมารทมิฬของเราทำการบูชาโลหิต ก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว” บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ด้านข้างยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขาเจิดจ้า แฝงไว้ด้วยพลังที่ทำให้คนอบอุ่นหัวใจ นัยน์ตาทั้งคู่ก็ยิ่งฉายแววเย้ายวนอันถึงแก่ชีวิตได้ ราวกับเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในฟ้าดินนี้ เป็นดวงตาที่ดึงดูดให้ผู้คนมองมาทางเขาอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้
“ประมุขมารเมฆาขาว ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบพูดฝากฝัง
“ฮ่าฮ่า ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ท่านเจ้าลัทธิกำชับด้วยตนเองทั้งที ข้าย่อมไม่รอช้าอยู่แล้ว” บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์พูดยิ้มๆ
ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบโบกมือคราหนึ่ง
ฟิ้ว
กลางท้องฟ้าด้านข้างมียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างแน่นขนัด มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถึงยี่สิบคน และมีขั้นรวมเป็นหนึ่งนับหมื่นคน เมื่อมีคนเรือนหมื่น ก็ช่างให้ความรู้สึกเหมือนทะเลมนุษย์อย่างแท้จริง ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านี้ แต่ละคนสวมเกราะเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าสามารถวางเป็นค่ายกลรบได้
“คารวะท่านบรรพชน คารวะประมุขมารเมฆาขาว” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งยี่สิบคนกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ จากนั้นกองกำลังขั้นรวมเป็นหนึ่งนับหมื่นเคยก็กล่าวขึ้นด้วยความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเข้าใจสถานะของคนตรงหน้าทั้งสองเป็นอย่างดีว่าเป็นบุคคลระดับสูงของลัทธิทั้งสิ้น ท่านบรรพชนก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เพราะนั่นเป็นถึงเทพจักรวาล ส่วน ‘ประมุขมารเมฆาขาว’ ด้านข้างก็เป็นหนึ่งในประมุขมารทั้งหลายของลัทธิ ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นระดับ ‘ประมุขมาร’ แต่ละคนล้วนเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบ สามารถเทียบได้กับเทพจักรวาลเลยทีเดียว
อย่างในดินแดนจิตโลกา มีรัฐระดับสามบ่างแห่งที่มีเทพจักรวาลเพียงคนเดียวเท่านั้น ทะเลสาบมารทมิฬแค่ส่งประมุขมารออกมาเพียงคนเดียว ก็เพียงพอจะทำให้รัฐหนึ่งวุ่นวายได้แล้ว
“อื้ม”
ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบพยักหน้า “การบูชาโลหิตครั้งนี้ จะนำโดยประมุขมารเมฆาขาว การบูชาโลหิตที่ตัวเมืองรัฐเมฆทักษิณาจะต้องทำให้งดงาม ให้สะท้านสะเทือนไปทั่วรัฐเมฆทักษิณาและรัฐรอบด้านทั้งสี่”
“ขอรับ” ทุกคนรับคำโดยพร้อมเพรียงด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ทุกคนรวมทั้งผู้แกร่งกล้าร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำ ‘เฉินอู่’ ผู้นั้นล้วนตื่นเต้นเป็นอันมาก “รัฐเมฆทักษิณาค่อนข้างแข็งแกร่ง ทะเลสาบมารทมิฬก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างตอนที่ทำลายตัวเมืองรัฐประกายเพลิงนั้น ส่งขั้นอลวนออกไปคนสองคนก็ใช้ได้แล้ว ครั้งนี้กลับนำโดยประมุขมารเมฆาขาวเอง รวมทั้งข้าและขั้นอลวนรวมยี่สิบท่าน ในหมู่พวกเราขั้นอลวนทั้งยี่สิบคน มีผู้ที่บรรลุถึงระดับเก้าถึงห้าคนด้วยกัน! ดีมาก ประเสริฐมาก ต้องทำให้ทั้งเมืองอัคคีโชติไร้แรงตอบโต้ เพื่อที่จะทำลายล้างพวกเขาได้อย่างง่ายดาย โหวหั่วเลี่ยเอ๋ย…ข้ารอวันนี้มานานแสนนานแล้ว ใกล้แล้ว จวนจะเริ่มแล้ว! อยากจะเห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าของเจ้าจริงเชียว”
“อื้ม”
บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์กำชับเสียงเรียบว่า “ตามรายงาน ผู้ที่นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือภายในเมืองอัคคีโชติมีเพียงโหวหั่วเลี่ยและร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้เท่านั้น”
“โหวหั่วเลี่ยอยู่ในจวนโหว ส่วนร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้อยู่ในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา พวกเขาทั้งสองล้วนมีพลังชั้นที่แปดระดับยอด บวกกับมีค่ายกลเสริมความแข็งแกร่ง ก็นับได้ว่าเป็นชั้นที่เก้าอย่างพอถูไถ”
“เซวี่ยฝู เฉินอู่ พวกเจ้าสองคนนำผู้ใต้บังคับบัญชาขั้นอลวนไปล้อมโจมตีโหวหั่วเลี่ย แล้วสังหารเขาโดยเร็วที่สุด”
“ขั้นอลวนที่เหลือล้อมโจมตีร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้! เมื่อสำเร็จแล้ว พวกเข้าก็ไปสนับสนุนอีกฝ่ายทันที”
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ…กระจายตัวกันออกไป กวาดล้างทั้งเมืองอัคคีโชติ”
“ส่วนข้าจะเป็นผู้ทำการบูชาโลหิต”
บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์กล่าว
สถานะของเขาสูงส่งเพียงใดจึงย่อมรังเกียจที่จะลงมือด้วยตนเอง ตามหลักแล้ว การบูชาโลหิตที่ตัวเมืองหนึ่งๆ ไม่จำเป็นต้องส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ออกมา แต่ครั้งนี้ก็เพื่อ ‘แสดงแสนยานุภาพ’ เป็นหลัก ทำให้นครหลวงทั้งสี่รอบด้านเชื่อฟังมากขึ้นสักหน่อย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงให้ประมุขมารคนหนึ่งนำกองกำลังด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าทะเลสาบมารทมิฬนั้นไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเด็ดขาด
“ขอรับ” ทุกคนในที่นั้นรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าก็จะเริ่มแล้วนะ” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบด้านข้างพูดกลั้วหัวเราะ บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ก็พยักหน้า
ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีภาพม้วนหนึ่งปรากฏขึ้น เขาโบกมือคราหนึ่ง
ฟิ้ว
ม้วนภาพพลันอันตรธานไปแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นม้วนภาพขนาดมหึมากลางท้องฟ้าเหนือเมืองอัคคีโชติ พละกำลังอันไร้รูปร่างก็โอบล้อมเมืองอัคคีโชติเอาไว้อย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าชายชราผมเขียวร่างผอมซูบและคนอื่นๆ นอกเมืองก็ย่อมอยู่ในขอบเขตที่ครอบคลุมไว้ด้วยเป็นธรรมดา
มิติปิดผนึก!
อาศัยสมบัติลับ บัดนี้มิติรอบเมืองอัคคีโชติล้วนถูกปิดผนึกไปสิ้น แม้แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็มิอาจเข้าไปได้
ม้วนภาพขนาดมหึมาค่อยๆ อันตรธานไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า มิติทั่วทั้งเมืองอัคคีโชตินี้ก็มลายหายไปเช่นกัน นับแต่นี้เป็นต้นไป ก็จะมองเมืองอัคคีโชติไม่เห็น สัมผัสก็มิได้ ทั้งยังเข้าไปไม่ได้ด้วย! ราวกับอยู่ในมิติพิเศษอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเอกเทศจากทั้งดินแดนจิตโลกา เหมือนกับคูหาของจักรพรรดิเก้าเมฆาที่แม้แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหาไม่พบ
บัดนี้เมืองอัคคีโชติ มิติถูกปิดผนึกและตัดขาดขากภายนอกแล้ว
ส่วนภายในบริเวณที่ถูกปิดผนึก
นอกเมือง บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์มองฉากนี้แล้วก็ออกคำสั่งเสียงเรียบว่า “เคลื่อนไหว”
สวบๆๆ…
กองกำลังกองแล้วกองเล่าเคลื่อนที่ในพริบตาไปอย่างรวดเร็ว ในจำนวนนั้น กองกำลังขั้นอลวนที่แข็งแกร่งที่สุดสองกอง แบ่งกันมุ่งหน้าไปยังคูหาของท่านโหวหั่วเลี่ยและตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา
******
ภายในโถงตำหนักอันค่อนข้างมืดทึมแห่งหนึ่งในวังหลวงแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“สวบๆๆๆ…”
เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นภายในโถงตำหนักอย่างรวดเร็ว แต่ละคนสาวเท้าเข้าไปข้างในแล้วต่างคนต่างนั่งลง
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์ ก็คือบุรุษร่างผอมเล็กในอาภรณ์สีเหลืองอ่อน จมูกเขาโด่งมาก นัยน์ตาทั้งคู่ลึกล้ำ แม้จะตัวผอมเล็ก ราวกับร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศโดยรอบอย่างสิ้นเชิง เขาก็คืออากาศ อากาศก็คือเขา ทำให้เกิดอานุภาพกดดันอันไร้รูปร่าง ทำเอาผู้แกร่งกล้าทั้งหมดในที่นั้นล้วนต้องกลั้นหายใจ เขา ก็คือประมุขแห่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ หนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกานั่นเอง
“ท่านประมุขรัฐ”
บรรยากาศที่นั่นอึดอัด แต่ละคนล้วนมองไปทางประมุขรัฐ
นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณามองไกลออกไป โบกมือคราหนึ่ง กระจกทรงกลมบานหนึ่งก็ลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้า แล้วสะท้อนกาลมิติอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่นานนักเหนือกระจกทรงกลมก็มีภาพของเมืองอัคคีโชติปรากฏขึ้น
“การบูชาโลหิต”
“เป็นการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ”
จ้าวทั้งสามและอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งห้าล้วนมีสีหน้าไม่น่ามอง อ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งห้าที่สามารถมาที่นี่ได้…ล้วนแต่เป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบ
“ไม่นะ”
ร่างแปรของแม่เฒ่าอิงซานก็ประจำอยู่ที่นครหลวง ยามนี้นางมองภาพเหนือกระจกทรงกลมด้วยความร้อนรน กระจกทรงกลมนี้มีนามว่า ‘กระจกยลฟ้า’ สามารถอาศัยสิ่งนี้สอดส่องดูทุกบริเวณทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้ สถานที่ซึ่งสามารถสกัดกั้นการสอดส่องของมันได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ต่อให้มิติปิดผนึกและถูกตัดขาด แม้แต่สถานที่ซึ่งมิอาจส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ ก็สามารถสำรวจได้ด้วยเช่นกัน
นี่ก็คือสมบัติลับที่ราคาสูงลิ่วชิ้นหนึ่ง
“ท่านประมุขรัฐ” แม่เฒ่าอิงซานรีบยืดกายขึ้นแล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “นี่คือเมืองอัคคีโชติ เมืองอัคคีโชติของตระกูลอิงซานของข้า จะมัวแต่มอง…”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบงัน นัยน์ตาลึกล้ำจับจ้องแต่กระจกยลฟ้า
“‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ลูกหลานของตระกูลอิงซานเราก็อยู่ในเมืองอัคคีโชติด้วยเช่นกัน พรสวรรค์ของเขาสูงส่งอย่างยิ่ง ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องอย่างแน่นอน” แม่เฒ่าอิงซานพูดอย่างร้อนรน
“ทำอย่างไรได้บ้าง”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยปากขึ้นในที่สุด น้ำเสียงทุ้มต่ำและเยียบเย็น “ลงมือหรือ หากข้าทำลายความปรองดองนี้ลงไป เช่นนั้นก็เท่ากับตบหน้าท่านเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬ! เจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬล้วนแต่สามารถลงมือได้ ถึงตอนนั้นก็จะเกิดสงครามใหญ่ซึ่งแผ่คลุมไปทั่วทั้งรัฐเมฆทักษิณาขึ้นได้ ผู้บาดเจ็บล้มตายก็ยากที่จะประมาณได้”
แม่เฒ่าอิงซานพูดอะไรไม่ออกในทันใด
นางรู้
และนางก็เข้าใจ
แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะปกครองทั้งรัฐเมฆทักษิณาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก แต่โดยเนื้อแท้ของทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว ก็ยังนับถือผู้แกร่งกล้า! ท่านเจ้าลัทธิทั้งสามแห่ง ‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ แต่ละคนล้วนเป็นมารร้ายที่น่าหวาดหวั่นซึ่งเป็นภัยต่อทั้งดินแดนจิตโลกา แม้แต่หกรัฐโบราณก็ยังมิอาจกำจัดพวกเขาทิ้งได้ สี่รัฐมารทมิฬล้วนถูกปกคลุมอยู่ใต้เงามืดของพวกเขา!
เมื่อเทียบกันแล้ว รัฐเมฆทักษิณาก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
รัฐประกายเพลิง…จำนวนครั้งในการกวาดล้างมากมายนัก ทะเลสาบมารทมิฬก็กวาดล้างบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าก็ไม่มีทาง ‘วิดน้ำออกเพื่อจับปลา’ บรรดาเทพจักรวาลของรัฐประกายเพลิงก็มิกล้าต้านทาน
รัฐเพรียกหิมะนั้นกล้างัดข้อกับหกรัฐโบราณ นิสัยของประมุขรัฐก็มุทะลุดุดัน เขายังงัดข้อกับทะเลสาบมารทมิฬด้วย แต่ว่าหกรัฐโบราณและทะเลสาบมารทมิฬมิได้ถูกฉีกหน้าได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ดังนั้นในประวัติศาสตร์ รัฐเพรียกหิมะก็ประสบกับหายนะใหญ่หลายครั้ง ทว่าทะเลสาบมารทมิฬก็ปวดหัวอยู่เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นกระดูกแข็งที่ยากจะขบ ดังนั้นโดยทั่วไปก็จะไม่ลงมือ เมื่อลงมือแล้วก็ต้องให้บทเรียนอย่างหนักหน่วง
รัฐวอเฟิงอยู่ใกล้รัฐโบราณคิมหันตวายุที่สุด อันที่จริงก็สวามิภักดิ์ต่อรัฐโบราณคิมหันตวายุมานานแล้ว มีการคุ้มกันของรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่จึงดีกว่าอยู่บ้าง จำนวนครั้งที่ทะเลสาบมารทมิฬไปก่อเรื่องก็ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีอยู่กหลายครั้ง
เพราะถึงอย่างไร…
ทะเลสาบมารทมิฬก็ไม่กลัวรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่แล้ว พวกเขากล้าไปทำตัวเป็นภัยในรัฐโบราณคิมหันตวายุเช่นกัน
มีเพียง ‘รัฐเมฆทักษิณา’ เท่านั้นที่นับว่ามีจำนวนครั้งน้อยที่สุด ตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็แข็งแกร่ง ทั้งยังผูกสัมพันธ์ไปทั่วสารทิศ ทั้งยังลอบสร้างสัมพันธ์อันดีกับท่านเจ้าลัทธิทั้งสามของทะเลสาบมารทมิฬอย่างลับๆ อีกด้วย! แต่ตอให้มีความสัมพันธ์ดีกว่านี้…ถึงอย่างไรทะเลสาบมารทมิฬก็บูชาโลหิตบ้างเป็นครั้งคราว โดยทั่วไปล้วนแต่เลือก เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐเมฆทักษิณาเท่านั้นเอง
นี่คือกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่
ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ล้วนทำตาม! ทะเลสาบมารทมิฬมีหน้ามีตา รัฐเมฆทักษิณาก็รักษาความรุ่งเรืองและมั่นคงเอาไว้ได้
“แต่ แต่ว่า…” แม่เฒ่าอิงซานมองดูกระจกที่ลอยคว้างอยู่กลางฟ้าบานนั้น มองดูภาพสะท้อนของบุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่กลางอากาศจากในกระจก แม่เฒ่าอิงซานมองปราดเดียวก็จำได้ว่า นั่นคือประมุขมารเมฆาขาว สิ่งมีชีวิตระดับประมุขมารแห่งทะเลสาบมารทมิฬ แต่ลูกหลานตระกูลอิงซานเรา ยังมีเจ้าหนูเสวี่ยอิง…”
แม่เฒ่าอิงซานเจ็บปวดใจจริงๆ
นอกจากเรือนประจำตระกูลของตระกูลอิงซานแล้ว ก็ยังมีเรือนย่อยอีกหกแห่ง อย่างเมืองอัคคีโชตินี้ก็มีเรือนย่อยอยู่หลังหนึ่ง! ลูกหลานตระกูลอิงซานมากมายถึงเพียงนั้น ยังมีเจ้าหนูเสวี่ยอิงที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานคนนั้นด้วย…
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไรกัน” แม่เฒ่าอิงซานเจ็บปวดใจและแค้นเคือง นางอยากจะบุกเข้าไปนัก
แต่นางรู้ว่า
ภายใต้มิติที่ปิดผนึก นางก็หาเมืองอัคคีโชติไม่พบ! ผู้ที่มีพลังพอจะเข้าไปในรัฐเมฆทักษิณาได้ มีเพียงประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งสามารถสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ออกมาได้เท่านั้น แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่มีทางฉีกหน้าท่านเจ้าลัทธิทั้งสามของทะเลสาบมารทมิฬเพียงเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“สมควรตาย สมควรตาย” นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบสงบมาก ราวกับมหาสมุทรใหญ่อันไร้ที่สิ้นสุดซึ่งไร้ระลอกคลื่น เบื้องล่างกลับมีคลื่นอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด
ตัวเมืองใต้บังคับบัญชาของเขา
ไพร่ฟ้าของเขา
บัดนี้กำลังจะถูกกวาดล้าง ถูกบูชาโลหิต
แล้วเขาจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไรกัน
แต่ว่า…บางครั้งก็ต้องอดทน! เมื่อเผชิญหน้ากับทะเลสาบมารทมิฬ บางครั้งเขาก็ต้องอดทน! กับหกรัฐโบราณ บางครั้งเขาก็ต้องอดทนเช่นเดียวกัน!
……………………………………….