Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 45 ล้อมโจมตี
ยามนี้ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่รวมตัวกันเป็นค่ายกลรบ อานุภาพร้ายกาจเทียมฟ้า ต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับประมุขมารก็กล้ากดดันโจมตี จึงย่อมมั่นใจเต็มเปี่ยม จากนั้นชายชราผมขาวอาภรณ์สีโลหิตคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ คราหนึ่ง
ดูเหมือนจะแผ่วเบาดุจลมโชยดั่งเมฆปลิว แต่อันที่จริงกลับเป็นท่าไม้ตาย
ถึงอย่างไรก็มิใช่ขั้นอลวนทุกคนที่ชมชอบการต่อสู้ประชิดตัว อย่างชาติก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้เขตลวงโลกเทียม จึงต่อสู้ประชิดตัวน้อยมาก
“เอ๊ะ”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
บริเวณเมฆาแดงที่เขาคงเอาไว้ตลอดเวลานั้นพลันสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันเล็กละเอียดอย่างยิ่ง ชายชราผมขาวอาภรณ์สีโลหิตผู้นั้นเพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ระลอกคลื่นก็เกิดขึ้น แล้วส่งถ่ายเข้ามายังบริเวณที่ตนอยู่ในพริบตา ต่อให้เป็น ‘บริเวณเมฆาแดง’ ของตนก็มิอาจเคลื่อนย้ายหนีไปได้ทัน เห็นได้ชัดว่าหลังจากอาศัยค่ายกลรบจนบรรลุถึงอานุภาพชั้นที่สิบแล้ว ก็ย่อมเพิ่มความไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก
“วิ้ง” ระลอกคลื่นพลันบุกเข้ามาโจมตี
บันไดน้ำวนสามสายที่รายล้อมรอบผิวกายตงป๋อเสวี่ยอิงได้ตัดขาดอานุภาพออกไปราวเจ็ดแปดส่วน อานุภาพที่หลงเหลืออยู่ก็ได้รุกรานเข้าไปทั่วร่าง ทำให้ร่างกายอื้ออึงไปหมดในทันใด ห้วงสมองและวิญญาณก็อึงอลไปหมด!
ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่แปด…ในการประมือระดับนี้ก็ยังคงอ่อนแอเกินไปบ้าง! เคราะห์ดีที่ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงส่งพอ การรับรู้ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุนั้นสูงส่งลึกล้ำอย่างยิ่ง อย่างผู้บำเพ็ญสายโลหิตทั่วไปนั้นอาศัยศาสตร์ลับเป็นหลัก ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็บำเพ็ญระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ไปควบคู่กัน ต่อให้ร่างกายอ่อนแอมาก เขาก็สามารถสำแดง กลเม็ด ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ อันสูงส่งลึกล้ำอย่างยิ่งออกมาได้
เพราะชาติก่อน ให้ความสำคัญกับเคล็ดวิชาสืบทอดของจักรพรรดิเก้าเมฆาและวิชาลับผู้ท่องล้วนให้ความสำคัญกับ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ เป็นอันมาก ตนก็รับรู้เกราะของแม่ทัพโม่กู่ ตอนนั้นเขาอยากจะบรรลุ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ ตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน น่าเสียดายที่ได้เกราะเกล็ดมาไม่นานเท่าใดนักก็เผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วถูกบีบบังคับให้กลับชาติมาจุติ
แต่ทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุ พื้นฐานของเขาหนาแน่นอย่างยิ่ง อาศัยวิธีการความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ทำให้อ่อนกำลังลงได้ถึงเก้าส่วน ร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงสามารถต้านทานเอาไว้ได้
“เอ๊ะ ร่างกายของเขาน่าจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่กลับต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ” ชายชราผมขาวอาภรณ์สีโลหิตซึ่งสำแดงท่าไม้ตายออกมาเห็นเข้าก็ขบกรามกรอด จากนั้นก็สะบัดอาภรณ์หลายครั้ง
ฟิ้วๆๆ
ระลอกคลื่นเล็กน้อยอย่างยิ่งโจมตีเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรู้สึกว่าร่างกายอื้ออึงไปหมด แต่ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของเขาเลย
“ดินแดนจิตโลกานั้นไม่เหมือนกับอากาศอันสับสนอลหม่าน ที่นี่มีวิธีการต่อสู้มากกว่า! ดังนั้นคิดจะมีชีวิตรอด ก็ต้องเสริมทุกจุดอ่อนเอาไว้ให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ บัดนี้สิ่งที่อ่อนแอที่สุดของตนก็คือร่างกายนั่นเอง ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่แปดและชั้นที่สิบนั้นแตกต่างกันถึงสองระดับขั้น นี่ก็เป็นความแตกต่างจากแก่นแท้แล้ว
สองระดับขั้น โดยทั่วไปก็สามารถก่อให้เกิดผลของการกวาดล้างขนานใหญ่ได้แล้ว
ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นประมุขมารเมฆาขาว หรือว่าค่ายกลรบของขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน ก็ล้วนสำแดงพลังรบขั้นอลวนชั้นที่สิบออกมา
“ตายเสียเถิด” ประมุขมารเมฆาขาวกลับลอบโจมตีเข้ามาอย่างไม่สนใจหน้าตาตนเอง เขาอ้าปากกว้างใหญ่ดุจแอ่งโลหิตบีบเข้าไปใกล้อย่างหนักหน่วง หมายจะกลืนเข้าไปในคำเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบหลบไปหลายพันลี้ ขณะเดียวกันหอกยาวในมือเล่มหนึ่งก็ฟันตรงออกไปอย่างดุเดือด โบกมือคราหนึ่ง ตอนที่หอกยาวร่อนลงไปก็มาถึงข้างปากใหญ่ของประมุขมารเมฆาขาว ตู้มมม…ประมุขมารเมฆาขาวถูกกระแทกแต่ร่างกายกลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ร่างกายสะท้านสะเทือนไปเล็กน้อย และอานุภาพการโจมตีก็ได้รับผลกระทบบ้าง
“ตู้ม!”
อสนีบาตสายหนึ่งพลันร่อนลงมา
แม้ความเร็วจะสู้ระลอกคลื่นนั้นมิได้ แต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหลีกไม่ทันจนถูกกระบวนท่าเข้าไป เพลิงอัสนีสายหนึ่งฟันตรงลงบนร่างของเขา ทว่าร่างกายของเขาราวกับอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง เพลิงอัสนีก็กระทบลงกับพื้นเสียงดังตู้ม ทำเอาผืนดินมีหลุมลึกจนมองไม่เห็นก้นปรากฏขึ้นมา
“ถูกโจมตีสองกระบวนท่าต่อเนื่องกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกร่างกายชาหนึบขึ้นมา ประมุขมารเมฆาขาวเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
“แฮ่…”
ในบรรดาขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน ท้ายที่สุดเฉินอู่ก็เป็นผู้ที่บัญชาการทั้งค่ายกลรบและออกกระบวนท่า
เนื่องจากอานุภาพของค่ายกลรบจะต้องรวมกันเป็นร่างเดียวจึงจะสามารถปะทุอานุภาพชั้นที่สิบออกมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงออกกระบวนท่ามาอย่างต่อเนื่อง หากออกกระบวนท่าพร้อมกัน อานุภาพก็จะลดลงเป็นอันมาก
ในมือของเฉินอู่มีขวานมหึมาเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วฟันเข้ามาอย่างดุเดือด เขาเป็นคนจำพวกต่อสู้ประชิดตัวคนหนึ่ง
“ยังดีที่อีกสองคนที่เหลือโจมตีช้ากว่าอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถอนหายใจเล็กน้อย เขาเข้าใจมารร้ายขั้นอลวนชั้นที่เก้ามาก่อนแล้ว จึงรู้จักกระบวนท่าที่พวกเขาเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
บางกระบวนท่านั้นมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เช่นกระบวนท่าเขตลวงของตน ไปจนถึงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายในตอนนั้น ล้วนแต่ร่อนลงไปในทันที มิอาจหลบได้พ้น ทำได้เพียงทนรับเท่านั้น!
มารร้ายขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่ตนในครั้งนี้นั้น คนหนึ่งเชี่ยวชาญวิชาระลอกคลื่นล้างสังหารซึ่งเป็นวิชาที่มาถึงตัวทันที มิอาจหลบหลีกได้! ‘เพลิงอัสนี’ นั้นก็มีหวังจะหลบหลีกได้ แต่มันรวดเร็วเกินไป กายหยาบของตนร่างนี้ยังคงอ่อนแอเกินไป ยังมิทันได้ขยับเขยื้อนก็ถูกกระบวนท่าเข้าเสียแล้ว แต่สองคนถัดมาก็ดีกว่าอยู่บ้าง
“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”
เฉินอู่บัญชาการค่ายกลรบและประมุขมารเมฆาขาวก็เข้าโจมตีประชิดตัว กระบวนท่าสับเปลี่ยนไปร้อยแปดพันประการ ทั้งยังสามารถผสานซึ่งกันและกันได้ ทำให้อานุภาพยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ว่องไวดุจปีศาจ อีกทั้งหอกยาวเล่มหนึ่งก็กวัดแกว่งขึ้นมา อากาศและสายน้ำอันแปลกพิสดารสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นมารายล้อมหอกยาวเอาไว้ หอกยาวราวกับสายน้ำซึ่งโจมตีอย่างรุนแรง ใช้หนึ่งโจมตีสอง…แต่กลับโจมตีอย่างสุขสราญนัก
“พันธนาการ”
เฉินอู่ถอยไป แล้วสลับเอาชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขึ้นมาบัญชาการค่ายกลรบแทน
ตู้ม
ทันใดนั้นอสรพิษตัวใหญ่สีเขียวเข้มตัวหนึ่งก็รวมตัวกันแล้วปรากฏขึ้นมา หมายจะพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้
“จะถูกพันธนาการไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจข้อนี้ดี เพราะหากถูกพันธนาการขึ้นมา แล้วประมุขมารเมฆาขาวกลืนตนลงไปในคำเดียวแล้วล่ะก็ คงต้องยุ่งยากมากทีเดียว
……
ยอดฝีมือทั้งสี่ซึ่งรวมกันเป็นค่ายกลรบนั้นต่างคนต่างก็มีท่าไม้ตายหลายกระบวนท่า ยามนี้ท่าไม้ตายหลายกระบวนท่าล้วนแต่ปะทุอานุภาพชั้นที่สิบระดับยอดออกมา และร่วมมือกับประมุขมารเมฆาขาวอย่างต่อเนื่องเพื่อล้อมสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง
ภายในจวนสกุลฝานในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“พลังระดับนี้จะต้องเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว” ฝานเทียนฉ่งมองดูกระจกยลฟ้า ในใจรู้สึกชื่นชม
หนึ่งพันห้าร้อยล้านปีก็เข้าถึงกระบวนท่าระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบได้แล้ว
แม้ในดินแดนจิตโลกาจะมีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน เคล็ดวิชาที่ร้ายกาจก็มีมากมายอย่างยิ่ง และอบรมศิษย์ได้ร้ายกาจเป็นอย่างมากด้วย ก็นับได้ว่ายอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว ผู้ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานจำนวนนับไม่ถ้วนภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาอาจจะดีกว่าอยู่บ้าง แต่ภายในรัฐเมฆทักษิณากลับนับได้ว่าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์แล้ว
“เขาสำแดงยุทธวิธีเมฆาแดงออกมาจริงๆ ทว่า ไม่รู้ว่าเขารับรู้ไปถึงขั้นไหนแล้ว” ฝานเทียนฉ่งลอบคิด ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่ผู้บำเพ็ญทางสายอากาศ จึงทำได้เพียงมองผ่านกระจกยลฟ้าเท่านั้น ยากนักที่จะมีการคาดการณ์ที่แม่นยำอย่างยิ่ง
เขาส่งสารให้ภายในตระกูล
ไม่นานนัก ก็มีข่าวหนึ่งส่งมาจากในตระกูล
“ตามการคาดการณ์ หอกยาวในมืออิงซานเสวี่ยอิงเล่มนั้นน่าจะเป็นหอกมารเมฆาแดงซึ่งเป็นของนายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้น เขาน่าจะรับรู้หอกมารเมฆาแดงแล้วเคี่ยวกรำศาสตร์พิฆาตเหล่านี้ขึ้นมา บัดนี้เขาสำแดงศาสตร์พิฆาตทั้งสี่ของยุทธวิธีเมฆาแดงออกมาแล้ว ในเมื่อรับรู้ถึงสี่วิชา ด้วยการรับรู้ของเขา คาดว่าคงจะรับรู้ ศาสตร์พิฆาตวิชาที่ห้า ‘เคล็ดการร่วมโจมตี’ แล้วเช่นกัน เมื่อเทียบกับยุทธวิธีเมฆาแดงที่สมบูรณ์แล้ว ก็ขาดเพียงแค่ร่างมารเมฆาแดงเพียงร่างเดียวเท่านั้น”
ร่างมารเมฆาแดงนั้นมีชื่อเสียงว่าหมื่นกัลป์ไม่แตกสลาย
“แต่ทว่า…เขาน่าจะผลักดันบริเวณจนบรรลุถึงอานุภาพระดับชั้นที่เก้า แล้วอาศัยหอกมารเมฆาแดงสำแดงอานุภาพชั้นที่สิบออกมา ส่วนเคล็ดสังหารทั้งสามที่เหลือ อาศัยหอกมารเมฆาแดงก็เป็นเพียงชั้นที่เก้าระดับยอดเท่านั้น”
“ด้วยการรับรู้ของเขาแล้ว หากเวลาเพียงพอ ต้องสามารถรับรู้เคล็ดสังหารทั้งห้าแห่งยุทธวิธีเมฆาแดงซึ่งเป็นส่วนของขั้นอลวนได้จนหมดอย่างแน่นอน”
“หอกมารเมฆาแดงเล่มนั้น สำหรับเขาแล้วก็ออกจะฟุ่มเฟือยอยู่บ้าง เทียนฉ่ง เจ้าลองดูสิ ลองดูว่าจะซื้อหอกมารเมฆาแดงมาจากอิงซานเสวี่ยอิงได้หรือไม่”
ฝานเทียนฉ่งไตร่ตรองสารที่ในตระกูลส่งมาให้
ตระกูลก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก
เพราะทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่กำหนดฐานของขุมอำนาจก็คือบรรดาเทพจักรวาลเป็นหลัก! ดังนั้นส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของยุทธวิธีเมฆาแดงก็คือส่วนของเทพจักรวาลนั่นเอง
เทพจักรวาลทั้งหลาย หากไร้ซึ่งศาสตร์ลับที่ร้ายกาจก็อาจถึงขั้นสำแดงออกมาได้เพียงพลังชั้นที่สิบเท่านั้น คิดจะแข็งแกร่งกว่าคนระดับพวกประมุขมารเมฆาขาวหรือตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ ส่วนเทพจักรวาลของศาสตร์ลับอันแข็งแกร่งนั้น…คิดจะได้ศึกษาก็ยากเกินไปแล้ว บรรดาเทพจักรวาลโดยทั่วไปล้วนถูกบังคับให้สวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจใหญ่แต่ละฝ่าย เช่นสวามิภักดิ์ต่อหกรัฐโบราณ
จากนั้นก็ต้องโรมรันทำสงครามเพื่อหกรัฐโบราณ เช่นนี้แล้วจึงจะได้รับส่วนที่สูงส่งลึกล้ำได้
ดังเช่นม้วนเมฆาของสิบม้วนทิพย์สามารถเผยแพร่ต่อภายนอกได้ แต่ก็เพียงแค่ส่วนของขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งสูงที่สุดเท่านั้น คิดจะสูงส่งลึกล้ำกว่านี้น่ะหรือ ออกรบและเข่นฆ่าเพื่อ ‘รัฐโบราณสหโลกา’ ของเราเถิด เทียบได้กับการขายตัวเอง เมื่อสวามิภักดิ์แล้ว ก็มีเคล็ดลับชนิดต่างๆ พันธนาการเอาไว้ ยากนักที่จะทรยศได้
“มอบหอกมารเมฆาแดงให้อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็ออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยแล้วกระมัง” ฝานเทียนฉ่งพึมพำ “สมบัติลับที่แกร่งกล้าระดับนี้สามารถให้เทพจักรวาลที่บำเพ็ญยุทธวิธีเมฆาแดงไปใช้ได้เลยทีเดียว”
ภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ
เทพจักรวาลที่บำเพ็ญยุทธวิธีเมฆาแดงก็มีอยู่หลายคนด้วยกัน
แน่นอนว่าเมื่อบำเพ็ญจนบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว พลังก็จะไม่แพ้นายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้นเลย แต่กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือ ผู้วิเศษ คนหนึ่งของ ‘ครอบครัวสกุลชาง’ หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ หากพูดอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ผู้วิเศษยังแข็งแกร่งกว่านายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้นอยู่เล็กน้อย เพราะถึงอ่างไรหลังจากผ่านสงครามรัฐโบราณถึงสองครั้ง บัดนี้ศาสตร์ลับและเคล็ดลับต่างๆ ก็มีมากมายขึ้น วิธีการรักษาชีวิตก็มากขึ้น ผู้วิเศษท่านนั้นก็ไม่ต้องการหอกมารเมฆาแดงนี้แล้ว เพราะเขาก็ได้หลอมสมบัติลับที่แข็งแกร่งซึ่งเหมาะสมกับตนเองมากกว่าขึ้นมาแล้ว
แต่ภายในรัฐโบราณก็ยังคงมีเทพจักรวาลคนอื่นอีกหลายคนที่ต้องการ
“ต้องได้มาอยู่ในมือให้ได้”
“ทว่าจะไปแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งมิได้” ฝานเทียนฉ่งครุ่นคิด “เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีพลังระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะต้องสั่งให้พลีชีพเพื่อปกป้องเขาแน่นอน”
รัฐเมฆทักษิณา มีจ้าวสามท่านและขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งเป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งรวมห้าท่าน พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพลังรบที่สำคัญที่สุดภายใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งต้องได้รับการปกป้องโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น จึงไม่ยอมให้สกุลฝานไปแย่งชิงได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
หากตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงโหวที่ได้รับการแต่งตั้งที่อ่อนแอคนหนึ่ง สกุลฝานก็คงแย่งชิงไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“ต้องคิดหาวิธีเสียหน่อยแล้ว” ฝานเทียนฉ่งพึมพำ
……
ภายในกระท่อมไม้ไผ่ซึ่งมีธารน้ำรายล้อมแห่งหนึ่ง
‘เฉี่ยนอีเสี่ยว’ สตรีอาภรณ์สีม่วงซึ่งเดิมทีกำลังปักผ้าอยู่อย่างสงบสะดุ้งอยู่ตรงนั้น นางตกใจจนเข็มปักผ้าในมือร่วงหล่นลงบนพื้น
“อะไรนะ” เฉี่ยนอีเสี่ยวไม่อยากจะเชื่อ
“พลังระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างนั้นหรือ” เฉี่ยนอีเสี่ยวตกตะลึง ตระกูลเฉี่ยนอีของนางในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณานั้นไม่มีพลังรบระดับชั้นที่สิบ ในคราวคับขันก็ต้องโยกย้ายยอดฝีมือมาจากในรัฐโบราณจันทร์บุปผา
พลังระดับชั้นที่สิบ…
ทั้งสี่รัฐมารทมิฬและทะเลสาบมารทมิฬก็ล้วนจัดเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอด อย่างแม่เฒ่าอิงซานนั้นกล้าหักหน้าตระกูลเฉี่ยนอี ขั้นอลวนทั่วไปจะกล้าเสียที่ไหนกันเล่า
“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ” เฉี่ยนอีเสี่ยวเลิกคิ้ว บัดนี้ตระกูลอิงซานมีขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบถึงสองคนแล้ว นับจากนี้ไปกลยุทธ์ที่ใช้ปฏิบัติต่อตระกูลอิงซานต้องปรับเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว
……
ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิง ประมุขมารเมฆาขาวและค่ายกลรบขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คนกำลังห้ำหั่นกันนั้น แต่ละฝ่ายก็วิเคราะห์พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียดตามภาพการต่อสู้ ไม่ว่าอย่างไรรัฐรอบด้านก็ล้วนเข้าใจว่า ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบผู้ไร้เทียมทานถือกำเนิดขึ้นอีกคนแล้ว
………………………………..