Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 47 ความในใจ
“การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬในครั้งนี้ล้มเหลว พวกเขาจากไปไกลลิบๆ แล้ว ช่างสุขสราญจริงเชียว” จ้าวฉุนอวี้ก็พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า
จ้าวทานเผิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับหัวเราะจนตาหยี “ก่อนหน้านี้อิงซานเสวี่ยอิงเก็บตัวบำเพ็ญมาโดยตลอด แลละไม่สามารถรวบรวมวัสดุล้ำค่าได้มากพอ ตามที่ท่านอาจารย์พูดก่อนหน้านี้ ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของอิงซานเสวี่ยอิงเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่แปดเท่านั้น แต่เขากลับสามารถสำแดง ‘อากาศผุยผง’ ออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าเข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้านี้แล้ว ทั้งยังมิได้อาศัยพลังของร่างเมฆทักษิณาทิพย์อีกด้วย หากแต่รู้แจ้งกระบวนท่านี้จริงๆ เห็นทีด้วยระดับขั้นของเขา เมื่อร่างเมฆทักษิณาทิพย์บรรลุถึงชั้นที่สิบจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็คงมีหวังที่จะเข้าถึงเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าด้วย”
“ใช่”
“ถูกต้อง”
แต่ละคนในที่นั้นพากันพยักหน้า
อาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ การเข้าถึงกระบวนท่าในระดับเดียวกันก็สบายขึ้นนับสิบเท่า และนี่ก็คือเหตุผลที่ศาสตร์ลับนี้เผยแพร่ออกไปได้อย่างกว้างขวาง
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีสายตาเฉียบคมระดับใด เพียงมองปราดเดียวก็ตัดสินได้แล้วว่า ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงระดับแปดเท่านั้น
“สามารถเข้าถึง ‘อากาศผุยผง’ และ ‘ดาบจิตโลกา’ ทั้งสองกระบวนท่านี้ได้โดยไม่อาศัยร่างทิพย์” นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณาแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ เขาเอ่ยชมว่า “นอกจากนี้บริเวณอากาศที่เขาสำแดงออกมาก็น่าจะเป็นสิ่งที่รับรู้จากสมบัติลับหอกเทพเล่มนั้น พลังรบก็สามารถบรรลุถึงชั้นที่สิบได้อีกด้วย วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามีคำชี้แนะโดยละเอียด สำหรับเขาแล้วระดับความยากก็คงจะต่ำกว่า ทันทีที่ร่างทิพย์ครบสมบูรณ์ จะเข้าถึงเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าก็น่าจะรวดเร็วแล้ว”
“ยินดีกับท่านอาจารย์ด้วยขอรับ” จ้าวทานเผิงกล่าว “ต่อไปข้าก็จะมีศิษย์น้องเล็กที่เก่งกาจคนหนึ่งแล้ว”
จ้าวคนอื่นๆ และอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งคนอื่นในที่นั้นได้ยินแล้วก็ลอบร่ำร้องในใจทันทีว่าจ้าวทานเผิงผู้นี้มีปฏิกิริยาฉับไวนัก
“อิงซานเสวี่ยอิงเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทางสายอากาศ หากคารวะเข้าอยู่ในสำนักของประมุขรัฐ เกรงว่าคงมีหวังจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้”
“หากพูดถึงทางสายอากาศแล้ว เมื่อทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่สามารถเทียบกับประมุขรัฐได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ อิงซานเสวี่ยอิงสามารถคารวะเข้าอยู่ในสำนักของประมุขรัฐได้ก็นับว่าเป็นเกียรติของเขาแล้ว”
“ยินดีกับประมุขรัฐด้วย”
แต่ละคนกล่าวขึ้นมา
แม้แต่แม่เฒ่าอิงซานก็แสดงความยินดีอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาล้วนแต่มองออกว่า ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีรอยยิ้มระบายเต็มหน้า เห็นได้ชัดว่ามีความสุขกับเรื่องนี้เป็นอันมาก
ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้มน้อยๆ “ฮ่าฮ่า อาจารย์เลือกศิษย์ ศิษย์ก็เลือกอาจารย์เช่นเดียวกัน ข้ามีใจอยาก แต่ก็ต้องดูความคิดของอิงซานเสวี่ยอิงด้วยเช่นกัน! เพราะถึงอย่างไรศึกนี้ เกรงว่ารัฐรอบด้านก็คงทราบเรื่องเช่นกัน อย่างรัฐโบราณคิมหันตวายุก็ต้องล่วงรู้ ก็ต้องมีคนมารับเขาเป็นศิษย์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้เช่นกัน”
แม่เฒ่าอิงซานรู้แจ้งแก่ใจดี นางกล่าวขึ้นทันทีว่า “ท่านประมุขรัฐ ข้าจะไปถามเจ้าเด็กเสวี่ยอิงผู้นั้นว่าเขาคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“จะไปบังคับมิได้ล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
บำเพ็ญหนึ่งพันห้าร้อยล้านปี บัดนี้ก็มีพลังรบระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบแล้ว ยอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐโบราณแห่งใดในหกรัฐโบราณ ก็สามารถถูกรับเข้าสู่ระดับหัวใจสำคัญของขุมอำนาจใหญ่ที่สุดได้แล้ว
……
สี่รัฐมารทมิฬต่างก็ใส่ใจการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬเป็นที่สุด
รัฐประกายเพลิง รัฐวอเฟิงและรัฐเพรียกหิมะส่องดูผ่านกระจกยลฟ้าอยู่ห่างๆ
“เฮอะ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้นก็โชคดีเกินไปแล้ว เหตุใดรัฐเพรียกหิมะของข้าจึงไม่มียอดฝีมือผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาบ้างเล่า โอกาสที่จะบ่มเพาะจนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้นั้นสูงนัก ถึงตอนนั้นก็มีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว” ประมุขรัฐเพรียกหิมะนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์หยก ตรงกลางโถงตำหนักมีหลุมลึกขนาดมหึมาอยู่หลุมหนึ่ง ในนั้นมีอสรพิษและแมลงพิษจำนวนมากกัดกินอยู่ภายใน
ประมุขรัฐเพรียกหิมะโยนสมบัติล้ำค่าของฟ้าดินลงไปบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อทำให้พิษภายในหลุมลึกนั้นบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
……
“สถานที่เล็กๆ อย่างรัฐเมฆทักษิณานั่นก็มียอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยหรือนี่ หนึ่งพันห้าร้อยล้านปีก็บรรลุขั้นอลวนชั้นที่สิบแล้วหรือ” ภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกจากสามตระกูลใหญ่ที่มีสถานะเหนือธรรมดาที่สุดแล้ว ก็มีตระกูลอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งตระกูลเหล่านี้ มีหลายตระกูลที่พึ่งพิงสามตระกูลใหญ่ หากพูดถึงพลังแล้ว บางตระกูลก็ไม่แพ้ทั้งรัฐเมฆทักษิณาเลย จึงย่อมมีความรู้สึกว่าเหนือกว่ารัฐเมฆทักษิณาเป็นธรรมดา
ผู้ที่สามารถทำให้พวกเขาเห็นอยู่ในสายตาได้มีไม่มากนัก โดยทั่วไปผู้ที่บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างแม่เฒ่าอิงซานจึงจะสามารถได้รับความเคารพขากพวกเขา ส่วน ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ น่ะหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสิบเจ้าสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ภายในหกรัฐโบราณก็มีผู้บำเพ็ญมากมายที่เคารพประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอันมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงโผล่ออกมาในครั้งนี้ ก็ย่อมดึงดูดความสนใจมากมายเป็นธรรมดา ความเร็วในการบำเพ็ญเช่นนี้ ก็มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐโบราณคิมหันตวายุได้แล้ว
******
ณ เมืองอัคคีโชติ
แม้ภายในจวนโหวจะเพิ่งผ่านการกวาดล้างมาหมาดๆ ทั้งจวนก็มีผู้ที่บาดเจ็บล้มตายไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรเป็นล้านล้านปี ทางสายนี้ก็มีลูกหลานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนับล้านล้านคน บัดนี้จะล้มตายไปบ้าง ก็เป็นเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น มีเพียงญาติสนิทมิตรสหายของผู้ที่ตายจากไปเท่านั้นที่รู้สึกโศกเศร้า บรรยากาศทั้งจวนโหวกลับคึกคักเป็นอันมาก ลูกหลานจำนวนนับไม่ถ้วนพากันตื่นเต้นยินดีไปกับพลังที่ล้ำเลิศหาใดเปรียบของ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’
“ได้ยินมาว่าคุณชายเสวี่ยอิงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว”
“ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องหรือ มิได้บอกว่าได้รับการแต่งตั้งเป็นโหวหรอกหรือ”
“บุกฝ่าวังปฐมเทพ ชั้นที่เก้าก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องได้แล้ว คุณชายเสวี่ยอิงต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแน่นอน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของคุณชายเสวี่ยอิงในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้คือผู้ใดกัน เป็นประมุขมารคนหนึ่งของทะเลสาบมารทมิฬเชียวนะ!”
“ประมุขมารหรือ”
“ประมุขมารของทะเลสาบมารทมิฬหรือ”
แต่ละแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บางครั้งก็มีเสียงอุทานด้วยความตื่นตกใจ
สิ่งมีชีวิตระดับประมุขมาร ผู้ที่พอจะได้พบเห็นอะไรในสี่รัฐมารทมิฬมาบ้าง ก็ล้วนเคยได้ยินถึงความน่ากลัวของ ‘ประมุขมาร’ มาด้วยกันทั้งนั้น! ประมุขมารไม่ว่าคนใดก็ล้วนสามารถกวาดล้างเมืองหนึ่งได้อย่างง่ายดาย สร้างหายนะไปทั่วสารทิศ อย่างหลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขมารก็สามารถสลายไปได้เพียงพลิกฝ่ามือ! แต่คุณชายเสวี่ยอิงก็ยังสามารถสู้กับประมุขมารคนหนึ่งได้อย่างนั้นหรือ
ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง!
“ข้าถือเอาคุณชายเสวี่ยอิงเป็นเป้าหมายมาโดยตลอด ทว่าบัดนี้เป้าหมายนี้ก็สูงเกินไปแล้ว” ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งเกิดมานั้น หลังจากลูกหลานตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากในเมืองอัคคีโชติล่วงรู้เข้าก็ไม่ยอมจำนน รู้สึกว่าเจ้าเกิดมามีพรสวรรค์สูงส่งแล้วอย่างไรเล่า ข้าก็สามารถบำเพ็ญจนเหนือกว่าเจ้าได้เช่นกัน แต่มาบัดนี้ พวกเขาก็ไม่มีความคิดเช่นนี้อีกต่อไป
เมื่อแตกต่างกันมากจนเทียบไม่ติดแล้ว ก็ไม่มีความริษยาอีกต่อไป ไร้ซึ่งจิตคิดเปรียบเทียบ มีแต่ความคาดหวังเท่านั้น
ใช้กำลังสู้กับประมุขมารอย่างนั้นหรือ
ประมุขมารนั้นสามารถห้ำหั่นกับเทพจักรวาลได้ คุณชายเสวี่ยอิงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ น่าเหลือเชื่อ! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!
……
ด้านนอกวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทานอาหารเป็นเพื่อนบิดามารดาและพี่สาวพลางสนทนากันก่อน จากนั้นก็มาสงบใจอยู่ที่ศาลาข้างทะเลสาบเพียงลำพัง
เขานั่งอยู่ในศาลา วางหอกยาวไว้บนตัก ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาทำสมาธิ ทบทวนเรื่องศึกครั้งนี้
แม้โลกภายนอกจะคึกคัก ว่ากันว่ามีผู้มามอบของกำนัลมากมายนัก มีหลายตระกูลในรัฐเมฆทักษิณาที่มามอบของกำนัลแสดงความยินดีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง! แม้จะยังมิได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนก็รู้ว่า…นี่เป็นเรื่องแน่นอนดั่งปักหมุดเอาไว้
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ไปพบด้วยตนเองเช่นเดียวกันทั้งหมด
บัดนี้ด้วยพลังและสถานะของเขา ก็มีคุณสมบัติจะทำเช่นนี้ได้
ที่เขาไม่ไปพบ…ก็เพราะเขาอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคนของจวนโหวเอง หรือชาวเมืองอัคคีโชติจำนวนนับไม่ถ้วนก็บาดเจ็บล้มตายไปมากมายอย่างยิ่งจริงๆ แม้เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรรวมทั้งเมืองอัคคีโชติแล้ว อาจจะเป็นเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น แต่เมื่อคิดว่าประชากรรวมทั้งเมืองมีจำนวนมากมาย ก็ยังมีผู้ที่บาดเจ็บล้มตายไปมากทีเดียว เพราะถึงอย่างไรกองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้น แต่ละคนลงมือสังหารครั้งหนึ่งก็มากมายก่ายกอง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากจะสังหารกองกำลังมารร้ายเหล่านั้น แต่หากทำเช่นนั้นก็เกรงว่าจะทำให้ประมุขมารเมฆาขาวโกรธขึ้นมาจริงๆ และประมุขมารเมฆาขาวก็คงจะกวาดล้างอย่างบ้าคลั่ง
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหันกลับไปมอง
ไม่นานนักกลางอากาศก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นแม่เฒ่าอิงซานนั่นเอง
“เสวี่ยอิง” แม่เฒ่าอิงซานพูดพลางหัวเราะฮิฮิ ก่อนหน้านี้นางเรียกว่า ‘เจ้าหนูเสวี่ยอิง’ แต่ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมทำให้แม่เฒ่าอิงซานตัดคำว่า ‘เจ้าหนู’ ออกไปเป็นธรรมดา
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบยืดกายขึ้น เขาเคารพแม่เฒ่าอิงซานเป็นอันมาก
“ครั้งนี้เจ้าทำเอาข้าตกอกตกใจไปหมด” แม่เฒ่าอิงซานพูดยิ้มๆ “ข้ากับท่านประมุขรัฐและจ้าวทั้งสาม รวมทั้งอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งหลายได้ชมดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเมืองอัคคีโชติผ่านกระจกยลฟ้า คิดจะช่วยเหลือ แต่กลับมิอาจยื่นมือเข้าช่วยได้เลย ทำได้เพียงร้อนใจเท่านั้น ทว่าเมื่อเห็นเจ้าลงมือ…ก็ทำเอาข้าผวาไปหมด”
“ต้องยกความดีความชอบให้กับหัวหอกที่ท่านบรรพชนช่วยข้าซื้อมาเลยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้ข้าจะต้องมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขมารเมฆาขาวอย่างแน่นอน”
หากไม่มีหัวหอก
แม้อักขระลับบนด้ามหอกจะครองพื้นที่มากถึงเก้าส่วน แต่ถึงอย่างไรก็บกพร่อง ความยากในการรับรู้ก็พุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นอันมาก ตนต้องไม่มีทางยกระดับบริเวณเมฆาแดงจนมีอานุภาพเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรกระบวนท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ตนเข้าถึงหลังออกจากการเก็บตัวได้ไม่นานนัก
“คุ้มค่า คุ้มค่าเกินไปแล้ว” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว “หอกยาวของเจ้าเล่มนั้นเป็นอาวุธของนายท่านฉื้ออวิ๋นอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “หอกยาวเล่มนั้นขาดหัวหอกไป ตอนแรกที่ข้าไปเดินเล่นในชุมชนของล้ำค่าแห่งนครหลวง ข้าก็เกิดการรับรู้ขึ้นมาแล้วพบหัวหอกนั้นเข้า”
“มิน่าเล่า” แม่เฒ่าอิงซานกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว ประมุขรัฐมีคำสั่งลงมาแล้ว ว่าสามวันให้หลังจะแต่งตั้งเจ้าอย่างเป็นทางการ”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า นี่ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขา
“นอกจากนี้ ประมุขรัฐยังตั้งใจจะรับเจ้าเป็นศิษย์อีกด้วย” แม่เฒ่าอิงซานพูดเรื่องสำคัญที่สุดออกมา “นี่จะเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง จนถึงบัดนี้ ประมุขรัฐเพิ่งจะรับศิษย์ทั้งหมดห้าคนเท่านั้น หากเจ้าคารวะเขาเป็นอาจารย์ก็จะเป็นศิษย์คนที่หก ศิษย์ถ่ายทอดเองนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อคารวะอาจารย์แล้ว ก็จะได้รับมอบสิ่งต่างๆ มากมาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วหัวใจก็หวั่นไหวขึ้นมา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณารับศิษย์อย่างนั้นหรือ
ว่ากันว่า ขอเพียงคารวะเป็นอาจารย์ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็จะถ่ายทอดศาสตร์ร่างแยก ซึ่งเป็นเคล็ดลับรักษาชีวิตระดับยอดสุดซึ่งมีมูลค่าเหนือกว่ายุทธวิธีเมฆาแดงอันสมบูรณ์เสียอีกให้ทันที
……………………………..