Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 51 วันเวลา
“ขอบคุณท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำความเคารพ
แม่เฒ่าอิงซานที่อยู่ด้านข้างก็เผยรอยยิ้ม หากแต่นางเองกลับรู้สึกว่าปกติเป็นอย่างยิ่ง อิงซานเสวี่ยอิงเป็นผู้ที่เปล่งประกายจับตาที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐเมฆทักษิณา กระทั่งบรรพชนฝานก็ยังอยากจะรับเป็นศิษย์ มอบมังกรมารตนหนึ่งให้จะนับเป็นอะไรได้เล่า
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าแล้วมองไปทางศิษย์ห้าคนที่อยู่ด้านข้างพลางพูดยิ้มๆ อย่างเรียบเฉยว่า “นี่คือศิษย์พี่ชายหญิงทั้งห้าของเจ้า คิดว่าเจ้าน่าจะรู้จักหมดแล้วล่ะ”
ศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเป็นบุคคลระดับบนของรัฐเมฆทักษิณา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดต่างก็เป็นเฟิงอ๋อง ต่างก็มีชื่อเสียงร่ำลือไปไกล ก็ย่อมเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว
“คารวะศิษย์พี่ชายหญิงทุกท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
บุคคลทั้งห้าตรงหน้านี้
ศิษย์พี่ใหญ่คือจ้าวทานเผิง ซึ่งก็คือหนึ่งในจ้าวทั้งสามแห่งรัฐเมฆทักษิณา! จ้าวทานเผิงติดตามประมุขรัฐเมฆทักษิณามาตั้งแต่ก่อนที่ประมุขรัฐจะสร้างรัฐขึ้นมาเสียอีก มีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนนั้นประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มีวันเวลาที่แร้นแค้นเศร้าโศกอยู่บ้างเช่นกัน ก็ย่อมมีใจอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา มีความตั้งใจในการชี้แนะจ้าวทานเผิงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ทุ่มเทสมบัติล้ำค่านานาชนิดให้กับจ้าวทานเผิง จ้าวทานเผิงจึงเหยียบย่างจากขั้นอลวนเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลในที่สุด
ศิษย์พี่รอง ‘กงเหลียงอี้’ ขั้นอลวนชั้นที่สิบ เป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่แปดที่หาได้ยากคนหนึ่งในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งรัฐที่กราบคารวะเข้าสู่สำนักของประมุขรัฐเมฆทักษิณา
ศิษย์พี่หญิง ‘ท่านหญิงกุ่ยลี่’ จัดเป็นลำดับที่สาม ก็เป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับศิษย์พี่รองแล้วก็อ่อนด้อยกว่าอยู่พอสมควร
ฟู่หลิงอวิ๋นและฟู่หลิงเซียว
พี่น้องคู่นี้…จัดเป็นลำดับที่สี่และห้า ตอนนั้นที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่ในสภาพน่าเวทนา คนรอบกายที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดมิใช่จ้าวทานเผิง หากแต่เป็น ‘ฟู่เฉิน’ ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบที่ล้ำเลิศอีกคนหนึ่ง ฟู่เฉินทุ่มเทติดตาม ความสัมพันธ์กับประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ก็คล้ายกับพี่น้อง หลังจากฟู่เฉินตายไปแล้ว ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ตั้งใจเลี้ยงดูบุตรทั้งสองที่ฟู่เฉินทิ้งเอาไว้ รอให้เด็กสองคนนี้กลายเป็นขั้นอลวน อีกทั้งยังรับเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง แล้วยังทุ่มเทสมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลให้กับพวกเขาสองคนอย่างไม่เสียดาย
แต่พี่น้องคู่นี้ เดิมทีพรสวรรค์ก็สามัญธรรมดา ถึงแม้ว่าจะทุ่มสมบัติล้ำค่าให้มากกว่านี้ ตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนชั้นที่เก้าเท่านั้นเอง
ดูจากตรงจุดนี้ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ยังมีใจอาวรณ์อยู่
“ศิษย์น้อง” ศิษย์พี่ชายหญิงทั้งห้าต่างก็พูดพลางยิ้มน้อยๆ อยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ แต่ละคนต่างก็มีมิตรไมตรีเป็นอย่างดี
******
วันที่สอง
ก็คือวันพิธีแต่งตั้ง สมญานามนั้นก็เป็นตนเองที่ได้ตัดสินเอาไว้ก่อนแล้ว พอถึงเวลานั้นก็แค่เดินผ่านก็ใช้ได้แล้ว
ผู้คนจำนวนมากต่างก็ชอบใช้ชื่อของตนเองมาเป็นสมญานาม! แม้กระทั่งการก่อตั้งตระกูลแห่งหนึ่ง ชื่อของตนก็จะกลายเป็นชื่อสกุลของทั้งตระกูล
สมญานาม พอถึงเวลาก็อาจกลายเป็นชื่อของเมือง หรือชื่อของคฤหาสน์ ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญบางคนที่ไม่ชอบให้ชื่อของตนแพร่หลายไปยังโลกภายนอก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้ตั้งสมญานามอย่างง่ายๆ ให้ตนเองว่า ‘หิมะเหิน’ นี่ก็คือชื่อปลอมที่เขาเคยใช้มาก่อน ทั้งยังเป็นชื่อของหอกยาวที่เขาเคยใช้ตอนที่ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกด้วย
ทั่วทั้งรัฐเมฆทักษิณาคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ภายในพระราชวัง อ๋องโหวราวกับม่านเมฆ แม้กระทั่งรัฐประเทศบริเวณรอบๆ จำนวนหนึ่งต่างก็มีผู้แกร่งกล้ามาร่วมแสดงความยินดี งานเลี้ยงแสดงความยินดีที่ตามมานั้นก็ยิ่งคึกคัก ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะไม่ชมชอบความคึกคักมีชีวิตชีวา แต่ก็ยังจัดการไปพบจ้าวและอ๋องโหวแต่ละท่าน! คราวนี้เทพจักรวาลที่มาจากภายนอกก็มีอยู่หลายท่าน ส่วนผู้รับผิดชอบของขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
หกรัฐโบราณต่างก็มีสาขาย่อยจำนวนหนึ่งอยู่ที่นี่ จะว่าไปแล้วก็แทบทุกตระกูล ล้วนมีความเป็นมาอันใหญ่โตอย่างยิ่ง
แต่เหล่าผู้บำเพ็ญก็ยังดูจากพลังยุทธ์อยู่ดี ถ้าหากพลังยุทธ์ไม่ได้เรื่อง สถานะในตระกูลใหญ่ก็ต่ำต้อย นอกจากผู้ที่เป็นเช่น ‘องค์ชายใหญ่’ ผู้เป็นบุตรคนแรกของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ที่เป็นที่รักใคร่เอ็นดู
……
หลังพิธีแต่งตั้งผ่านพ้นไป
ภายในรัฐเมฆทักษิณาเริ่มทำการสร้างปราการ ‘เมืองหิมะเหิน’ เป็นถึงเมืองของตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงอย่างไรเฟิงอ๋องทุกคนต่างก็มีเมืองอยู่แห่งหนึ่ง! และความที่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนที่หกของรัฐเมฆทักษิณา ปราการเมืองของเขาจึงใหญ่โตเป็นพิเศษ… อยู่ในระดับเดียวกันกับเมืองอิงซานเลยทีเดียว การจะก่อสร้างสถานที่แห่งนี้ หรือแม้กระทั่งการส่งตัวผู้บำเพ็ญจำนวนมากไป ก็จำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าร้อยล้านปี
ถึงอย่างไรเมืองใหญ่ระดับนี้ สิ่งที่ยากที่สุดคือค่ายกลต่างๆ ที่ผนึกสลักลงไป พูดถึงระดับความแกร่งกล้าของค่ายกล เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งประจำการ ค่ายกลหลอมรวมเข้ากับร่างกาย เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปที่มาที่นี่ล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกำราบ!
ก่อนที่จะสร้างเมืองเสร็จ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พำนักอยู่ในนครหลวงเป็นการชั่วคราว
……
วันเวลาเคลื่อนผ่านไป
เพียงพริบตาก็เป็นเวลาสามร้อยล้านปีเศษหลังจากเป็นเฟิงอ๋องแล้ว
ณ เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา
เมืองหิมะเหินสร้างเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พาผู้คนจำนวนหนึ่งจากจวนท่านโหวหั่วเลี่ยมาที่นี่ โดยเฉพาะผู้ล้ำเลิศทางสายของอิงซานเลี่ยฮู่ผู้เป็นบิดาจำนวนหนึ่ง มายังเมืองหิมะเหินเพื่อช่วยจัดการธุระต่างๆ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้จัดการเมืองแห่งนี้อย่างผ่อนคลายสบายใจ เพราะนอกจาก ‘เมืองหิมะเหิน’ แล้วก็ยังสร้างเมืองอีกเก้าแห่ง ซึ่งล้วนเป็นเมืองที่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงรับผิดชอบนิทราประจำการ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” วันคืนของอิงซานเลี่ยฮู่สดใสนัก เมืองใหญ่ระดับเมืองหิมะเหินนี้มีดอกผลเป็นกอบเป็นกำ ส่วนภาระงานของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นเจ้าเมืองผู้นี้ โดยทั่วไปแล้วล้วนให้หรงซิงหลันและอิงซานเลี่ยฮู่สองคนช่วยกันรับผิดชอบ อิงซานเลี่ยฮู่ก็ย่อมสุขใจนัก
ภายในเจดีย์เทพอากาศขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ภายในนั้น นั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่ที่แขวนลอยอยู่กลางอากาศภายในเจดีย์เทพ
ร่างกายของเขาสามัญธรรมดายิ่ง มิได้มีกลิ่นอายของผู้แกร่งกล้าแต่อย่างใดเลย นี่ก็เป็นธรรมดาของร่างเมฆทักษิณาทิพย์ระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์ ต้องรู้ไว้ว่าถึงแม้จะเป็นระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์… ทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุก็มิได้ไปถึงขั้นสูงสุดเช่นกัน การกลายเป็นอากาศธาตุที่ไปถึงขั้นสูงสุดอย่างแท้จริงนั้น นั่นจะต้องสามารถรวมเป็นร่างเดียวกันกับแก่นห้วงอากาศได้อย่างแท้จริง คือสามารถหายตัวได้อย่างสมบูรณ์ จนเทพจักรวาลที่แกร่งกล้ายังสังเกตไม่พบกลิ่นอายเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่ากลิ่นอายในตอนนี้จะรวมตัวกันอย่างธรรมดาๆ แต่พูดถึงการกลายเป็นอากาศธาตุ ก็ยังห่างจากการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไรเคล็ดการกลายเป็นอากาศธาตุไร้สลายของท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็จำเป็นต้องสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก่อนจึงจะมีหวังที่จะสำเร็จเคล็ดวิชาได้! ส่วนขั้นอลวนนั้นย่อมไม่มีความหวังเลยแม้แต่นิดเดียว
“ก็ยังต้องให้ข้าคิดค้นเองอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิได้ตายใจ เขาเคยเห็นเกราะเกล็ดของ ‘แม่ทัพโม่กู่’ ฝูงมารผลาญทำลายผู้มีพรสวรรค์ไร้เงา ลวดลายบนเกราะเกล็ดนั้นย่อมบ่มเพาะทั้งความกระชับและความลึกลับ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกมีความหวังว่าจะบำเพ็ญระดับขั้นอลวนได้สำเร็จอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่การจะคิดค้นให้สำเร็จออกมาได้นั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าความคิดจิตใจของเขาในตอนนี้มิได้อยู่ทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุ
หากแต่เป็นวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงความคิดวูบไหว ร่างกายมีรัศมีจางๆ อักขระเทพภายในกายจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้นมา ร่างกายนี้เป็นที่ชื่นชอบของห้วงอากาศอย่างแท้จริง ลึกล้ำยิ่งกว่าร่างผู้ท่องอากาศและการแทรกซึมของห้วงอากาศในชาติก่อนเสียอีก อาศัยการกระตุ้นร่างเมฆทักษิณาทิพย์ ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงหมัดนี้ออกมาได้สำเร็จ
ปัง
หมัดอันดุดันไร้คลื่น หมัดอันหนักหน่วงหาใดเปรียบ ราวกับแฝงด้วยพละกำลังของทั้งห้วงอากาศ ถูกปล่อยออกมาในทันใด
“พลั่ก”
ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียง นั่นคือเสียงที่ได้ยินจากการอาศัยการรับสัมผัสอากาศเพียงอย่างเดียวล้วนๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งรู้สึกได้ว่าอนุภาคทรงกลมหมอกดำที่เล็กที่สุดที่ประกอบเป็นแก่นห้วงอากาศนั้น กลับมีอนุภาคทรงกลมหมอกดำสามอนุภาคแตกกระจายออกมาในขณะนี้ บริเวณที่หมัดปะทะนั้นมีความน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง! ราวกับเชื่อมต่อกับโลกที่น่าหวาดหวั่นอีกใบ เพราะรอยแยกเล็กเกินไปจึงมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายอันลึกลับสายหนึ่งส่งจากกลางรอยแยกนั้นเข้ามา แต่ทันใดนั้นรอยแยกขนาดเล็กเป็นที่สุดอันเกิดจากอนุภาคทั้งสามที่แตกกระจายก็สมานเข้าด้วยกันเอง
“โลกใบนั้น…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นแล้ว
นี่เป็นครั้งที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
ทลายเวหา ระเบิดทำลายกรงของโลกกำเนิดแห่งนี้ ถึงแม้ว่ารอยแยกจะเล็กจนมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่อาศัยรอยแยกขนาดเล็กเป็นที่สุดนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ ‘มองเห็น’ แล้วจริงๆ
“อาศัยกลิ่นอายลึกลับที่แพร่ซึมมาจากรอยแยกนั้นบำเพ็ญเคล็ดร่างแยก” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยมีปฏิกริยาตอบสนองขึ้นมา แต่เขาตกตะลึงมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ กลิ่นอายลึกลับสายนั้นก็ได้กระจายไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
…………………………………………………