Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 76 การล่อลวงของสกุลฝาน
“น้องเสวี่ยอิง เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ไปชั่วคราวก่อน อย่าได้เดินสะเปะสะปะไปไหนเป็นอันขาด หลายบริเวณของคีรีมารสกุลฝานแห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม! แม้แต่สกุลเซี่ยและสกุลชางก็มีผู้แกร่งกล้าอันน่าหวาดหวั่นมาบำเพ็ญที่คีรีมารสกุลฝานนี่… หากเจ้าบุกรุกสถานที่ต้องห้ามตามอำเภอใจก็อาจจะถูกลูกหลงค่ายกลของสถานที่ต้องห้ามสั่งหารเอาได้” ฝานเทียนฉ่งเตือน “อีกประเดี๋ยวจะมีป้ายสถานะของเค่อชิงระดับบนมาส่งให้ เจ้าก็รู้ว่าสถานที่แห่งใดในคีรีมารสกุลฝานสามารถไปได้ บริเวณใดไม่สามารถไปได้แล้ว”
“พี่เทียนฉ่ง วางใจเถิด ข้าจะไม่เดินสะเปะสะปะไปไหนแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ไม่นานนักฝานเทียนฉ่งก็จากไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ในลานพลางทอดสายตามองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไกลออกไป ต่อให้ห่างกันไกลโพ้นก็ยังคงสามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงบริเวณต่างๆที่มีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมอยู่
“ผู้แกร่งกล้าที่สามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ บ่มเพาะออกมานั้นก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมรู้ข้อมูลเป็นธรรมดา
สกุลเซี่ย…
ซึ่งเป็นตระกูลที่ปกครองทั้งรัฐโบราณคิมหันตวายุ มีทรัพยากรมากมายเกินคาดเดา เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของทั้งดินแดนจิตโลกา ชื่อของรัฐโบราณแห่งนี้ถูกตั้งว่า ‘เซี่ยเฟิง (คิมหันตวายุ)’ ก็พอจะเห็นได้แล้วว่า จำนวนผู้แกร่งกล้าที่พวกเขาบ่มเพาะขึ้นมานั้นมากที่สุด หากพูดถึงจำนวนของผู้แกร่งกล้า ก็มากกว่าสกุลชางและสกุลฝานอยู่บ้างเล็กน้อย
ส่วนสกุลชาง การบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าของสกุลชางจัดเป็น ‘การบ่มเพาะแบบปล่อยปละละเลย’ ดังนั้นบรรดาผู้แกร่งกล้าสกุลชางจึงรักอิสรเสรี บางคนก็เหิมเกริมไม่สนใจเหตุผล ‘ถือตัวเองเป็นใหญ่’ กันทั้งนั้น
ส่วนสกุลฝาน การบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าเหมือนกับทางทะเลสาบมารทมิฬมากกว่า หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว วิธีคัดเลือกผู้แกร่งกล้าของทางทะเลสาบมารทมิฬนั้นเรียนรู้จากสกุลฝาน! การแก่งแย่งชิงดีภายในสกุลฝานนั้นดุเดือด ผู้แกร่งกล้าก็ขึ้นมา ส่วนผู้อ่อนแอก็ตกอับ! กฎเกณฑ์ภายในก็เคร่งครัดเป็นอย่างมาก จัดเป็นสกุลที่สามัคคีที่สุดภายในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำตัวเป็น รวมเอาผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอกเข้ามา ประหนึ่งทะเลที่รวมเอาสายน้ำเล็กๆ เข้าด้วยกัน
สกุลชางและสกุลฝานมีพลังใกล้เคียงกัน ทว่าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้ว โดยทั่วไปก็เป็นสกุลชางที่เสียเปรียบ! เพราะสกุลฝานสามัคคีกันมากกว่า แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ก็เข้มงวดกว่าด้วยเช่นกัน!
“กฎของสกุลฝานมิอาจแตะต้องได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เกล็ดหิมะเล็กละเอียดล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า
“ปังๆๆ!”
เสียงเคาะประตูอันหนักหน่วงดังขึ้นด้านนอก
“เปิดประตู” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
“ขอรับ” บ่าวรับใช้มังกรมารเดินไปเปิดประตูเรือนทันที
หน้าประตูคือทหารสวมเกราะสีดำตลอดร่างผู้หนึ่ง นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาเป็นระดับขั้นอลวน ทหารสวมเกราะสีดำผู้นี้มองตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ในจวนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน ข้ารับคำสั่งให้ส่งสิ่งของต่างๆ มาให้ เก็บไว้ให้ดีด้วย” เขาพูดพลางโยนกำไลสีทองวงหนึ่งออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไปรับไว้ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร อีกฝ่ายก็หมุนกายจากไปแล้ว ก่อนจะแปรเป็นลำแสงหายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ขั้นอลวนอย่างข้าคนหนึ่งได้เป็นเค่อชิงระดับบน เหมือนกับจะทำให้ทหารคนนี้ไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะยิ้มๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ปิดประตูเสีย”
“ขอรับ เจ้านาย” มังกรมารปิดประตู
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนำวัตถุภายในกำไลสีทองออกมาตรวจดูทีละชิ้นๆ
ป้ายบอกสถานะ ม้วนสาส์นและอื่นๆ…
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับแผนที่โดยละเอียดของทั้งคีรีมารสกุลฝานมาด้วย บนแผนที่ระบุระดับพื้นที่ที่แตกต่างกันเอาไว้ ในฐานะเค่อชิงระดับบน ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถไปยังพื้นที่กว่าครึ่งของคีรีมารสกุลฝานได้
“พรึ่บ” เขาคลี่ม้วนสาส์นไม้เขียวในมือออก บนม้วนสาส์นมีอักษรบรรทัดแล้วบรรทัดเล่าปรากฏขึ้นมา
เคล็ดวิเศษไร้ภาพ:แลกได้ด้วยสามแสนมหาคุณูปการ (ผู้อาวุโสเค่อชิง)
ไม้บรรทัดค้ำฟ้า:สมบัติลับระดับยอด แลกได้ด้วยสองแสนคุณูปการ (เค่อชิงระดับบน)
จานเวทย์จักรวาลคูหา:สมบัติลับระดับยอด แลกได้ด้วยสองแสนคุณูปการ (เค่อชิงระดับบน)
……
คละธาตุถามวิถี:แลกได้ด้วยหนึ่งแสนมหาคุณูปการ (เค่อชิงระดับบน)
ดาบจันทราสามม้วน:แลกได้ด้วยหนึ่งแสนมหาคุณูปการ (เค่อชิงระดับบน)
กายเวทย์ไร้ภาพ:บรรพชนฝานลงมือ ร่างกายแปรเป็นกายเวทย์ไร้ภาพ ต้องการหนึ่งแสนมหาคุณูปการ (เค่อชิงระดับบน)
โลหิตปฐมบรรพชน:โลหิตกำเนิดของโลหิตนิจรัตติกาลบรรพชน ต้องการหนึ่งแสนมหาคุณูปการ (เค่อชิงระดับบน)
……
บนม้วนสาส์นมีสมบัติล้ำค่าจำนวนมากที่สามารถแลกได้จารึกเอาไว้แน่นขนัด ที่ราคาสูงที่สุดคือมหาคุณูปการ ที่ราคาถูกที่สุดก็เพียงหนึ่งพันมหาคุณูปการเท่านั้น! ในจำนวนนั้น อย่างเช่น ‘โลหิตดั้งเดิม’ ของโลหิตนิจรัตติกาลบรรพชน ต้องรู้ไว้ว่าโลหิตนิจรัตติกาลบรรพชนมอบโลหิตให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมากที่สุดก็แค่โลหิตหยดเดียวเท่านั้น แค่ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว! แต่ ‘โลหิตดั้งเดิม’ กลับเป็นรากฐานของมัน จะฟื้นฟูได้ก็ต้องกลืนกินวัตถุล้ำค่าจำนวนมากลงไปจึงจะมีหวัง ไม่มีทางขายได้เป็นอันขาด
สมบัติล้ำค่าด้านบนทุกชิ้นล้วนแต่มีบันทึกไว้โดยละเอียด
เช่น ‘ไม้บรรทัดค้ำฟ้า’ นั้นเป็นสมบัติล้ำค่าทางด้านกาลมิติ ต้องบรรลุเทพจักรวาลชั้นที่สองทางด้าน ‘กาลมิติ’ จึงจะมีหวังเข้าถึงได้
หรืออย่างเช่นคละธาตุถามวิถี ต้องบรรลุขั้นสุดของการกลายเป็นอากาศธาตุ จึงจะมีหวังฝึกให้เข้าที่ได้
เคล็ดวิชาที่ต้องใช้แสนมหาคุณูปการมาแลกล้วนแต่ล้ำค่ากว่าเคล็ดผนึกห้าภาพทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าเป็นระดับยอดสุด! อย่าง ‘กายเวทย์ไร้ภาพ’ ที่บรรพชนฝานช่วยแก้ไขร่างกายนั้น เป็นระดับเทพจักรวาล เมื่อแก้ไขได้สำเร็จแล้ว ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งก็จะกลายเป็นเทพจักรวาลทันที ไร้เทียมทานเพียงใดกัน
ทว่าหนึ่งแสนมหาคุณูปการ
ลำพังแค่แลกเปลี่ยนแก้วผลึกจักรวาล ก็สามารถแลกได้เป็นแสนล้านก้อนแล้ว! อีกทั้งคุณูปการเหล่านี้ ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำภารกิจให้สกุลฝานครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะได้มา ต่อให้เป็นระดับอย่างประมุขรัฐประกายเพลิงหรือประมุขรัฐวอเฟิง โดยทั่วไปทำภารกิจครั้งหนึ่งก็ได้มาเพียงไม่กี่พันมหาคุณูปการเท่านั้น นอกจากนี้หากสกุลฝานมิได้มอบหมายภารกิจให้ พวกเขาก็ไม่มีภารกิจให้รับ!
จะรวบรวมให้ครบหนึ่งแสนมหาคุณูปการนั้นยากเกินไปแล้ว รวบรวมให้ครบสองแสนมหาคุณูปการนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้! ต่อให้เป็นประมุขรัฐเมฆทักษิณา จวบจนบัดนี้ก็ยังรวบรวมได้ไม่ถึงสองแสนคุณูปการเลย
“สมบัติลับระดับยอดสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องจะแลกเปลี่ยนสมบัติลับระดับยอดสุดเหล่านั้น
สมบัติลับระดับยอดสุดเพียงพอจะทำให้เทพจักรวาลไม่ว่าหน้าไหนบ้าคลั่งได้เลยทีเดียว!
อย่างตอนนั้นประมุขรัฐเมฆทักษิณาถูกไล่ล่าจนต้องกระเสือกกระสนหนีไปอย่างน่าอนาถ ต่อมาจึงโชคดีเป็นอย่างมากได้เข้าไปในโบราณสถานเก่าแก่แห่งหนึ่ง และได้สมบัติลับระดับยอดสุดคือ ‘ดาบทวิภพ’ มา! หลังจากเข้าถึงสมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดาบทวิภพ’ อย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงมีสถานะเช่นทุกวันนี้ได้ เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่เมื่อไม่มีสมบัติลับก็มีพลังเพียงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น หากมีสมบัติลับก็จะทะยานขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สิบ
ราคาของสมบัติลับระดับยอดสุดนั้นสูงเสียจนเกินจริง
สมบัติลับระดับยอดสุดทั้งหกชิ้นที่จัดอยู่ในม้วนสาส์นของสกุลฝานล้วนแต่ทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากบุกน้ำลุยไฟเพื่อพวกเขาได้!
“โลหิตบรรพชนหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านบันทึกเรื่องโลหิตดั้งเดิมโลหิตดั้งเดิมของโลหิตบรรพชนโดยละเอียด
ในสงครามรัฐโบราณครั้งที่สอง
โลหิตนิจรัตติกาลบรรพชนและโลหิตบรรพชนเคยร่วมมือกันทำศึกครั้งใหญ่กับสามบรรพชนแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ได้แก่ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ‘จักรพรรดิชาง’ และ ‘บรรพชนฝาน’ ศึกครั้งนั้นทำเอาโลหิตนิจรัตติกาลของบรรพชนและบรรพชนราตรีนิรันดร์บาดเจ็บสาหัส ทั้งยังแย่งชิงโลหิตดั้งเดิมบางส่วนของ ‘โลหิตนิจรัตติกาลบรรพชน’ มาด้วย! บัดนี้นำโลหิตดั้งเดิมออกมาหยดหนึ่งแลกกับหนึ่งแสนมหาคุณูปการเพื่อล่อลวงบรรดาเค่อชิงทั้งหลาย
โลหิตดั้งเดิมของโลหิตนิจรัตติกาลบรรพชนช่างเป็นตำนานจริงๆ
“ที่แท้แล้วครั้งนี้มีความเคลื่อนไหวอันใดกันแน่ จึงสามารถทำให้สกุลฝานยอมมอบหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการให้ข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง “พวกประมุขรัฐประกายเพลิงสู้สุดชีวิตก็เพิ่งได้มาแค่ไม่กี่พันมหาคุณูปการเท่านั้น ครั้งนี้ข้าก็ไม่มีอันตรายต่อชีวิตแต่อย่างใด ที่แท้แล้วอาจารย์เกลี้ยกล่อมสกุลฝานอย่างไร จึงยอมมอบหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการให้ข้าได้”
ถึงตอนนี้เขาก็ยังคงไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวในครั้งนี้พิเศษอย่างไร
นั่นคือความลับของสามตระกูลใหญ่ภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ…เขามีทั้งเคล็ดผนึกห้าภาพและกระบวนท่าเขตลวงโลกเทียมชั้นที่สิบอยู่กับตัว มีโอกาสที่จะชนะได้อย่างแน่นอน สกุลฝานจึงตอบตกลง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเรือนหลังนี้สามวันด้วยกัน
ระหว่างสามวันนี้แม้เขาจะไม่ได้ออกไปไหน แต่กลับได้เห็นยอดฝีมือทั้งสี่ที่จะเข้าร่วมความเคลื่อนไหวในครั้งนี้แทน
“คนของเผ่าทุ่งน้ำแข็งรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตเห็นยอดฝีมือผู้เร้นลับซึ่งมาจากรัฐภายนอกเช่นเดียวกับเขา นั่นคือบุรุษร่างผอมเล็กซึ่งสวมเสื้อคุมกันลมหนาเตอะผู้หนึ่ง ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางเขานั้น ยอดฝีมือเผ่าทุ่งน้ำแข็งก็มองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน ทั้งสองประสานสายตากัน อีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆ มุมปากกระดกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เป็นเขา อ๋องส้าหลงแห่งเผ่าทุ่งน้ำแข็ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงจำอีกฝ่ายได้
อ๋องส้าหลงดูเหมือนจะเก็บงำเอาไว้ภายใน แต่อันที่จริงแล้วกลับเหิมเกริมหาใดเปรียบ เขาเคยสังหารหัวหน้าเผ่าคนหนึ่งของเผ่าทุ่งน้ำแข็งด้วยตัวคนเดียว หัวหน้าคนนั้นเป็นถึงเทพจักรวาล! แม้จะกล่าวว่าเป็นเผ่า…แต่อันที่จริงกลับเทียบได้กับรัฐชั้นสามแล้ว เนื่องจากหัวหน้าถูกล้างสังหารไป ทำให้เผ่านั้นถูกเผ่ารอบด้านกลืนไป
เมื่ออยู่ในเรือนได้สามวัน
ตู้ม!
กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็แผ่คลุมลงมาทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญในเรืองทั้งห้าแห่งโดยรอบสังเกตเห็นได้ นั่นคือบุรุษซึ่งมีรูปร่างกำยำใหญ่โตคนหนึ่ง ผิวกายขอขงเขามีเปลวเพลิงสีแดงโลหิตชั้นหนึ่งลอยอยู่ ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายทำให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากความตาย
“ออกมาให้หมดเถอะ” บุรุษร่างกำยำผู้นี้เอ่ยปาก เสียงดังกังวานไปหมด
เอี๊ยดดด…
ประตูบานแล้วบานเล่าเปิดออก ผู้บำเพ็ญออกมาจากภายในเรือนทั้งห้ากันหมดแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
………………………….