Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 69 เปลี่ยนสีหน้า
ประกายอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ ซึ่งก็คือผู้เฒ่าศีรษะล้านที่เดือดดาลคนหนึ่ง ตลอดร่างเปล่งประกายแรงกล้าจนเขาดูราวกับผู้ปกครองของสรรพชีวิตทั้งมวล
“ผู้ใดบังอาจสังหารสยาอินบุตรสาวข้า” เขาส่งเสียงคำรามอย่างโมโหดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน จิตสังหารล้นฟ้าแผ่กวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ เหล่าผู้บำเพ็ญมากมายบนท้องถนนต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจภายใต้จิตสังหารเช่นนี้ วิญญาณเกิดความรู้สึกหยุดนิ่งรางๆ หัวใจเต้นตึกตัก พวกเขามองเงาร่างสายนั้นอย่างหวาดหวั่น บรรดาแขกเหรื่อภายในร้านสุราและผู้ดูแลโรงสุราที่เพิ่งยกสุราให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เบิกตาโพลงมองดูเงาร่างเปล่งรัศมีที่อยู่กลางเวหาไกลออกไปสายนั้น
บุคคลผู้น่าหวาดหวั่นผู้นั้น จะมีประชากรรัฐถูฮวาสักกี่คนกันที่ไม่รู้จัก
“อ๋องเสาค้ำฟ้า! อ๋องเสาค้ำฟ้า!”
“เป็นอ๋องเสาค้ำฟ้า!”
“อ๋องเสาค้ำฟ้ามาแล้ว หมดกัน คราวนี้หมดกันจริงๆ เสียแล้ว”
ทั่วทั้งรัฐถูฮวามีอ๋องเสาค้ำฟ้าอยู่ทั้งสิ้นสองคน ต่างก็เป็นยอดฝีมือผู้ล้ำเลิศระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบด้วยกันทั้งคู่ สถานะของพวกเขาสูงส่งกว่าเฟิงอ๋องคนอื่นๆ หนึ่งขั้นใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
รัฐถูฮวา ผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดก็คือประมุขรัฐ ตามมาด้วยอ๋องเสาค้ำฟ้าสองคน เมื่อใดที่พวกเขาโมโห เกรงว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะต้องตาย! แต่บรรดาประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังคงเต็มไปด้วยความยกย่องและเทิดทูน ‘อ๋องเสาค้ำฟ้า’ อยู่ดี เพราะว่ามีเสาค้ำฟ้าทั้งสองอยู่ มีประมุขรัฐอยู่ พวกเขา ‘รัฐถูฮวา’ จึงสามารถต้านทานศัตรูจากภายนอกและเหล่ามารได้
ถ้าหากภายในรัฐไม่มีผู้แกร่งกล้ามากพอ เกรงว่ารัฐถูฮวาคงมีแต่มารออกอาละวาด
ทว่าต่อให้เคารพยิ่งกว่านี้ ขณะนี้บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็รู้สึกได้ถึงความตายที่คืบคลานเข้ามา ยังคงหวาดหวั่นเป็นที่สุดอยู่ดี พวกเขาไม่อยากตาย! พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าอยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ประสบเคราะห์โดยแท้ทีเดียว
“ข้าไม่อยากตาย สหายร่วมวิถีข้าก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ!”
“ไม่ ไม่…”
“ยังอยากจะสะสมแก้วผลึกจักรวาลให้มากพอแล้วส่งลูกข้าไปเป็นศิษย์นอกสำนักที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ศึกษาวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าให้สำเร็จ ทั้งหมดสูญเปล่าเสียแล้ว ทั้งหมดสูญเปล่าเสียแล้ว ภายใต้ความเดือดดาลของอ๋องเสาค้ำฟ้า เกรงว่าเพียงแค่ความนึกคิดเดียวพวกเราก็จะสูญสลายกันไปหมดแล้วล่ะ”
หากไม่สิ้นหวังยอมจำนน ก็เผชิญหน้าอย่างสงบ
แน่นอนว่าในขณะนี้กองทัพเหล่านั้นกลับเปรมปรีดิ์กันเป็นอย่างยิ่ง
ในทางกลับกันผู้ที่ยังคาดหวังกับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะว่าอิทธิพลของ ‘อ๋องเสาค้ำฟ้า’ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ในสายตาของประชากรรัฐถูฮวาจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นก็สามารถเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลเลยทีเดียว! เทพจักรวาลไม่ปรากฏออกมา อ๋องเสาค้ำฟ้าก็เรียกได้ว่ากวาดขั้นอลวนทั้งหมดจนเรียบ ถึงแม้ว่า ‘หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว’ ผู้นั้นจะร้ายกาจ แต่กลิ่นอายที่ระเบิดออกมาในยามที่ลงมือก็เป็นเพียงแค่กลิ่นอายของขั้นอลวนเท่านั้น มิอาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่จับตาของอ๋องเสาค้ำฟ้าในขณะนี้ได้เลย
“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่นั่นพลางรินสุราให้ตนเองแล้วเหลือบมองผู้เฒ่าศีรษะล้านผู้เปล่งรัศมีจับตาอย่างยิ่งที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงความเดือดดาลและจิตสังหารล้นฟ้าของอีกฝ่าย เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉยต่อไปว่า “ว่าอย่างไรเล่า อยากจะสังหารข้าอย่างนั้นหรือ”
สายตาของผู้เฒ่าศีรษะล้านมองจับไปบนร่างของ ‘หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว’ ศัตรูคู่แค้นที่สังหารบุตรสาวตนในทันใด บังอาจนัก! ในเวลานี้ยังมีหน้ามาดื่มสุราอีก!
“หืม”
ผู้เฒ่าศีรษะล้านพลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นคราหนึ่ง จิตสังหารล้นฟ้าภายในใจพลันสูญสลาย ตลอดร่างกลับเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บ เขาจ้องมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นต่อไปด้วยหัวใจที่สั่นสะท้านอยู่บ้าง ถึงแม้ว่ายามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกจะเก็บรวบรวมกลิ่นอายอยู่เสมอ ทว่ารูปลักษณ์ก็มิได้เปลี่ยนแปลง! ถึงอย่างไรเขาก็เพียงแค่อยู่ห่างจากรัฐถูฮวาเป็นระยะทางไกลโพ้นเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ที่ยังอยู่ใน ‘สี่รัฐมารทมิฬ’ อาณาบริเวณผืนเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐโบราณคิมหันตวายุนั้น ที่รัฐถูฮวา ผู้ที่ล่วงรู้ข้อมูลของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ไม่มากนัก โดยทั่วไปก็ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน และสมาชิกตระกูลอ๋องโหวที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลเป็นพิเศษจำนวนหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้วแม้กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจตั้งใจรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้แกร่งกล้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาภายในประเทศเล็กๆ ในบริเวณรอบๆ รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณบรรพชนอันห่างไกล เพียงแต่ว่าเมื่อสถานะถึงขั้นหนึ่งแล้ว สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ย่อมส่งข่าวคราวใหม่ล่าสุดมาให้กับเขาอยู่แล้ว
ทว่าสมาชิกตระกูลอ๋องโหวภายในตระกูลรัฐถูฮวา ก็ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง
ผู้ที่สามารถรู้จักตงป๋อเสวี่ยอิงได้นั้นมีอยู่ไม่มากนัก!
ทว่า ‘หยางสยง’ ผู้เป็นถึงบรรพชนสกุลหยาง หนึ่งในสองเสาค้ำฟ้าแห่งรัฐถูฮวา ก็ย่อมรวบรวมข้อมูลของตงป๋อเสวี่ยอิงมาได้ก่อนอยู่แล้ว
“เป็นเขาหรือ อิงซานเสวี่ยอิงน่ะหรือ” ผู้เฒ่าศีรษะล้านหนาวเหน็บไปทั้งร่าง หัวใจสั่นสะท้านอย่างที่สุด “อ๋องอสนีบาตโม่เฉา ผู้พิทักษ์วิถีแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์ เมื่ออยู่ตรงหน้าเขาก็มิได้ต้านทานเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ก็ถูกเคล็ดผนึกห้าภาพจับทั้งเป็นเสียแล้ว! พลังยุทธ์ของข้าเมื่อเทียบกับอ๋องอสนีบาตโม่เฉา อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่นับได้ว่าเทียบเคียงกันเท่านั้นเอง! หรือไม่ก็อาจจะอ่อนกว่าเสียด้วยซ้ำ”
“เมื่อสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมา เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ข้าก็จบสิ้นแล้ว”
ผู้เฒ่าศีรษะล้านเข้าใจในจุดนี้กระจ่างดียิ่ง
เขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานเหลือเกิน เดิมทีเขาเป็นประชาชนธรรมดาๆ คนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เดินทีละก้าวๆ มาจนถึงระดับพลังยุทธ์ในตอนนี้ เขาก็ประสบกับการชิงไหวชิงพริบและเสี่ยงภัยอยู่ระหว่างความเป็นความตายมามากมายเหลือเกิน! จนกระทั่งมาถึงพลังยุทธ์ในตอนนี้ก็ไม่เคยคิดจะกลับไปยังรัฐโบราณคิมหันตวายุเลย เพราะว่าภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ พลังยุทธ์เล็กน้อยแค่นี้ของเขามิอาจนับเป็นอะไรได้เลย จะสุขสันต์อิสระเสรีเหมือนอยู่ที่รัฐถูฮวาได้อย่างไรกันเล่า
สำหรับจิตสังหารโกรธแค้นแต่เดิมนั้นก็ได้กระจัดกระจายหายไปนานแล้ว
เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด แม้กระทั่งบุตรชายหญิงทั้งหมดที่มีอยู่เขาก็มิได้สนใจเลย! เขามีบุตรชายหญิงสองร้อยหกสิบห้าคน บุตรสาวคนหนึ่งตายไปจะนับเป็นอะไรได้เล่า
……
“มิกล้า มิกล้า”
ผู้เฒ่าศีรษะล้านเก็บงำกลิ่นอายในทันที แล้วร่อนลงสู่พื้นดิน รอยยิ้มบนใบหน้ากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง กระตือรือร้นถึงขนาดที่ประจบสอพลอเลยทีเดียว เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ไปถึงบริเวณโรงสุราแล้ว ทั้งยังคารวะไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงคราหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ขออภัย ขออภัย นางแพศยานั่นล่วงเกินใต้เท้าเสวี่ยอิง ช่างสมควรตายนัก! ต่อให้ใต้เท้าเสวี่ยอิงไม่ลงมือ ข้าก็จะลงมือเอง นางแพศยาผู้นี้มิได้รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยแม้แต่น้อย”
เสียงของเขาดังขึ้นเพียงแค่บริเวณรอบๆ เท่านั้น
มีเพียงแค่เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงที่ได้ยิน แขกเหรื่อของโรงสุราที่อยู่รอบๆ และเหล่าผู้บำเพ็ญบนท้องถนนต่างก็ไม่ได้ยินด้วยกันทั้งสิ้น
เขาสามารถประจบสอพลอต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่ก็ไม่อยากให้บรรดาแขกเหรื่อเหล่านั้นได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“มีเรื่องอันใดกันหรือ”
“อ๋องเสาค้ำฟ้า เหตุใด เหตุใดจึงดูเหมือนว่า…”
ถึงแม้จะไม่ได้ยินว่าพูดอะไร แต่พวกเขาก็มองเห็น!
มองเห็นรอยยิ้มอันกระตือรือร้นบนใบหน้าของอ๋องเสาค้ำฟ้า ‘หยางสยง’ และยังถึงกับค้อมกายทำความเคารพหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น
“โอ้”
“ได้เจอกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เสียแล้ว”
“ผู้ใดกันหรือ”
“ทำให้อ๋องเสาค้ำฟ้าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ได้ เป็นเทพจักรวาลหรือไร”
“เกรงว่าคงเป็นเทพจักรวาล”
ผู้ดูแลและแขกเหรื่อของโรงสุราที่อยู่รอบๆ และเหล่าผู้บำเพ็ญบนท้องถนนต่างก็รู้สึกได้ถึงความชื่นชมยินดี มีความหวังแล้ว พวกเขามีความหวังที่จะมีชีวิตรอดแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราตามลำพังแล้วเอ่ยขึ้นตามอำเภอใจว่า “หยางสยง นอกจากผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้แล้ว ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ จำนวนมากมายต่างก็มิได้ยุแหย่บุตรสาวท่านเลย สยาอินบุตรสาวท่านกลับต้องการสังหารพวกเขาให้หมดสิ้น นี่ก็มิได้ดีไปกว่าเหล่ามารที่ทะเลสาบมารทมิฬพวกนั้นเลย นางอยากจะสังหารหมู่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ใช้แนวทางของนางมาจัดการตัวนางเองแล้วล่ะ”
“อะไรนะ นางกล้าทำเช่นนี้ด้วยหรือ ก่อนหน้านี้นางก็ร้ายกาจอยู่บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเช่นนี้ได้” หยางสยงแสดงท่าทีโกรธเคือง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ล่วงรู้ถึงอุปนิสัยอันเหี้ยมโหดของบุตรสาวอยู่ก่อนแล้ว
“พรึ่บ”
ทันใดนั้นบริเวณไกลออกไปก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือบุรุษอวบอ้วนคนหนึ่ง ยามที่บุรุษผู้นั้นเดินมา บริเวณรอบๆ ก็มีเงามายาของดอกไม้บานดอกแล้วดอกเล่า เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในที่นั้นต่างก็เกิดความรู้สึกสุขสันต์จากก้นบึ้งของจิตใจ
“ท่านประมุขรัฐ” ทุกคนในที่นั้นต่างก็เคารพนบนอบเป็นอย่างยิ่ง
ผู้มาก็คือประมุขรัฐถูฮวา
“ที่แท้ก็เป็นอิงซานเสวี่ยอิงนี่เอง มาถึงรัฐถูฮวาของข้า เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวข้าสักนิดเลยเล่า” ประมุขรัฐถูฮวาพูดพลางยิ้มน้อยๆ พร้อมกันนั้นเขาก็เหลือบตามองผู้เฒ่าศีรษะล้านปราดหนึ่ง “หยางสยง บุตรสาวเจ้าถึงกับล่วงเกินอิงซานเสวี่ยอิงเข้า อีกประเดี๋ยวยามที่จัดงานเลี้ยงก็ต้องขอขมาให้ดีๆ ด้วยล่ะ”
“แน่นอนขอรับ แน่นอนขอรับ” ผู้เฒ่าศีรษะล้านเอื้อนเอ่ย
“คารวะท่านประมุขรัฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นพูด อยู่ต่อหน้าหยางสยงจะไม่ใส่ใจก็ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขรัฐถูฮวาก็ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
“ฮ่าฮ่า… ได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเจ้า อิงซานเสวี่ยอิงมานานแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหน้ากันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ดูท่าทางน้องเสวี่ยอิงกับข้าจะมีวาสนาต่อกัน” ประมุขรัฐถูฮวาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น เพียงแค่สองสามประโยคก็เรียกหาว่า ‘น้อง’ เสียแล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ
แม้กระทั่งตอนนี้พลังยุทธ์ของคนทั้งสองต่างก็มิได้แตกต่างกันมากมายนัก แต่บำเพ็ญเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จ การสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ‘ทางสายห้วงอากาศ’ นั้นก็เป็นเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้ เมื่อถึงเวลานั้นพลังยุทธ์ของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้อาจจะกดอยู่เหนือประมุขรัฐถูฮวาของเขาก็เป็นได้ นอกจากนี้เบื้องหลังของอิงซานเสวี่ยอิงยังมีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดอยู่คนหนึ่งด้วย… ประมุขรัฐเมฆทักษิณา!
ประมุขรัฐเมฆทักษิณา เมื่อเผชิญกับบรรดาบุคคลไร้เทียมทานของหกรัฐโบราณเหล่านั้นก็จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทน แต่เผชิญหน้ากับประมุขรัฐเล็กๆ ขั้นสามพรรค์นี้ กลับสามารถกดดันได้อย่างง่ายดาย
“เป็นเขา หยางสยง” ‘ปาถัวเฉิน’ ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างมองเห็นหยางสยง ตอนแรกก็สิ้นหวัง หลังจากนั้นได้เห็นว่าหยางสยงเมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั้นกลับมีท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง บุตรสาวตายไปแล้ว ยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเลยเสียด้วยซ้ำ
“ท่านประมุขรัฐ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้เห็น ‘ประมุขรัฐถูฮวา’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในรัฐถูฮวา ยังคุยเล่นกับหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“น้องเสวี่ยอิง ไปๆๆ เข้าไปในวังแห่งนั้นของข้าสิ มานั่งกินอะไรอยู่ที่นี่กันเล่า อาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศนั้นของข้าเยี่ยมยอดกว่าที่นี่มากมายนัก” ประมุขรัฐถูฮวาพูด
“ประมุขรัฐไม่ต้องเกรงใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้ายังมีธุระ มิอาจเนิ่นช้าอยู่ที่นี่ได้แล้ว”
“ผู้อาวุโส!”
ผู้ดูแลปาถัวเฉินที่อยู่ข้างๆ ตะโกนขึ้นในทันใด
ในขณะนี้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ประมุขรัฐถูฮวาและหยางสยงต่างก็ปฏิบบัติต่อหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นอย่างกระตือรือร้นถึงเพียงนั้น ใครจะกล้าขึ้นเสียงกับพวกเขากันเล่า แต่เสียงตะโกนเสียงนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบจำนวนมากในทันใด แล้วก็ดึงดูดความสนใจของประมุขรัฐถูฮวา หยางสยงและตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน
ปาถัวเฉินก็ยังถูกประมุขรัฐจ้องมองเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ผู้อาวุโส” ปาถัวเฉินกลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วคุกเข่าลงอย่างแรงเสียงดังพลั่ก
เขารู้ว่าหากพลาดคราวนี้ไป เขาก็จะเสียโอกาสไปตลอดกาล!
…………………………………………………