Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 61 เอ่อท่วม
กลางโถงตำหนักแห่งหนึ่งภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์
เงาร่างเจ็ดสายรวมตัวกันอยู่ที่นี่
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานก็ย่อมต้องเป็น ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉา ผู้ดำเนินการการยกพลมาของสี่รัฐมารทมิฬในคราวนี้ โม่เฉาผู้สวมอาภรณ์สีม่วงตลอดร่างนั่งอยู่ที่นั่นพลางมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
ยอดฝีมือที่อยู่รอบๆ เหล่านี้ต่างก็เป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบ ความเป็นมาล้วนไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
สามคนที่อยู่ทางด้านซ้ายมาจากรัฐโบราณสหโลกา นอกจากผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับที่มีแมลงพิษอยู่ภายใต้อาภรณ์ดำผู้นั้นแล้ว อีกสองคนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่มีผมสีแดงสะดุดคา บริเวณหว่างคิ้วของเขามีเปลวเพลิงกองหนึ่งกำลังลุกโขนอยู่ ขอเพียงแค่ตามีแววสักเล็กน้อยก็สามารถประเมินได้ว่านี่คือศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของหนึ่งในสองตระกูลใหญ่ที่ลึกลับที่สุดแห่งรัฐโบราณสหโลกา
‘สกุลฉื้อ’ มีเพียงผู้ที่สายโลหิตบริสุทธิ์เพียงพอเท่านั้นจึงจะสามารถมีเพลิงเทวะปรากฏสู่ภายนอกได้
ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำและยอดฝีมือคนสำคัญแห่งสกุลฉื้อ กับบุรุษผมสั้นที่สวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่ง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง
ก็คือบุรุษเขาโค้งผิวหนังสีแดงเข้มผู้นั้น กับยอดฝีมือแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์สองคน
“ท่านชายฉื้อเฟิง คราวนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ถ้าหากท่านกดดันอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นเอาไว้ไม่อยู่ เกรงว่าคงยากยิ่งที่จะบุกสังหารได้ในระยะเวลาอันสั้น” อ๋องอสนีบาตโม่เฉาพูด “ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไป ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็จะมาสอดมือเข้าช่วยได้ทัน”
“วางใจเถิด”
ชายหนุ่มผมแดงสะดุดตาเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย “ประมุขรัฐเมฆทักษิณาได้รับข่าวก่อน กว่าจะลงมือจากระยะทางอันห่างไกลถึงเพียงนี้ได้ พวกเราก็โจมตีไปได้หลายรอบแล้ว คงจะปลิดชีพอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นไปได้ก่อนแล้วล่ะ”
มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขา การต่อสู้รวดเร็วเหลือเกิน เพียงชั่วพริบตาก็โจมตีไปได้หลายรอบแล้ว
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคราวนี้ยังได้เชิญผู้ท่องธุลีฝนมาด้วย” ชายหนุ่มผมแดงสะดุดตามองไปยังบุรุษผมสั้นเสื้อคลุมดำที่อยู่ข้างๆ
บุรุษผมสั้นเสื้อคลุมดำพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ท่านชายชมเกินไปแล้ว”
“ยังมี ‘ฝานฉู่ฮู่’ หนึ่งในเทพมารร้อยสงครามแห่งสกุลฝานในตอนนั้นอยู่ด้วย มีท่านแม่ทัพอยู่ แล้วยังมีผู้ท่องธุลีฝนกับพี่ฝานฉู่ฮู่มาร่วมมือด้วยในท้ายที่สุด ก็ย่อมไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใดอยู่แล้ว” ชายหนุ่มผมแดงสะดุดตาพูด
“ฮ่าฮ่า…” บุรุษเขาโค้งผิวหนังสีแดงเข้มที่กินก้อนศิลาโลหะก็พูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ท่านชายฉื้อเฟิง ชมเกินไปแล้วๆ”
ฝานฉู่ฮู่
ในตอนนั้น ‘มหาเคารพซือเทียน’ แห่งสกุลฝานมียอดฝีมือผู้ล้ำเลิศอยู่ใต้อาณัติทั้งสิ้นถึงเก้าสิบเก้าคน ภายใต้โชคดีเป็นพิเศษของมหาเคารพซือเทียน ได้รับแก่นก้อนศิลาวิเศษล้ำค่าหายากหลังจากที่ ‘สัตว์อสูรเก้าฝันมารแดง’ ตายไปมาครอบครอง ในท้ายที่สุดก็ได้อาศัยสิ่งนี้แปลงเป็นยอดฝีมือเก้าสิบเก้าคนออกมา แต่ละคนล้วนเป็นพลังยุทธ์ระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบด้วยกันทั้งสิ้น! เก้าสิบเก้าคนนี้… ได้ถูกเรียกขานว่า ‘เทพมารร้อยสงคราม’ ในช่วงเวลาหลังจากสงครามประเทศโบราณครั้งแรกก็ได้ทิ้งผลพวงของสงครามเอาไว้มากมาย พวกเขาแต่ละคนมีร่างกายแข็งแกร่งหาใดเปรียบ พลังมหาศาลไร้เทียมทาน ทว่าเมื่อผ่านวันเวลามาเนิ่นนานจนกระทั่งบัดนี้ เทพมารร้อยสงครามในตอนนั้นที่มีชีวิตอยู่มาจวบจนปัจจุบันก็เหลืออยู่เพียงแค่สามสิบกว่าคนเท่านั้นเอง
“แม่ทัพฉู่ฮู่ อีกประเดี๋ยวก็จะร่วมมือกันกัท่านแม่ทัพแล้ว” บุรุษผมสั้นเสื้อคลุมดำผู้นั้นพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“ฮ่าฮ่า ยังต้องขึ้นกับผู้ท่องธุลีฝน ข้าออกแรงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง” ฝานฉู่ฮู่ก็เกรงอกเกรงใจ
พวกเขาสามคนพูดคุยกัน
ในทางกลับกัน กลับมิได้สนใจยอดฝีมืออีกสองคนที่มาร่วมเคลื่อนไหวในคราวนี้สักเท่าใดนัก
เพราะว่ายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็ง ถ้าหากสำเร็จเคล็ดสืบทอดลับที่ร้ายกาจ หรือว่าสมบัติลับล้ำค่าอันน่าหวั่นเกรง คนเดียวเทียบได้กับขั้นอลวนชั้นที่สิบคนอื่นๆ สามสี่คนก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงที่สำเร็จทั้งยุทธวิธีเมฆาแดงและวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าอันร้ายกาจยิ่ง อีกทั้งยังมีหอกเทพเมฆาแดงเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ถ้าหากประมือกันกับประมุขมารเมฆาขาวก็จะกดดันประมุขมารเมฆาขาวอย่างสมบูรณ์ เข้ามาสามสี่คนก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้
‘ฝานฉู่ฮู่’ ผู้เป็นหนึ่งในเทพมารร้อยสงคราม
‘ท่านชายฉื้อเฟิง’ ผู้เป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนแห่งสกุลฉื้ออันสูงส่ง
ผู้ท่องคนหนึ่งที่เป็นลูกน้องของ ‘คนพเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกา…ผู้ท่องธุลีฝน
ทั้งสามคนนี้ล้วนมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
เมื่อเปรียบเทียบกันกับยอดฝีมือสองคนที่ลัทธิกระบี่สวรรค์ส่งมา ก็มีภูมิหลังที่เล็กกว่ามาก
“เฮอะ”
“รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็บ้าคลั่งกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เห็นพวกเราสองพี่น้องอยู่ในสายตาหรอก” ยอดฝีมือสองคนที่นั่งอยู่ที่นั่น คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีฟ้าหยดน้ำ คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีแดงเพลิงถ่ายเสียงพูดคุยกัน แต่กลับมิได้เปิดปากพูดสิ่งใดกันเลย
“เอาล่ะ ตอนนี้อิงซานเสวี่ยอิงก็เดินเตร็ดเตร่อยู่บนท้องถนนตามอำเภอใจ ทุกท่านสามารถเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา” อ๋องอสนีบาตโม่เฉายิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ข้าจะอยู่ที่นี่ รอฟังข่าวดีจากทุกท่าน”
“อืม”
ชายหนุ่มผมแดงสะดุดตายืดกายลุกขึ้น “เรื่องมิอาจเนิ่นช้า ตอนนี้ก็เริ่มได้แล้วล่ะ”
“ได้เลย” ผู้ท่องธุลีฝนและฝานฉู่ฮู่ต่างก็ยืดกายลุกขึ้น ยอดฝีมือจากลัทธิกระบี่สวรรค์สองคนนั้นก็ยืดกายลุกขึ้นเช่นเดียวกัน
“ไปกันเถิด”
พรึ่บ
พวกเขาหายตัวไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
……
บนท้องถนน ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลายตามลำพัง อากาศบริเวณรอบๆ เย็นสบาย มองดูบรรยากาศอันคึกคักของร้านรวงทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไป ท้องฟ้าเบื้องบนมีรถม้าอันหรูหราจำนวนหนึ่งบินผ่านเป็นครั้งคราว อารมณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ห้วงสมองหยั่งรู้ ‘ภาพแก่น’ ของเคล็ดผนึกห้าภาพเล็กๆ น้อยๆ บางส่วน แล้วเริ่มที่จะปรากฏขึ้น เริ่มปะทะชนกัน…
“พรึ่บ”
เงียบงันไร้สุ้มเสียง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าถนนบริเวณรอบๆ เงียบสงบลงเป็นอย่างมากในทันใด เสียงส่งผ่านมาจากที่ไกลๆ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นอู้อี้เนิบช้าหาใดเปรียบ ความเคลื่อนไหวของเขาก็เชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“แย่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตนเองติดกับเข้าให้อย่างเงียบเชียบเสียแล้ว
กลางผืนฟ้าไกลออกไป ชายหนุ่มผมแดงสะดุดตาผู้นั้นยืนอยู่ที่นั่นพลางชี้ไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ไกลๆ ระลอกคลื่นกาลเวลาเคลื่อนเข้าปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ‘ท่านชายฉื้อเฟิง’ ผู้นี้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า “เดิมทีการควบคุมกาลเวลาก็เป็นพรสวรรค์ที่ข้าตื่นรู้อยู่แล้ว แล้วข้ายังบำเพ็ญม้วนอดีตของเคล็ดวิชาสามชาติภพอีกด้วย อยากจะขจัดเขตพลังกาลเวลาของข้าอย่างนั้นหรือ หึๆ เกรงว่าจะยังย่ำแย่ไปสักหน่อยกระมัง”
“ฆ่ามัน”
“ตายเสียเถิด”
ในขณะนี้ยอดฝีมืออาภรณ์สีฟ้าหยดน้ำคนหนึ่งและยอดฝีมืออาภรณ์สีแดงเพลิงคนหนึ่งลงมือพร้อมๆ กัน ทั้งหมดล้วนอ้างอิงจากแผนการของพวกเขา ราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง
……
“เปิด เปิด เปิด!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เข้าใจดีว่าตนติดเข้าไปในเขตพลังกาลเวลาของศัตรู การเคลื่อนไหลของเวลาในที่แห่งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการควบคุมของผู้อื่นทั้งสิ้น
ในความเป็นจริงแล้ว พลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่ง หากคิดที่จะควบคุมกาลเวลาในบริเวณโดยรอบก็จะยิ่งยาก! ดังเช่นวังทวีสูญในตอนนั้น ที่ทำการเร่งเวลาให้กับยอดฝีมือขั้นอลวน ราคาที่ต้องจ่ายก็มหาศาล นั่นยังได้จงใจหลอมสมบัติลับล้ำค่าอันกล้าแกร่งออกมาด้วย! ถ้าหากควบคุมเขตพลังของโลกภายนอกจากความว่างเปล่า โดยเฉพาะถ้าตงป๋อเสวี่ยอิงยังจงใจขัดขืน ระดับความยากนี้ก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก
“ครืน…” ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเกลียวคลื่นกระแสอากาศหมุนวนเกิดขึ้น เกลียวคลื่นนี้คล้ายกับบันไดอากาศสามสายที่หมุนวนล้อมรอบกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ซึ่งก็คือเคล็ดคุ้มร่าง หนึ่งในห้าเคล็ดวิชาของยุทธวิธีเมฆาแดง
“พลั่ก”
มือกุมหอกเทพเมฆาแดงแล้วหมุนปั่นห้วงอากาศโดยรอบ ทำให้ห้วงอากาศส่งเสียงครืนดังกึกก้อง
เขาถึงกับสำแดงเคล็ดวิชา ‘ทลายเวหา’ และเคล็ดวิชาอื่นๆ ไม่ทัน การโจมตีของศัตรูก็มาถึงเสียแล้ว
เพราะว่าเวลาในบริเวณที่เขาอยู่นั้นเคลื่อนผ่านอย่างเนิ่นช้าเหลือเกิน ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าไปด้วย ลำพังแค่เคล็ดคุ้มร่างและเขตพลัง เพียงแค่ความนีกคิดเดียว จึงสามารถฝืนสำแดงออกมาได้อย่างทุลักทุเล
“พรวด”
ไอหมอกสีฟ้าเข้มพลันแทรกสอดเข้าสู่ร่างกาย มาอย่างรวดเร็วและหนาวเหน็บเหลือเกิน หนาวเหน็บเสียจนตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งเกร็งไปทั้งร่าง
ในขณะเดียวกันอนุภาคสีแดงเพลิงที่พรั่งพรูออกมาก็แทรกสอดเข้าสู่ร่างกายเช่นเดียวกัน รุ่มร้อนเหลือเกิน ร้อนเสียจนร่างกายแทบจะหลอมเหลว
การโจมตีทั้งสองครั้งนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน อีกทั้งยังปกคลุมเขตพลังกาลเวลาเอาไว้โดยสิ้นเชิง และตนเองยังติดค้างอยู่ในเขตพลังกาลเวลา ไม่สามารถทลายเปิดออกไปได้ ถูกบีบบังคับให้รับเคล็ดวิชา
หนึ่งร้อนรุ่ม หนึ่งหนาวเหน็บ
ล้วนเป็นเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบทั้งคู่
“กึกๆๆ…” ครึ่งร่างกายซีกด้านซ้าย หนาวเหน็บหาใดเปรียบ ราวกับทุกอณูอนุภาคต่างก็อยากจะหยุดยั้งระลอกคลื่นเอาไว้ ภายใต้ความหนาวเหน็บ ความปรารถนาทั้งหมดทั้งมวลล้วนหยุดนิ่ง
“ฉึบๆๆ…” ครึ่งร่างกายซีกด้านขวา ร้อนรุ่มเหลือแสน เมื่อแรกเริ่มรู้สึกว่าร่างกายจะหลอมละลาย จากนั้นกระแสความร้อนอันน่าหวาดหวั่นขุมนี้ก็ปะทะเข้าด้วยกันกับความหนาวเหน็บภายในกายอีกขุมหนึ่ง
“ตึง”
“เจ้าคนผู้นี้ ทำเช่นนี้ยังไม่ตายอีกหรือนี่” ไม่ว่าจะเป็นท่านชายฉื้อเฟิงผู้ควบคุมเขตพลังกาลเวลา หรือว่ายอดฝีมือคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำและอ๋องอสนีบาตโม่เฉาที่ชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ ต่างก็รู้สึกว่าตกตะลึงอยู่บ้าง เพราะว่าความรุ่มร้อนและความหนาวเหน็บอย่างที่สุด อีกทั้งยังเป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่สิบด้วยกันทั้งสิ้น รับเข้าไปทั้งหมดโดยที่ไม่มีหนทางต้านทาน อาการบาดเจ็บของร่างกายก็น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน น่าหวาดหวั่นกว่าความรุ่มร้อนหรือความหนาวเหน็บเพียงอย่างเดียวนับสิบเท่า แม้กระทั่งร่างเมฆทักษิณาทิพย์อันสมบูรณ์แบบก็ยังน่าจะพังทลายจนสิ้น
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้านรับเอาไว้ได้เสียแล้ว
“หนาว ร้อน”
ร่างกายถูกกระตุ้นในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกว่ายากที่จะรับได้เป็นอย่างยิ่ง แต่ร่างกายของเขากลับต้านรับเอาไว้ได้เสียแล้ว
“พลั่ก”
เขาถึงขนาดที่ยังคงสามารถฝืนควบคุมตนเองเอาไว้ได้ แทงหอกยาวในมือออกไปสู่ห้วงอากาศอย่างดุดัน
ปัง…
ทลายเวหา!
ถึงแม้ว่าจะฉีกขาดออกเป็นรอยแยกเล็กๆ มีกลิ่นอายอันน่าพิศวงแผ่ออกมาจางๆ แต่รอยแยกนั้นก็สมานเข้าด้วยกันในทันใด ทั้งเขตพลังกาลเวลาสั่นไหวคราหนึ่งแล้วก็หยุดนิ่งเช่นเดิม
“แม่ทัพฉู่ฮู่” บุรุษผมสั้นเสื้อคลุมดำผู้นั้นเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“ผู้ท่องธุลีฝน” ฝานฉู่ฮู่ก็สงบเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่สงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งจนถึงตอนนี้ เขาประสบกับการสังหารมามากมายเท่าใด สถานการณ์เช่นนี้สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงแค่ ‘การเล่นสนุก’ เท่านั้นเอง
ปัง ปัง
พวกเขาสองคนลงมือโดยพร้อมเพรียงกัน
ในมือของบุรุษผมสั้นเสื้อคลุมดำมีค้อนใหญ่สีเขียวเข้มอันหนึ่งปรากฏขึ้น ค้อนใหญ่เหวี่ยงอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง มิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใดๆ ในบริเวณที่ผ่านไปเลย ลมมิได้กรรโชก แม้กระทั่งฝุ่นละอองก็ยังมิได้ขยับเขยื้อน ค้อนใหญ่ทุบเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
ทว่าฝานฉู่ฮู่กลับยื่นมือตรงออกไป ฝ่ามือซัดออกไปอย่างฉับพลัน ฝ่ามือสีทองแดงขนาดมหึมาซัดผ่านตรงไป โครม ห้วงอากาศฉีกขาด ก่อให้เกิดกระแสคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนโดยรอบ พลังคุกคามนี้ดุร้ายบ้าคลั่งกว่าเคล็ดวิชาใดๆ ก่อนหน้านี้ทั้งหมด เกรงว่าพลังคุกคามของเทพจักรวาลสามัญธรรมดาก็ยังห่างชั้นกับฝ่ามืออันน่าหวั่นเกรงนี้อย่างไกลโข ความขึ้นชื่อของเทพมารร้อยสงคราม…นั่นก็คือการสำแดงการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน
บุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือสองคนสำแดงท่าไม้ตายของตนเองออกมาพร้อมกัน
หนึ่งเงียบงันไร้สุ้มเสียง หนึ่งมีพลังคุกคามล้นฟ้าเคลื่อนเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน
……………………………………………