Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 52 วิถีเขตลวงโลกเทียม
ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ที่แขวนลอย ผิวกายเปล่งรัศมีจางๆ มือกุมหอกเทพเมฆาแดงแล้วแทงออกไปอีกครั้ง ฝีหอกนี้ดูคล้ายจะธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยพละกำลังของทั้งห้วงอากาศ ในท้ายที่สุดก็ยังเหนี่ยวนำให้แก่นห้วงอากาศอันดั้งเดิมนั้นแตกสลาย บริเวณที่ปลายหอกแทงไปมีรอยแยกขนาดเล็กเป็นที่สุดปรากฏขึ้น สมกับที่เป็นอาวุธของนายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้น ภายใต้ฝีหอกนี้ รอยแยกก็ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
การจะตีแก่นห้วงอากาศให้แตกและทลายกรงให้เปิดออกนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน
อย่าง ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ แห่งอากาศอันสับสนอลหม่านก็ยังทำมิได้ เทพจักรวาลจำนวนมากมายก็ยังทำมิได้เช่นกัน
มิใช่ว่ามีพลานุภาพมากแล้วจะทำได้ การหา ‘ทิศทาง’ ที่ถูกต้องนั้นจำเป็นมากยิ่งกว่า
ก็เหมือนกับเคล็ดร่างแยก เสาะหาทิศทางที่ถูกต้อง ขั้นอลวนก็ยังสามารถศึกษาสำเร็จได้! เช่นจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็เป็นเช่นนี้ แต่ถ้าหากสับสนไร้ซึ่งแนวทาง แม้กระทั่งระดับอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลา ก็ยังมิอาจคิดค้นเคล็ดร่างแยกออกมาได้
‘ทลายเวหา’ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน!
นี่คือการใช้งานอย่างประณีตที่สุดทางด้านห้วงอากาศ เป็นการใช้กาลมิติบริเวณรอบๆ การโจมตีของตนมาทำการปะทะ ในขณะเดียวกันกับที่กาลมิตินั้นทนรับไม่ไหว ในท้ายที่สุดก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดการถล่มทลายของแก่นขึ้นบางส่วน!
‘ทลายเวหา’ ก็คือเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ! อันที่จริงแล้วเคล็ดวิชาที่ดัดแปลงให้ง่ายลงวิถีเดียวกันกับมันก็คือ ‘บดขยี้อากาศ’ เคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้า ที่ดัดแปลงให้อ่อนลงอีก ก็คือเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่แปด ‘ธุลีสลาย’…
เหตุผลเดียวกัน
‘งดงามดุจภาพวาด’ ก็คือเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่า เป็นเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ ภายใต้การดัดแปลงให้ง่ายลงของมัน ก็คือ ‘ดาบจิตโลกา’ ระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้า
วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า…
ในความเป็นจริงแล้วหลักๆ ก็ตามวิถีอยู่สองสาย ลึกล้ำเข้าไปอย่างไม่สิ้นสุด ‘งดงามดุจภาพวาด’ และ ‘ทลายเวหา’ เดิมทีเป็นเคล็ดวิชาระดับเทพจักรวาล ในด้านระดับความลึกลับนั้นเหนือกว่าเคล็ดวิชาใดๆ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นเอง อาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์จึงสามารถสำแดงได้อย่างพอถูไถ และสองกระบวนท่านี้ยังสามารถลึกล้ำเข้าไปได้อย่างต่อเนื่องแล้วแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ แต่นั่นจำเป็นจะต้องเป็นทพจักรวาลจึงจะสามารถศึกษาได้
“ทิศทางถูกต้องแล้ว เคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ ล้วนสามารถทลายกรงให้แตกได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยรอยแยกขนาดเล็กจิ๋วที่ก่อตัวขึ้นจากการแตกกระจายตัวของทรงกลมหมอกดำมากมาย แล้ว ‘มองดู’ โลกภายนอกอีกครั้ง การ ‘มองดู’ เช่นนี้ของเขา ก็เป็นสติรับรู้แพร่ผ่านทำการรับสัมผัสชนิดหนึ่งเช่นกัน
ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นดินแดนอันใหญ่โตมหึมาหาใดเปรียบผืนหนึ่ง ทั้งยังได้เห็นดวงดาวที่รายล้อมอยู่รอบๆ ดินแดนทั้งหมดด้วย
นอกจากจะมองเห็น ‘ดินแดนจิตโลกา’ โลกกำเนิดแห่งนี้อย่างรางเลือนแล้ว ที่บริเวณอันไกลโพ้นเหลือคณาก็ยังมีโลกกำเนิดอันใหญ่โตมหึมาอีกแห่งหนึ่งอยู่รำไรด้วย
“โลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “อากาศอันสับสนอลหม่านและดินแดนจิตโลกา นอกจากโลกกำเนิดสองแห่งนี้แล้วยังมีโลกกำเนิดแห่งอื่นอยู่อีกด้วย”
“แต่หยวนทำให้ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในอากาศอันสับสนอลหม่านมีโอกาสกลับชาติมาเกิดยังดินแดนจิตโลกา ดูท่าทางดินแดนจิตโลกาก็คงจะนับได้ว่ามีพื้นฐานอันล้ำลึกเป็นที่สุดในบรรดาโลกกำเนิดจำนวนมากมายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิดเงียบๆ
การสำแดงวิชา ‘ทลายเวหา’ ครั้งแล้วครั้งเล่า การพินิจดูครั้งแล้วครั้งเล่า
ถึงแม้ว่าการพินิจดูทุกครั้งจะน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่คล้ายกับการเหยียบย่างเข้าสู่ชีวิตอีกระดับขั้นหนึ่งนั้นทำให้เขาหมกมุ่น แต่เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้เขายังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในกรงขังเช่นเดิม เพียงแต่สามารถเปิดรอยแยกขนาดเล็กมากๆ เส้นหนึ่งได้อย่างทุลักทุเลเท่านั้น
“ฟิ้ว…”
กลิ่นอายลึกลับสายแล้วสายเล่าแทรกผ่านจากโลกระดับที่สูงขึ้นเข้ามายังโลกกำเนิด
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการโคจร ‘เคล็ดร่างแยก’ ในทันที เคล็ดวิชานี้อันที่จริงแล้วเป็นเคล็ดลับวิญญาณ เริ่มต้นเหนี่ยวนำกลิ่นอายลึกลับสายแล้วสายเล่านั้นให้พุ่งมาทางดวงวิญญาณของตนเองในทันใด แล้วถูกวิญญาณดูดซับเข้าไป ภายใต้การเหนี่ยวนำของเคล็ดลับ ก็ค่อยๆ แทรกเข้าไปภายในดวงวิญญาณ ในขณะนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกดวงวิญญาณสั่นสะท้านชนิดหนึ่ง ดวงวิญญาณกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรางๆ ว่านี่คือความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีชนิดหนึ่ง
ดูเหมือนว่าตัวตนจะเข้ากันได้ดีกับห้วงอากาศมากยิ่งขึ้น ช่างแสนสบายคล้ายกับว่าตนเองเกิดมาก็ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของห้วงอากาศแล้ว
……
เพราะรอยแยกระเบิดเปิดทางเล็กเกินไป กลิ่นอายลึกลับที่แทรกตัวเข้ามาก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญเพียงแค่สิบกว่าวันก็รู้สึกว่าวิญญาณมิอาจยกระดับขึ้นไปได้อีกแล้ว
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่ ทันใดนั้นเงาร่างอันรางเลือนสายหนึ่งก็บินออกมาจากผิวกายแล้วร่อนลงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกาย เงาร่างนั้นดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างบ้าคลั่งแล้วแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ทองคนหนึ่ง
“สำเร็จแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสองคนประสานสายตากัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นสองร่างกาย หากแต่ความทรงจำกลับเหมือนกันทุกประการ
แต่ร่างกายที่รวมร่างได้สำเร็จขึ้นมาใหม่นั้นเป็นเพียงแค่กายเนื้ออันสามัญธรรมดาเท่านั้น ไม่มีร่างเมฆทักษิณาทิพย์ อีกทั้งยังไม่มีหอกเทพเมฆาแดง ก็ย่อมไม่มีทางสำแดงเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบออกมาได้
“กลิ่นอายลึกลับที่วิญญาณของข้าดูดซับนั้นน้อยเกินไป ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่มากนัก ภายใต้ความกดดันของกฎเกณฑ์สูงสุดก็เพียงแค่สามารถแบ่งร่างแยกออกมาได้ร่างหนึ่งเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ เขาได้รับเคล็ดร่างแยกอันสมบูรณ์แล้วก็เข้าใจดีว่าที่ไม่มีทางสำแดงเคล็ดร่างแยกได้นั้นก็เพราะกฎเกณฑ์สูงสุดเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว แต่ว่ากลิ่นอายลึกลับที่ดูดซับมาจากภายนอกกรงนั้นสามารถทำให้วิญญาณเกิดการวิวัฒน์ได้
การวิวัฒน์เช่นนี้มีความแตกต่างกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ภายในโลกกำเนิด ถ้าหากไม่ดูดซับกลิ่นอายลึกลับ ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็ไม่มีทางแยกร่างได้
และตามการยกระดับของการเปลี่ยนแปลงพรรค์นี้ จำนวนของร่างแยกก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
ร่างแยกทั้งสองประสานสายตากัน
ร่างแยกอาภรณ์ทองมีพลังยุทธ์อ่อนแอกว่าอยู่พอสมควร ตามแผนของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือจะไม่ออกไปทำการต่อสู้หรือสังหาร ดังนั้นความสามารถในการดำรงชีวิตของเขาที่ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ ก็ทิ้งไว้ในวิญญาณของร่างแยกอาภรณ์ทอง ถึงอย่างไร ‘วิญญาณแบ่งเป็นสอง’ พลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาก็สามารถเลือกได้เพียงแค่ร่างแยกเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าร่างแยกอาภรณ์ขาวจะมีพลังรบที่แข็งแกร่งกว่า แต่สุดท้ายแล้วเมื่อออกไปเสี่ยงอันตรายภายนอก ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ว่าจะตายตกไปในวันใด
******
บำเพ็ญอย่างไม่รู้วันคืน
ในทางหนึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็มุ่งมั่นกับวิถีอากาศ เคล็ดสืบทอดลับทั้งสองกระบวนก็ฝึกสำเร็จไปก่อนแล้ว เขาก็ย่อมกำลังหยั่งรู้ความลึกลับที่แฝงอยู่ภายใน ‘หอกเทพเมฆาแดง’ และกำลังวิวัฒน์ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ อยู่ เขาอยากจะสำเร็จการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวนมาโดยตลอด! ศึกษาทิศทางห้วงอากาศที่แตกต่างกันไปพร้อมๆ กัน ในท้ายที่สุดแล้วก็ย่อมมีประโยชน์กับการเหยียบย่างเข้าสู่เทพจักรวาล
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้เขาใช้เวลากว่าครึ่งไปกับการบำเพ็ญ ‘เขตลวงโลกเทียม’
เขตลวงโลกเทียมก็ไปถึงขั้นอลวนก่อนแล้ว ตอนนี้ก็ยังคงปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง! ชาติก่อนระดับขั้นสูงพอ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่พบกับจุดคอขวด การบำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน กระทั่งในท้ายที่สุดก็คิดค้นเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมระดับชั้นที่เก้าออกมาได้อีกครั้ง
วิถีห้วงอากาศ เขายังก็มีความติดขัดอยู่พอสมควร ถึงอย่างไรชาติก่อนถึงแม้ว่าเขาจะสั่งสมอย่างหนักแต่กลับมิอาจคิดค้นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เก้าออกมาได้เลย
เขตลวงโลกเทียม ถึงแม้ว่าจะเริ่มช้า แต่ยิ่งถอยหลังกลับยิ่งรวดเร็วขึ้น ถึงขนาดที่คิดค้นโลกเขตลวงระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดออกมาได้ในคราวเดียว ตำราเขตลวงโลกเทียมสิบแปดเล่มที่เขาได้รับนั้นล้วนเคยศึกษามาแล้วทั้งสิ้น ถึงขนาดทำให้ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณตนเองนั้นแกร่งกว่ายอดฝีมือขั้นอลวนระดับสุดยอดถึงสามสี่เท่า นี่ก็คือประโยชน์ที่เพียงแค่วิถีทางด้านวิญญาณเท่านั้นจึงจะมี
และ ‘เขตลวงโลกเทียม’ ก็เป็นวิชาทางด้านวิญญาณ
“ที่ขั้นอลวน ภายใต้สถานการณ์ปกติ นี่ก็คือระดับสุดยอดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“นอกเสียจากว่าจะมีเคล็ดลับระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ หรือสมบัติลับล้ำค่าอันกล้าแกร่งของเขตลวงโลกเทียม” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ
แตกต่างกันกับวิถีอื่นๆ
วิถีวิญญาณนั้นพบเห็นได้ยากที่สุด เหมือนกับที่อากาศอันสับสนอลหม่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนแรกที่ทำให้ ‘เขตลวงโลกเทียม’ ในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ไปถึงขั้นอลวน! ต่อให้นับรวมศาสตร์โบราณด้วย ก็ไม่มียอดฝีมือด้านเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลเลยแม้แต่คนเดียว
วิถีทางนี้… เห็นได้ชัดว่ายากแก่การบำเพ็ญยิ่งกว่าน้ำ ไฟ สายฟ้า อนุภาค กาลมิติ และสิ่งอื่นๆ ที่สามารถสัมผัสได้ เขตลวงโลกเทียมเป็นการสร้างโลกใหม่ใบหนึ่งขึ้นมาเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ยากเย็นเป็นที่สุดราวกับการสร้างโลกขึ้นมาใหม่
แม้กระทั่งดินแดนจิตโลกาที่มีพื้นฐานอันลึกล้ำเป็นที่สุดก็ตาม
เคล็ดลับเขตลวงโลกเทียมระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบใดๆ ก็ตาม ต่างก็เป็นเคล็ดสืบทอดลับที่ไม่เผยแพร่ออกสู่ภายนอกทั้งสิ้น! ความล้ำค่านั้นไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดสืบทอดลับอื่นๆ ที่มุ่งตรงไปสู่จุดสูงสุดเลย
………………………………………………