Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 54 ภาพแผ่นหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ลัทธิกระบี่สวรรค์คงไม่ส่งเทพจักรวาลมาหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เจ้าวางใจเถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “การแก่งแย่งชิงดีระหว่างสำนัก ก็คือการแย่งชิงชื่อเสียง หากเทียบกับยอดฝีมือขั้นอลวนเหมือนกัน พวกเราสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์แข็งแกร่งกว่า ย่อมทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคิดว่าเหมาะที่จะคารวะเข้ามาอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเรามากกว่า อย่างการต่อสู้พรรค์นี้ หากเป็นเทพจักรวาลรังแกขั้นอลวนคนหนึ่ง แม้จะชนะแล้ว ก็มิได้แปลว่าสำนักของเจ้าร้ายกาจ หากแพ้แล้ว เช่นนั้นก็เป็นการเสียหน้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแจ่มแจ้ง
ในการเผยแพร่สำนักนั้น ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นยอดฝีมือที่ประจำการอยู่จึงสำคัญอย่างยิ่ง
แม้สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะนับได้ว่ามียอดฝีมือมากมาย นอกจากรัฐของตนเองแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือรัฐอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดินแดนจิตโลกาใหญ่โตเกินไปแล้ว! ยอดฝีมือที่ประจำการอยู่ตามที่ต่างๆ จึงย่อมมีหนักเบาแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา
“สี่รัฐมารทมิฬเป็นสถานที่เผยแพร่สำคัญของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มาโดยตลอด แม้ก่อนหน้านี้ลัทธิกระบี่สวรรค์จะเผยแพร่อยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีอิทธิพลอันใด และมิได้ส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจมาประจำอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ยอดฝีมือของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราจึงประจำการอยู่ต่างถิ่นมาโดยตลอด เพื่อขยายอิทธิพลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เรา” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว “ไหนเลยจะไปคิดว่าครั้งนี้พวกเขาจะเหิมเกริมเข้ามาในรัฐประกายเพลิงแห่งสี่รัฐมารทมิฬ! เฮอะ ในเมื่อพวกเขากล้ามา ก็ต้องสั่งสอนพวกเขาให้หนักหน่อย”
“สังหารได้หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เจ้าลงมือให้เต็มที่เถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว “ทว่าเจ้าก็ระวังหน่อยล่ะ พวกเขามาหาเรื่องเจ้าในที่แจ้ง จะต้องเป็นยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์แน่นอน! แต่ในที่ลับอาจจะมียอดฝีมือรัฐโบราณสหโลกาไปจนถึงรัฐโบราณคิมหันตวายุบางคนลอบลงมือกับเจ้าอย่างลับๆ ก็เป็นได้ แน่นอนว่า…คงไม่มีเทพจักรวาลปรากฏกาย เพราะหากปรากฏขึ้นเมื่อใด ก็จะเป็นการฝ่าฝืนกฎ ข้าก็จะลงมือทันที”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางใจแล้ว
ท่านอาจารย์มีสถานะเช่นใดกัน
เป็นตำนานแห่งวีรบุรุษของทั้งดินแดนจิตโลกา ในฐานะเจ้าสำนัก ก็ไม่มีทางลงมือตามอำเภอใจได้ มิเช่นนั้นก็จะเป็นการลดตัวเกินไปแล้ว! เพราะหากขั้นอลวนคนหนึ่งมารังแกถึงหน้าประตู ก็ต้องให้เจ้าสำนักลงมือแล้วล่ะก็ เมื่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเห็นเข้า…ก็จะคิดได้เพียงว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ไม่มีคน ขั้นอลวนที่บ่มเพาะออกมาอ่อนแอเกินไป
แต่หากเทพจักรวาลกล้าลงมือ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะลงมือโดยตรง กลับทำได้อย่างเต็มภาคภูมิ
“โหวชวีหมิงจะเตรียมการเรื่องรายละเอียดให้ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือลงมือในคราวคับขัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองไปทางบุรุษวัยกลางคนร่างผอมสูง “ชวีหมิง เรื่องจิปาถะอื่นๆ เจ้าค่อยเล่าให้เสวี่ยอิงฟังระหว่างทางก็แล้วกัน”
“ขอรับ” โหวชวีหมิงเอ่ยอย่างเคารพ
“เสวี่ยอิง ในเมื่อเจ้าฝึกร่างแยกสำเร็จแล้ว ก็ให้ร่างแยกอยู่ที่นครหลวงไปชั่วคราวก่อน สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในรัฐเมฆทักษิณาก็คือที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดลงมือ ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามั่นใจในตนเองมาก หากเป็นสถานที่อื่นๆ หากเขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นบรรพชนฝาน ก็ทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ในนครหลวงซึ่งเขาปกครองมานานแสนนานและมีสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน หากต่อสู้ตัวต่อตัวแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งนั้น
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เมืองหิมะเหินปลอดภัยไร้กังวล
เนื่องจากเมืองหิมะเหินเป็นเมืองใหญ่ แม้แต่การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬก็ยังมิกล้าเข้ามายังเมืองระดับนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน หากผู้ใดอาจหาญลงมือ เกรงว่าร่างแยกร่างหนึ่งของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คงจะตรงไปสังหารทันที! แม้เขาจะปรองดองกับทะเลสาบมารทมิฬ แต่กลับเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เท่านั้น นอกจากนี้นานแสนนานจึงจะมีสักครั้งหนึ่ง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงพาบ่าวรับใช้มังกรมารออกเดินทางไปพร้อมกับโหวชวีหมิง พวกเขาอาศัยการศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงไปยังทุ่งร้างนอกนครหลวงรัฐประกายเพลิงก่อน
“แม้รัฐประกายเพลิงจะวุ่นวาย แม้จะอ่อนแอ แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นนครหลวงของรัฐประกายเพลิง หากใช้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงเข้าไป…รัฐประกายเพลิงจะต้องตรวจพบทันที่ และจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างแน่นอน” โหวชวีหมิงอธิบาย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ในอากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งค่ายกลค่อนข้างอ่อนแอ ตอนนั้น ‘วังทวีสูญ’ สำนักของตนก็ยังสามารตรวจสอบการสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงรัฐประกายเพลิงเลย
ทั้งสองทะยานไปด้วยกัน บ่าวรับใช้มังกรมารติดตามไปอย่างเชื่อฟัง พวกเขามุ่งหน้าออกไปนอกประตูเมือง
“โหวชวีหมิง ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ท่านก็เตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เรื่องการเผยแพร่สำนัก ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก”
“ฮ่าฮ่า วางใจเถิด สิ่งที่ต้องการให้น้องเฟยเสวี่ยทำจริงๆ ข้าก็ย่อมกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนตามปกติน่ะหรือ ทุกสิ่งสามารถทำได้ตามใจ ขอเพียงสามารถทำให้ชื่อเสียงของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราขจรขจายออกไปได้ ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น แม้กระทั่งการเผยวิธีการและพลังอันที่ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นเกรงออกมาก็เป็นเรื่องดี พวกเขาก็จะยินดีเข้าร่วมสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มากขึ้น” โหวชวีหมิงกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา
ไม่ทำให้สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เสียหน้าก็ไม่ผิดแล้ว หากเพิ่มพูนชื่อเสียงได้ ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก
ช่างเรียบง่ายนัก
ทั้งสองเข้าไปในนครหลวงรัฐประกายเพลิงเคียงข้างกัน
“เอ๊ะ” ทันทีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามา ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา ก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเข่นฆ่าอันนองเลือดที่หลงเหลืออยู่โดยรอบ
“อันที่จริงแล้วรัฐประกายเพลิงอ่อนแอที่สุด มารร้ายจำนวนมากในทะเลสาบมารทมิฬอาศัยอยู่ที่นี่” ท่านโหวชวีหมิงพูดอธิบาย “แม้จะเป็นนครหลวง แต่ก็มักจะเกิดการเข่นฆ่าขึ้นเป็นประจำ ขอเพียงหนีได้เร็วพอ มิได้ถูกกองทัพพบเข้าในทันทีก็ไม่เป็นไรแล้ว หากผู้ที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่หรือเบื้องหลังใหญ่โตสังหาร กองทัพพบเข้าก็จะไม่ไล่ล่า แน่นอนว่ามีมารร้ายทะเลสาบมารทมิฬจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ไม่อยากให้วุ่นวายมากเกินไป จึงย่อมจำกัดผู้ใต้บังคับบัญชาเอาไว้ ในภาพรวมก็ยังนับว่าดี สำหรับทั้งรัฐประกายเพลิงแล้ว นับว่าที่นี่เป็นตัวเมืองที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งแล้ว”
“แต่ก็เพราะวุ่นวายนี่เอง จึงทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่นี่ปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่า” โหวชวีหมิงยิ้มน้อยๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากมีสายเลือดเช่นเดียวกับภายในกายตน ดินแดนจิตโลกามีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ผลัดเปลี่ยนกันไปตลอดคืนวันอันยาวนาน แม้จะเป็นทายาทจองเหล่าเทพจักรวาล ผู้ที่อ่อนแอก็จะกลายเป็นคนธรรมดา เมื่อสมรสและเผยแพร่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ภายในกายของคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนมีสายเลือดที่ร้ายกาจกว่าอยู่บ้าง เพียงแต่บางเบาเสียยิ่งกว่าบางเบาเท่านั้นเอง
การบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเขา วิถีอากาศก็ได้ วิถีอื่นๆ ที่พบเห็นได้บ่อยก็สามารถสำเร็จได้เช่นกัน
ยามนี้ก็ขึ้นกับแรงดึงดูดของสำนักแล้ว
……
ณ สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ตำหนักทิพย์ภายในนครหลวงรัฐประกายเพลิง ซึ่งกว้างใหญ่ที่สุดในรัฐประกายเพลิง
ถึงอย่างไรนครหลวงก็เป็นตัวเมืองที่ใหญ่ที่สุด ประชากรก็มากที่สุด ครองจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งรัฐ ตำหนักทิพย์แห่งนี้กินพื้นที่กว้างใหญ่อย่างยิ่งและเหิมเกริมเป็นอันมากแต่ในยามนี้…
“ฮ่าฮ่า สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ พวกเจ้าทำได้แค่มุดหัวหลบอยู่ข้างในอย่างนั้นหรือ”
“เมื่อเผชิญกับลัทธิกระบี่สวรรค์ของข้า ก็กลัวเสียจนไม่กล้าออกมาแล้ว”
“น่าสงสารๆ”
นอกตำหนักทิพย์เมฆทักษิณามีผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่าคนกำลังตะโกนด่าว่า น้ำเสียงดังกังวาน สะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินโดยรอบ
ส่วนตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็กระตุ้นค่ายกลขึ้นมา ค่ายกลโดยรอบชั้นแล้วชั้นเล่าคุ้มกันเอาไว้ ปิดตายโดยไม่ออกมา
“เหตุใดตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาจึงปิดเสียแล้วเล่า ข้ายังจะเข้าไปขอคำชี้แนะเรื่องการบำเพ็ญจากท่านอาจารย์เสียหน่อย” ผู้บำเพ็ญวัยเยาว์คนหนึ่งมองอยู่ห่างๆ แล้วก็มึนงงไปหมด ผู้ที่ชมดูอยู่รอบด้านก็มากมายยิ่งนัก ชายชราด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “อย่าไปนะ ขอเพียงเป็นคนของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่จะเข้าไปบำเพ็ญ หากถูกคนของลัทธิกระบี่สวรรค์เหล่านี้พบเข้าก็จะถูกสังหารถึงตายทันที”
“อะไรนะ สังหารถึงตายทันทีเลยหรือ” ผู้บำเพ็ญวัยเยาว์คนนี้ตกตะลึง
“ตายไปตั้งหลายคนแล้ว ตอนเริ่มแรกมีศิษย์หลายคนไม่รู้ จะเข้าไปบำเพ็ญ ก็ถูกยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์เหล่านี้สังหาร” ชายชราด้านข้างกล่าว
“หรือว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ทนรับเช่นนี้เสียแล้วเล่า”
“ทำอย่างไรได้บ้างเล่า ไม่เห็นหรือว่าทั้งตำหนักทิพย์ปิดสนิทไปหมดแล้ว ค่ายกลถูกกระตุ้นจนทั้งเมืองปิดตายไปแล้วหรือไร” ชายชรายิ้มหยัน
“นี่ก็น่าสมเพชเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกอดสูใจ “อยู่ในสี่รัฐมารทมิฬก็ถูกลัทธิกระบี่สวรรค์รังแก สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ใช้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่ ข้าต้องเสียแก้วผลึกจักรวาลจึงจะบำเพ็ญในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้นะ”
บรรดาศิษย์เหล่านี้ที่มีอยู่ทั่วดินแดนจิตโลกาล้วนแต่เป็นศิษย์นอกสำนัก
พวกเขาเข้ามาบำเพ็ญแล้วหลั่งไหลไปสำนักอื่นก็เป็นเรื่องปกตินัก ศิษย์นอกสำนัก…สำนักใหญ่ต่างๆ ทำได้เพียงดึงดูดพวกเขาเข้ามาเท่านั้น
“ยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ร้ายกาจนัก เดี๋ยวจะต้องลองไปดูที่ลัทธิกระบี่สวรรค์สักหน่อย ไม่แน่ว่าหากบำเพ็ญอยู่ที่นั่น ในภายหน้าพลังอาจแข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็เป็นได้”
ทุกหนแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
เดิมทีรัฐประกายเพลิงก็วุ่นวายอยู่แล้ว ผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง
เมื่อเห็นสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ถูกรังแก ถูกโจมตีเสียจนตำหนักทิพย์ต้องปิดตาย จึงย่อมคิดว่าเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ
หากเวลาสั่นๆ ก็ยังพอไหว แต่หากนานไป…ผลกระทบก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น
“เอ๊ะ”
ไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงพาบ่าวรับใช้มังกรมารและโหวชวีหมิงเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนจะมีท่าทีสบายๆ แต่อันที่จริงกลับรวดเร็วยิ่งนัก เพียงก้าวเดียวก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ แล้ว
“เขาเป็นใครกัน”
ในบรรดายอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้น คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง และนำโดย ‘อ๋องชางซู’ ยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่ง เขาฝึกฝน ‘ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลาย’ ซึ่งเป็นเคล็ดสืบทอดลับของลัทธิกระบี่สวรรค์จนครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบ จึงอาจหาญพาคนมาตะโกนด่าอย่างเป็นอริได้! เรื่องอย่างการตะโกนด่านี้…ยอดฝีมือชั้นที่เก้าออกหน้าก็พอแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเบื้องหลังเขาคร้านที่จะทำเรื่องยิบย่อยพรรค์นี้
“ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้หรือ” อ๋องชางซูจำได้ทันที “คืออิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นเองน่ะหรือ”
แม้อ๋องชางซูจะตกใจ แต่ก็ไม่หวั่น
ลัทธิกระบี่สวรรค์สามารถเผยแพร่ออกไปได้กว้างไกลเช่นนี้ ‘ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลาย’ นั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง เมื่อบำเพ็ญจนครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบ เทพจักรวาลจะสังหารก็ยากมากทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เลย
“เป็น ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรือ” อ๋องชางซูพูดเสียงดังกังวาน ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งของลัทธิกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้นมายืนอยู่ด้านหลังเขาทันที
“อิงซานเสวี่ยอิงรึ”
“ศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเมฆทักษิณาน่ะหรือ”
“อิงซานเสวี่ยอิงที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบในพันห้าร้อยล้านปีแล้วใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาวคนนั้นน่ะหรือ”
ไกลออกไปวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา อิงซานเสวี่ยอิงมีชื่อเสียงโด่งดังในสี่รัฐมารทมิฬมากทีเดียว
“เจ้าก็ได้ยินชัดแล้ว สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเจ้าถอยออกไปจากรัฐประกายเพลิงนี้โดยเร็วเสียเถอะ มิเช่นนั้นแล้วจะมิใช่แค่สังหารพวกศิษย์ทั่วไปเหมือนก่อนหน้านี้แล้วนะ” อ๋องชางซูพูดเสียงดังกังวาน เสียงนั้นสะท้อนก้องไปรอบด้าน “พวกเราไปกันเถิด”
พูดจบก็จากไปทันที
เขาเข้าใจดีมากว่า เขามิใช่คู่ต่อสู้ของอิงซานเสวี่ยอิง แต่จะจากไปก็ยังพอมีหวัง
“ไปรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา
น้ำเสียงกลับอื้ออึงไปทั่วห้วงสมองของอ๋องชางซู เพียงครู่เดียวก็ถูกเขตลวงหอบม้วนเข้าไปในนั้น
แม้เขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่เก้าคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้อย่างพอถูไถ วิญญาณของเขาหากอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านก็เป็นเพียงขั้นอลวนระดับชั้นที่แปดเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเขตลวงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมา ก็ต้องจมดิ่งลงไปในทันที ภายใต้สภาพที่ไร้การต่อต้าน เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำลายวิญญาณของอ๋องชางซูจนทำให้เขาสิ้นใจในทันที!
กลเม็ดเขตลวง เปิดฉากอย่างงดงาม!
แน่นอนว่ามีเพียงเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่อาศัยพลังภายนอกจึงมีพลังระดับชั้นที่เก้าเช่นนี้ได้เท่านั้นจึงจะเกิดผลอัศจรรย์เช่นนี้ได้ หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบ กลเม็ดเขตลวงของตนก็ไม่เพียงพอแล้ว
……
ว่าไปแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ปากของอ๋องชางซูตะโกนว่า “พวกเราไปกันเถิด” ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งของลัทธิกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้นก็เตรียมตัวถูกพาไปทันที
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้เขตลวงสังหารอ๋องชางซูทันที ชั่วขณะที่สังหารนั่นเอง ก็โบกมือคราหนึ่ง
ฟิ้ว!
ฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งแสงรำไร ฝ่ามือประหนึ่งหยกขาวใสกระจ่าง ทันใดนั้นอากาศเบื้องหน้าก็พลันถูกดึงยืดออก อ๋องชางซูและผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนนั้นกลายเป็นแบนราบไปในพริบตา…ทันใดนั้นมิติตรงหน้าก็กลายเป็นม้วนภาพไปในทันใด
ภาพแผ่นนั้นลอยมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง ภายในม้วนภาพก็คืออ๋องชางซูพร้อมลูกน้องสิบกว่าคน พวกเขาแต่ละคนติดอยู่ในนั้น แต่กลับไม่มีกลิ่นอายเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าสิ้นใจไปหมดแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดไป! หากวิญญาณของอ๋องชางซูยังสมบูรณ์ดี ด้วยร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายของเขาแล้ว ต่อให้ถูกกดดันอยู่ภายในก็ไม่ถึงตาย และถึงขั้นสามารถต้านทานและดิ้นรนออกมาได้เสียด้วยซ้ำ
ทว่าก่อนหน้าที่เขาจะถูกกดด้น ก็ได้สิ้นใจไปก่อนแล้ว
สมบัติล้ำค่าหลายชิ้นยังลอยออกมาจากภาพแผ่นนี้และตกอยู่ในมือตงป๋อเสวี่ยอิง
“เอาไปแขวนบนผนังด้านนอกตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบภาพแผ่นนี้ส่งให้โหวชวีหมิงซึ่งอ้าปากค้างนัยน์ตาแทบถลนอยู่ตรงนั้น
“ดี ดี” โหวชวีหมิงพยักหน้ารัว ดวงตาเบิกกว้างพลางมองดูม้วนภาพในมือ ร้ายกาจและแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“จำเอาไว้ เพื่อให้ค่ายกลคุ้มกันเอาไว้ จะต้องแขวนเอาไว้บนผนังตลอด หากลัทธิกระบี่สวรรค์กล้ามาเหิมเกริมที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ นี่ก็คือผลที่จะเกิดขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อมีค่ายกลคุ้มกัน ต่อให้เป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบก็ยังมิอาจทำลายได้ เมื่อนำไปไม่ได้ ภาพนี้ก็จะแขวนอยู่ที่นี่ตลอดไป!
วิธีการเขตลวง
บวกกับเคล็ดสืบทอดลับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า…งามดั่งภาพวาด!
…………………………………..