Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 79 โคลนเต็มปาก
ฝานซานหยวน บุรุษอาภรณ์สีดำเรียบง่ายมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่ด้านไกลที่สุดปราดหนึ่ง
“รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้ามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน ทั่วทั้งสี่รัฐมารทมิฬรวมกันขึ้นมาก็ยังเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้นเอง สกุลฝานของข้าเป็นถึงสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ มีเทพจักรวาลมากมายคอยชี้แนะข้า มีสมบัติล้ำค่านานาชนิดคอยสนับสนุน ทั้งยังมีเคล็ดสืบทอดลับที่ชี้แนะไปสู่ระดับสุดยอดอีกด้วย! ถ้าหากยังโจมตีเด็กน้อยของสี่รัฐมารทมิฬคนหนึ่งมิได้ เช่นนั้นก็เป็นความอัปยศของศิษย์รุ่นเยาว์สกุลฝานของข้าแล้วจริงๆ”
ถึงแม้ว่าฝานซานหยวนจะอ่อนโยน แต่ในใจกลับหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง
อุปนิสัยของเขาเหมือน ‘ศิษย์สกุลเซี่ย’ มากกว่า ไม่ชมชอบการสังหารหมู่ มีความรู้สึกเหยียดหยามต่อรัฐประเทศภายนอกโดยสัญชาตญาณเช่นเดียวกัน! ถ้าหากสู้ผู้แกร่งกล้าของรัฐประเทศภายนอกมิได้ เช่นนั้นก็น่าละอายแล้ว!
“อีเชียนเชี่ยวชาญการใช้พลังทำลายกฎ อย่างมากก็แค่ยับยั้งเขา ก็อาศัยสิ่งนี้ดูๆ พลังยุทธ์ของเขาไปก่อนเถิด” ฝานซานหยวนพึมพำ
เพียงไม่นาน
จ้าวขุยเฉินนำคนห้าคนร่อนลงที่ยอดเขา กลับมายังที่พำนัก
“อีกไม่กี่เดือนให้หลังก็จะเป็นสงครามสามตระกูลแล้ว” จ้าวขุยเฉินกวาดสายตา “เจ้าจะต้องทุ่มเทกายใจ พวกเจ้าเค่อชิงทั้งสอง ถ้าหากพ่ายแพ้ ของรางวัลที่ได้สัญญากันเอาไว้ก็จะลดลงอย่างมหาศาล”
ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงและอ๋องส้าหลงต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตต่อสู้
จะต้องทำให้สำเร็จอย่างสุดกำลัง
ตอนนั้นที่คุยกันว่า ‘หลังเสร็จธุระแล้ว’ จึงจะมอบหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการให้ ตลอดมากฏเกณฑ์ของสกุลฝานก็มีอยู่ว่า…เมื่อแขกผู้มาเยือนและเค่อชิงรับภารกิจแล้ว ถ้าหากภารกิจสำเร็จก็ย่อมได้รับรางวัลทั้งหมด แต่ถ้าหากล้มเหลว สกุลฝานก็ไม่มีทางใจกว้างเช่นเดิม หากภารกิจล้มเหลว โดยทั่วไปก็ไม่มีความดีความชอบให้ มีบางภารกิจที่มีความพิเศษ ไม่มีแต้มความดีความชอบ อีกทั้งยังมีความยากลำบาก อย่างเช่นคราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงและอ๋องส้าหลงต่างก็มีภารกิจของแต่ละคน ถ้าหากล้มเหลว ‘มหาคุณูปการ’ ที่เป็นรางวัลก็จะเหลือเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น!
จ้าวขุยเฉินพูดจบแล้วก็แปลงร่างเป็นลำแสงจากไปในทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายกลับไปยังบ้านของตนเอง
อ๋องส้าหลงก็กลับไปยังบ้านของตนเองเช่นกัน
ส่วนศิษย์หัวแก้วหัวแหวนสามคนของสกุลฝานกลับมองประสานสายตากัน
“อ๋องส้าหลง” บุรุษเกราะเขียวผอมกะหร่องฝานอีเชียนเอ่ยปากตะโกนแล้วตรงเข้ามาภายในบ้านของอ๋องส้าหลง อ๋องส้าหลงที่อยู่ภายในชานเรือนก็มองดูบุรุษเกราะเขียวผอมกะหร่องที่บุกเข้ามาอย่างสงสัยอยู่บ้าง “มิทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ”
“หึๆ มาจากเผ่าทุ่งน้ำแข็งหรือ เหมือนจะร้ายกาจมากเลยสินะ กล้าประมือกับข้าหรือไม่เล่า” ฝานอีเชียนแค่นยิ้ม แฝงไว้ด้วยความดูแคลน นี่มิใช่การจงใจยั่วยุ หากแต่อุปนิสัยของเขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว!
อ๋องส้าหลงได้เห็นเหตุการณ์แล้วสีหน้าก็เข้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตามีประกายอำมหิตจางๆ
เขากร่างไปทั่วชนเผ่ามากมายในทุ่งน้ำแข็ง…แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังเคยสู้ด้วยมาหลายคนแล้ว ที่เผ่าทุ่งน้ำแข็งอันชุลมุน ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว
นี่คือสกุลฝาน! ตระกูลใหญ่ที่น่าหวั่นเกรงอย่างที่สุดในทั้งดินแดนจิตโลกา ดังนั้นอ๋องส้าหลงก็คิดว่าถ่อมตนเป็นที่สุดแล้ว
แต่ในเมื่อเหยียบย่ำมาถึงบนหัวเขาแล้ว จะให้เขาหลีกเลี่ยงได้อย่างไรกันเล่า
“ดี” อ๋องส้าหลงพูดเสียงต่ำพลางยิ้มยิงฟัน “เช่นนั้นข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าสักหน่อย”
“ฮ่าฮ่า สุขใจนัก”
ฝานอีเชียนตะโกนเสียงดัง ในมือมีพลองยาวสีทองเหลืองที่ทรงเสน่ห์แบบโบราณอันหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วกวัดแกว่งไม้พลอง บนพลองยาวมีอสนีบาตฟาด แทบจะในทันใดนั้น พลองยาวก็ฟาดมาถึงตรงหน้าอ๋องส้าหลงแล้ว
……
โครม…
นี่คือมหาสงครามที่โหดเหี้ยมและวางอำนาจมากที่สุดคราวหนึ่งแล้ว
พวกเขาคนหนึ่งคือคนที่หยิ่งยโสวางอำนาจที่สุดในบรรดาขั้นอลวนของสกุลฝานในตอนนี้แล้ว มีชื่อเสียงในด้านพละกำลัง! ระดับการวางอำนาจยังเหนือกว่าฝานเทียนฉ่งเสียอีก!
ส่วนอีกคนหนึ่งก็กร่างไปทั่วชนเผ่ามากมายในทุ่งน้ำแข็ง เลื่องชื่อในด้านการสังหารอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่ทำให้ระดับสูงของสกุลฝานต้องมาเชื้อเชิญเลยทีเดียว
……
“หืม” ภายในชานเรือนของตน หูของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับไหว ก็รับสัมผัสได้ว่าภายในบ้านของอ๋องส้าหลงที่อยู่ข้างๆ ห่างออกไปไม่ไกลกำลังมีความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่น แต่ภายในบ้านนั้นก็มีค่ายกลโคจรอยู่ ก็สกัดผลกระทบจากการต่อสู้ทั้งหมด เอาไว้ได้ มิได้เล็ดรอดออกมาภายนอกเลย
“ที่ด้านนอกมีฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋อยู่ เช่นนั้นผู้ที่ประมืออยู่กับอ๋องส้าหลงในขณะนี้ก็คือฝานอีเชียนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “สิ่งที่ฝานอีเชียนบำเพ็ญก็คือตำราศาสตร์ลับทางสายอสนีบาตอันลึกลับอะไรสักอย่าง”
ศาสตร์ลับที่ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋เชี่ยวชาญ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนรู้ที่มาที่ไปทั้งสิ้น
เช่นเคล็ดวิเศษไร้ภาพของฝานซานหยวนนั้นเป็นสิ่งที่บรรพชนฝานคิดค้น
เคล็ดสามพันกระบี่ ศาสตร์ลับของฝานโม่จู๋เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้น
ส่วนตำราที่ฝานอีเชียนบำเพ็ญนั้น ข้อมูลของโลกภายนอกล้วนมิได้มีบันทึกเอาไว้เลย รู้เพียงว่าเป็นตำราทางสายอสนีบาตที่ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง มีชื่อเสียงทางด้านการวางอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
ที่ดินแดนจิตโลกามีตำราลึกลับอยู่จำนวนหนึ่งจริงๆ อย่างเช่นตำราที่บุคคลผู้น่าหวั่นเกรงที่ตกต่ำไปแล้วทิ้งเอาไว้ ถ้าหากในตำรามิได้บันทึกชื่อผู้เขียนเอาไว้ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ที่คิดค้นขึ้นคือใคร! เช่นสกุลฝานและขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่ง ตำราที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง โดยทั่วไปล้วนเป็นความลับอย่างยิ่ง ที่โลกภายนอกก็ยังยากยิ่งที่จะหาคำแนะนำได้พบสักกี่มากน้อย
ไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม! ไม่เปิดเผยผู้คิดค้น! มีส่วนใดที่น่าหวาดหวั่นก็ไม่เปิดเผย! มีเพียงความรู้สึกที่ได้ประสบตอนต่อสู้เท่านั้น จึงสามารถคาดเดาส่วนของพลานุภาพได้ทีละน้อย
******
เอี๊ยด
ประตูลานบ้านของอ๋องส้าหลงเปิดออกแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฝานอีเชียนผู้มีร่างผอมกะหร่องเดินออกมา แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยิ้มกว้างอย่างลำพองใจ เสียงหัวเราะดังก้อง
ทว่าภายในลานบ้าน อ๋องส้าหลงที่ร่างกายสมบูรณ์ไร้ร่องรอยขีดข่วนกลับมีสีหน้าอึมครึม “แข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้ น่าเสียดายที่อาณาบริเวณของชานเรือนเล็กเกินไป อาณาบริเวณที่ให้ข้าหลบหลีกได้จึงเล็กเกินไป ถ้าหากอาณาบริเวณใหญ่พอก็โจมตีข้ามิได้หรอก”
อ๋องส้าหลงเดินกร่างไปทั่วเผ่าทุ่งน้ำแข็ง ก็เชี่ยวชาญการหลบหลีกเป็นอย่างยิ่ง
คราวนี้พวกเขาสองคนประมือกันอยู่ภายในชานเรือน ยามที่ต่อสู้กันค่ายกลของชานเรือนโคจร เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ชานเรือนเกิดความเสียหาย อีกทั้งยังทำให้อาณาเขตการต่อสู้หดเล็กอยู่เพียงแค่ภายในชานเรือนเล็กๆ นี้เท่านั้น!
“ปัง” อ๋องส้าหลงมองดูประตูบ้านปราดหนึ่ง ประตูปิดลงเสียแล้ว
และที่ด้านนอก
“ชนะแล้ว” ฝานอีเชียนลำพองใจเป็นที่สุด แต่แล้วก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “แต่เขาร้ายกาจยิ่งนัก เคล็ดวิชาคลื่นเสียงของเขาทำให้ข้าปวดเศียรเวียนเกล้า การต่อสู้ประชิดตัวก็ยากที่จะยุ่มย่ามด้วย ภายใต้ความโมโหข้าก็เลยสำแดงเคล็ดต้องห้าม พลังก็ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แล้วกวาดล้างทั่วทั้งชานเรือนอย่างยากจะควบคุมได้ เขาไม่มีที่ให้หลบหนี ก็เลยถูกข้าบดขยี้เสียจนต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าหากมิได้อยู่ภายในชานเรือนก็เกรงว่าคงมิอาจเอาชนะได้”
“กดดันให้เจ้าสำแดงเคล็ดต้องห้ามอย่างนั้นหรือ” ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ประสานสายตากันคราหนึ่งด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
โลกภายนอกมิได้ล่วงรู้
แต่พวกเขาสองคนรู้ว่าสิ่งที่ฝานอีเชียนบำเพ็ญก็คือตำราศาสตร์ลับอันน่าหวาดหวั่นศาสตร์หนึ่งที่ ‘หยวน’ ผู้ลึกลับผู้นั้นทิ้งเอาไว้ ฝานอีเชียนโชคดีที่กระตุ้นตำราเล่มนี้ขึ้นมาได้ จึงสามารถบำเพ็ญได้
แม้กระทั่งเหล่ามหาเคารพก็ยังต้องอิจฉาอยู่พอสมควร ตำราที่หยวนทิ้งเอาไว้นั้นต้องดูโชคชะตา ถ้าหากเหล่ามหาเคารพมิอาจกระตุ้นให้ตำราเกิดการตอบสนองได้ ก็ไม่สามารถบำเพ็ญได้
ฝานอีเชียนบำเพ็ญตำราศาสตร์นี้ตามปกติก็ยังนับว่าธรรมดา เพียงแต่ว่าพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นที่สุด แต่เมื่อใดที่สำแดงเคล็ดต้องห้ามก็น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว! ฝานอีเชียนเคยพูดว่าตำราศาสตร์ลับศาสตร์นั้นเมื่อระเบิดอย่างสุดกำลังจะมีเคล็ดต้องห้ามอยู่ทั้งสิ้นสามวิถี ตอนนี้เขาสามารถสำแดงได้เพียงแค่วิถีเดียวเท่านั้น ถ้าหากสำแดงเคล็ดต้องห้ามสองวิถี วิญญาณก็จะแหลกสลายจนตาย
“ข้าไปหาอิงซานเสวี่ยอิงนะ” ตอนนี้จิตวิญญาณการต่อสู้ของฝานอีเชียนพุ่งทะยาน เดินไปถึงหน้าประตูบ้านของตงป๋อเสวี่ยอิง ปึงๆๆ เขาเคาะประตูอย่างแรง
ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ก็มองดูอยู่
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางชานเรือนเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าทางชานเรือนของอ๋องส้าหลงนั้นเพิ่งเงียบสงบลงไป เพียงไม่นานก็พบว่าประตูบ้านของตนถูกเคาะอย่างหนักหน่วง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางช่องประตูแล้วมองมังกรมารที่คอยรับใช้อยู่ปราดหนึ่ง
มังกรมารเปิดประตูในทันที
ฟิ้ว
บุรุษเกราะเขียวผอมกะหร่อง ‘ฝานอีเชียน’ ที่อยู่ด้านนอกกลับย่างเท้าตรงเข้ามาก้าวหนึ่งแล้วเดินส่ายอาดๆ เข้ามาพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้มเยาะ “อ๋องส้าหลงถูกข้าโจมตีแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาเจ้าบ้างแล้วล่ะ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง“ อ๋องส้าหลงถูกเจ้าโจมตีอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร ถึงตาเจ้าแล้ว!” ฝานอีเชียนพูดอย่างเย้ยหยัน
“จำเป็นด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก ท่านอาจารย์เคยส่งสารตักเตือนเขามาก่อนแล้วว่าสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ภายในสกุลฝานนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต บวกกับความรู้สึกดูแคลนที่มีต่อรัฐประเทศรอบๆ โดยธรรมชาติ ถ้าหากตนหักหน้าเกินไป เกรงว่าอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ ตนอยู่ที่สกุลฝาน…ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่เค่อชิงที่มาจากภายนอกเท่านั้น
“หึ กระทั่งความกล้าสักนิดก็ไม่มีเลยหรือ” ฝานอีเชียนยิ้มเยาะ มือหนึ่งกุมพลองยาวสีทองเหลืองกระแทกลงบนพื้นดินอย่างหนักหน่วงพลางตะโกนว่า “ไม่ยอมประมือ ข้ามาอยู่ที่นี่ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าจะดูว่าจอมขี้ขลาดอย่างเจ้านี้จะทานทนไปได้นานสักเท่าใด”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร…” มังกรมารรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ทนรับไม่ไหวอีกแล้ว
“หุบปาก” ฝานอีเชียนระเบิดเสียงตะโกน อสนีบาตอันน่าหวั่นเกรงสายหนึ่งปะทุอยู่บนผิวกายของเขา อสนีบาตเหล่านั้นตรงเข้าห่อหุ้มมังกรมารรับใช้เอาไว้ ทำให้มังกรมารรู้สึกได้ถึงความตายที่คุกคามเข้ามา ฝานอีเชียนแยกเขี้ยวเผยฟันขาวออกมา “ถ้าหากเจ้ามิใช่ข้ารับใช้ของเค่อชิงระดับบนที่สกุลฝานของข้าเชิญมา แล้วกล้าสามหาวถึงเพียงนี้ ข้าก็คงเขมือบเจ้าในคำเดียวไปแล้ว!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วน้อยๆ พลางยืดกายลุกขึ้น
ฝานอีเชียนเผยสีหน้ายินดีมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “ว่าอย่างไรเล่า ในที่สุดเจ้าก็กล้าประมือแล้วหรือ”
“เชิญเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น
“เจ้าลงมือก่อนเลย!” ฝานอีเชียนกุมพลองยาวสีทองเหลืองเอาไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาก็เตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีแล้ว หากเคล็ดผนึกห้าภาพมาเยือน เขาก็จะตีให้แตกพ่ายไปในพลองเดียว!
“เอาล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า บริเวณเอวของเขามีกระดิ่งสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น กระดิ่งสีทองสั่นไหวส่งเสียงดัง
“กรุ๊งกริ๊งๆ กรุ๊งกริ๊งๆ”
เสียงกรุ๋งกริ๋งอันเสนาะโสตดังขึ้นในห้วงสมองของฝานอีเชียน มีผลในการดึงดูดและล่อลวงขนาดที่ถึงแก่ชีวิตได้
ฝานอีเชียนยืนอยู่ที่นั่นอย่างตกตะลึง บนใบหน้าถึงขนาดที่เผยรอยยิ้มอันโง่งมออกมา
ช่วยไม่ได้
เคล็ดวิชาใหญ่สองศาสตร์ของ ‘กระดิ่งจิตมาร’ ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดง ‘เสียงสะกด’ ไปได้ถึงภัยคุกคามชั้นที่เก้า นี่เพียงแค่สามารถนับได้ว่าช่วยดึงดูดเท่านั้น ส่วนโลกเขตลวงที่แฝงอยู่ภายในกลับสำแดงไปถึงชั้นที่สิบ เคล็ดวิชาใหญ่สองศาสตร์ช่วยเหลือส่งเสริมกัน เดิมทีฝานอีเชียนก็ขึ้นชื่อในด้านพละกำลังอยู่แล้ว ทางด้านการต้านทานของวิญญาณนั้นแต่เดิมก็อ่อนแอ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่ได้รับคัดเลือกสามคนของสกุลฝาน เพียงชั่วครู่ก็ติดกับแล้ว
“จริงๆ เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะพลางโบกมือคราหนึ่ง
ปึง
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปะทะตรงเข้าโจมตีบนร่างของฝานอีเชียน ฝานอีเชียนถึงกับลอยละลิ่ว แล้วหลังจากนั้นก็หล่นลงบนพื้นดิน ใบหน้ากระเทกกับพื้นดิน ในปากอมดินโคลนเข้าไปเต็มคำ พลองยาวสีทองเหลืองในมือก็ฟาดลงบนศีรษะ
นี่จึงทำให้ฝานอีเชียนตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง นี่ก็เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงถอนเคล็ดวิชาเขตลวง
มิฉะนั้นเขาก็คงยังติดอยู่ภายในนั้น
“ข้า ข้าเป็นอะไรไปเสียแล้วหรือ” ฝานอีเชียนยังคงสับสนอยู่บ้าง เขามองเห็นตนเองนอนแผ่อยู่บนพื้น พลองสีทองเหลืองร่วงอยู่ข้างๆ ในปากของตนก็เต็มไปด้วยดินโคลน
“ข้าแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ แค่กๆๆ!” ฝานอีเชียนสำรอกเอาดินโคลนในปากออกมา ทว่าในใจกลับพรั่นพรึง เขาหันหน้าไปมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ดูคล้ายว่ายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างหวาดหวั่นอยู่บ้าง เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงกระดิ่งอันไพเราะเสนาะหู จากนั้นก็มานอนแผ่อยู่บนพื้นเสียแล้ว
………………………………………………