Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 81 สงครามสามตระกูล
เพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ หลังจากที่คิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’
“ทุกท่าน ควรออกเดินทางได้แล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนไปทั่วเรือนทั้งห้าแห่ง ฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋ ฝานอีเชียน อ๋องส้าหลง และตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในเรือนทั้งห้าแห่ง ต่างก็ออกมากันอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุดก็ถึงเวลาของสงครามสามตระกูลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ สำหรับเขาแล้วสงครามสามตระกูลก็เพื่อหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการนั้นโดยเฉพาะ! เมื่อใดที่ภารกิจสำเร็จ เขาก็จะปลีกวิเวกจนบรรลุเทพจักรวาลในทันที แล้วส่งร่างแยกกลับไปยัง ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ซึ่งเป็นบ้านเกิด
แต่ในขณะนี้ ฝานซานหยวนและคนอื่นๆ รวมถึงอ๋องส้าหลงผู้นั้นต่างก็พากันมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่า…
เมื่อฝานอีเชียนอยู่ต่อหน้าอิงซานเสวี่ยอิง เผชิญหน้าเพียงครั้งเดียวก็พ่ายแพ้เสียแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า อีกประเดี๋ยวเจ้ากับคนอื่นๆ ก็ค่อยสำแดงพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ออกมาเถิด” จ้าวขุยเฉินยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับพูดยิ้มๆ “สามารถเอาชนะสกุลชางและสกุลเซี่ยได้ นั่นจึงจะเรียกว่าพลังยุทธ์”
“ขอรับ” ฝานซานหยวนพยักหน้าน้อยๆ
“คราวนี้พวกเราจะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน! ” ฝานอีเชียนผู้ผอมกะหร่อฟื้นฟูจิตวิญญาณการต่อสู้กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาก็เปล่งแสงสายฟ้าฟาด
“เข้ามาที่นี่ให้หมด” กลางเวหาทางด้านข้างของจ้าวขุยเฉินก็คือรถม้าอันหรูหราคันหนึ่ง ตัวรถใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง จ้าวขุยเฉินก้าวไปก่อนก้าวหนึ่งก็เข้าไปในห้องโดยสารแล้ว ในขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเรียกคนข้างนอก
ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ก็พากันบินขึ้นไปในทันที
ดูจากภายนอก ห้องโดยสารก็กว้างยาวเพียงแค่ไม่กี่จั้งเท่านั้น ทว่าภายในกลับกว้างขวางหลายสิบจั้ง
พวกเขาแต่ละคนกระจายกันนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องโดยสาร
“ออกรถ” จ้าวขุยเฉินก็นั่งขัดสมาธิลงแล้วออกคำสั่งกับด้านนอก
“ขอรับ”
ผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอกรับคำสั่งอย่างเคารพ
โฮก…
สัตว์ประหลาดเคลื่อนผ่านเวหา ลากเอารถม้าอันหรูหราไปไกลจากคีรีมารสกุลฝาน
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในห้องโดยสารก็มองออกไปด้านนอก รถม้าคันนี้ไปถึงท้องฟ้าเหนือท้องถนนอันตระการตาของนครหลวงคิมหันตวายุแล้ว
“สงครามสามตระกูลจัดขึ้นในพระราชวังมาโดยตลอด” จ้าวขุยเฉินพูดอธิบาย “พอถึงเวลาบรรพชนฝาน จักรพรรดิเซี่ย และจักรพรรดิชางต่างก็มาชมดูการประลอง นอกจากนี้เหล่ามหาเคารพทุกท่านของสามตระกูลใหญ่ รวมถึงผู้แกร่งกล้าของตระกูลอื่นๆ จำนวนหนึ่งในรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าที่จะมาชมดูการประลองด้วย นี่คือการประลองระดับสูงที่สุดของสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว”
ถึงอย่างไรสามตระกูลต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ
ส่งขั้นอลวนที่ล้ำเลิศที่สุดมาเข้าร่วมการประลอง ก็พอๆ กันแล้วจริงๆ
สูงกว่านี้อย่างนั้นหรือ
ให้เหล่าเทพจักรวาลห้ำหั่นกันอย่างนั้นหรือ ต้องรู้ไว้ว่าเหล่าเทพจักรวาลมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน มีวิธีการบางอย่างของเทพจักรวาลที่แม้กระทั่งเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังไม่สามารถต้านรับช่วยเหลือได้ทัน ‘สูญเสียการควบคุม’ ได้อย่างง่ายดาย! นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน หรือระดับขั้นอย่างมหาเคารพ… การจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้สักคนนั้นก็ช่างยากเย็นยิ่งนัก ถ้าหากมียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้น การประลองก็ไร้ความหมายแล้ว
ในทางกลับกันขั้นอลวนนั้นสามารถมีเด็กรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาได้มากมาย การประลองก็มี ‘การแปรผัน’ มากมาย
“ช่างสำคัญยิ่งนัก พวกบรรพชนฝาน บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามท่านต่างก็มาชมดูการประลอง มหาเคารพทุกท่านก็มาชมดูการประลองเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน ระดับสูงสุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็มารวมตัวกันหมด
*******
ณ พระราชวังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ
ที่โถงตำหนักอันใหญ่โตกว้างขวางแห่งหนึ่ง ภายในโถงตำหนักมีเมฆหมอกปกคลุม กระทั่งมิอาจเห็นหลังคาโค้งได้ด้วยตาเปล่า ราวกับห้วงมิติไร้ขีดจำกัด
บนราชอาสน์มีบุรุษอาภรณ์ดำหรูหราคนหนึ่งนั่งอยู่ เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยกลิ่นอายอันริบหรี่พลางมองลงไปเบื้องล่าง ประหนึ่ง ‘สวรรค์’ กำลังเหลือบมองมวลมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น! ต่อให้เป็นเหล่าเทพจักรวาลโดยรอบก็ไม่กล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย เพราะท่านผู้นี้คือฝ่าบาทจักรพรรดิแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ทำให้บรรพชนฝานและจักรพรรดิชาง บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสองยอมคล้อยตามด้วยความเต็มใจ
อย่างรัฐโบราณสหโลกามีห้าบรรพชน! แต่ต่างคนต่างไม่ยอมกัน และถึงขั้นไม่มีผู้นำสูงสุดในนามเลยทีเดียว
ส่วนรัฐโบราณคิมหันตวายุ เมื่อเทียบกันแล้วก็สามัคคีกว่ามาก ผู้นำสูงสุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุก็คือจักรพรรดิแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ…จักรพรรดิเซี่ยนั่นเอง!
“ฮ่าฮ่า พี่ฝาน พวกท่านสกุลฝานแพ้มาห้าครั้งต่อเนื่องกันแล้ว หากแพ้อีกก็เป็นหกครั้งแล้ว ตั้งแต่สงครามรัฐโบราณครั้งที่สองซึ่งพวกเราได้ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ มาจนบัดนี้ พวกท่านสกุลฝานยังไม่เคยพ่ายแพ้หกครั้งต่อเนื่องกันเลยกระมัง” จักรพรรดิเซี่ยมองไปทางเงาร่างอันเลือนรางทางขวามือ เงาร่างของบรรพชนฝานเปลี่ยนแปลงไปได้สารพัด ในสายตาของแต่ละคนก็จะมองเห็นเป็นลักษณะที่แตกต่างกันไป
“จักรพรรดิเซี่ย ครั้งนี้ก็ไม่แน่นักหรอก” บรรพชนฝานพูดเสียงเรียบ
“น้องฝาน เจ้าก็น่าจะรู้นะว่าครั้งนี้สกุลเซี่ยมีผู้ล้ำเลิศร้ายกาจถึงสองคนด้วยกัน แข็งแกร่งกว่าห้าครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก จุ๊ๆ ห้าครั้งก่อนหน้านี้ สกุลชางเรายังสามารถชนะได้สองครั้ง ครั้งนี้สกุลชางเราก็ไม่มั่นใจสักเท่าใดแล้ว” จักรพรรดิชางด้านข้างกล่าว แม้จักรพรรดิชางจะนั่งอยู่ตรงนั้น แต่รอบบริเวณที่เขาอยู่ก็เลือนรางไปหมด เหนือผิวกายของเขามีภาพของโลกที่ถือกำเนิดและดับสลายไปแห่งแล้วแห่งเล่า รอบกายนั้นดูยิ่งใหญ่ ทำให้เทพจักรวาลผู้หนึ่งหวาดหวั่นใจได้เลยทีเดียว “ครั้งนี้จะแพ้ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้สกุลชางเราก็ชนะสองครั้งในห้าครั้งแล้ว
“ห้าครั้งก่อนหน้านี้สกุลเซี่ยของข้าชนะไปสามครั้ง” จักรพรรดิเซี่ยจงใจพูดขึ้น
บรรพชนฝานส่งเสียงเฮอะเบาๆ อย่งาเยียบเย็นคราหนึ่ง
ชายชราทั้งสามนั้น…แม้จะปะทะคารมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง เพราะถึงอย่างไรบนเส้นทางการบำเพ็ญ ผู้ที่สามารถสนทนาเรื่องวิถีกับพวกเขาได้ก็มีน้อยยิ่งนัก
“ทว่าครั้งนี้ต้องชนะแล้วล่ะ” บรรพชนฝานมองลงไปยังเหล่ามหาเคารพของสกุลฝานเช่นมหาเคารพซือเทียนและมหาเคารพบัวโลหิตซึ่งอยู่เบื้องล่าง “สกุลฝานเรามิได้ส่งมหาเคารพเข้าร่วม ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ ตั้งนานแล้ว เกรงว่าพวกเขาก็คงจะร้อนใจขึ้นมาแล้วกระมัง”
ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้
ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดซึ่งแย่งชิงกันในสงครามรัฐโบราณครั้งที่สอง ครั้งนั้นต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ทั้งยังมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานต้องสิ้นชีวิตอีกด้วย! ส่วนผู้ที่บาดเจ็บสาหัสก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก อย่างบรรพชนรัฐโบราณทั้งสองก็เคยร่วมมือกันห้ำหั่นรัฐโบราณคิมหันตวายุ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส โลหิตกำเนิดถูกชิงเอาไปไม่น้อย ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ก็บาดเจ็บสาหัสและหลบหนีไป…
สงครามครั้งนั้น รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุซึ่งเป็นสองรัฐที่แข็งแกร่งที่สุดล้วนแต่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล
รัฐโบราณคิมหันตวายุได้รับ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’
ในยุคแรก ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมนั้นมีจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไป ทว่าแต่ละครั้งล้วนต้องใช้เวลาอันยาวนานจึงจะสามารถเข้าไปได้อีกครั้ง ต่อมาพวกเขาทั้งสามเข้าไปแล้วก็พบว่าจะก้าวหน้าได้อีกนั้นยากนัก จึงค่อยๆ มอบโอกาสนี้ให้แก่ชนรุ่นหลัง
กล่าวว่าเป็น ‘ชนรุ่นหลัง’ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือเหล่ามหาเคารพทั้งหลายของสามตระกูลใหญ่…
จัดการโอกาสเข้าไปอย่างไรน่ะหรือ
ถึงอย่างไรสกุลเซี่ยก็มีพลังแข็งแกร่งที่สุด จำนวนมหาเคารพมีถึงเก้าท่านด้วยกัน! หากสามตระกูลใหญ่หมุนเวียนกันเข้าไป ก็คล้ายจะไม่ค่อยเป็นธรรมกับสกุลเซี่ยสักเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรตอนที่ได้ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ มานั้น จักรพรรดิเซี่ยก็มีความดีความชอบมากที่สุด!
ต่อมาบรรพชนทั้งสามจึงได้จัดตั้ง ‘สงครามสามตระกูล’ ขึ้น
ฝ่ายใดเอาชนะได้ในท้ายที่สุด โอกาสในการเข้าไปในครั้งนี้ก็จะตกเป็นของฝ่ายนั้น
ดังนั้น…
ตลอดคืนวันอันยาวนาน ยุคแล้วยุคเล่า โดยทั่วไปสกุลเซี่ยนั้นได้เปรียบมากที่สุด ส่วนสกุลชางและสกุลฝานนั้นเท่าเทียมกัน
เพียงแต่ห้าครั้งหลังสุด สกุลฝานไม่ได้คว้าชัยเลยสักครั้งต่อเนื่องกันก็ออกจะเสียหน้าอยู่บ้าง! นอกจากนี้ เหล่ามหาเคารพของสกุลฝานต่างก็อยากจะเข้าไปอีก แม้จะสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียวก็ตาม แต่หากโอกาสมิได้ตกเป็นของสกุลฝาน พวกเขาก็จะมิอาจเข้าไปได้ตลอดไป
“เด็กๆ สกุลเซี่ยมาแล้ว”
เงาร่างหกสายทะยานเข้ามาก่อนจะร่อนลงอย่างพลิ้วไหว ในจำนวนนั้นมีเทพจักรวาลอยู่คนหนึ่ง
“คารวะฝ่าบาททั้งสาม” พวกเขาต่างก็คารวะ
“ประจำที่” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยปาก
เทพจักรวาลสกุลเซี่ยผู้นั้นเข้าประจำที่ ส่วนขั้นอลวนทั้งห้าของสกุลเซี่ยที่เหลือก็เข้านั่งยังที่ของตนทีละคนตามการจัดการของสาวใช้ พวกเขาแต่ละคนล้วนถ่อมเนื้อถ่อมตนเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะมานั่งที่นี่ได้ ตอนนี้ก็มีเพียงพวกเขาห้าคนเท่านั้นที่เป็นขั้นอลวน
ไม่นานนัก
“เด็กๆ สกุลฝานก็มาแล้ว” ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตามากมายได้ทันที เหล่าเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุในที่นั้นต่างก็รู้ว่าห้าครั้งก่อนหน้านี้สกุลฝานไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทันใดนั้น ภายใต้การนำของจ้าวขุยเฉิน ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ทั้งห้าคนก็บินเข้ามา หลังจากร่อนลงมาแล้วก็ทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาททั้งสาม”
ส่วนที่ด้านล่างสุด
บรรพชนฝานซึ่งนั่งอยู่ข้างจักรพรรดิเซี่ยมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเบื้องล่างผู้นั้นด้วยความสนอกสนใจ “อิงซานเสวี่ยอิงหรือ ดูสิว่าที่แท้แล้วอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้จะทนได้สักกี่น้ำกัน!” อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เคยปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา ต่อให้กลับชาติมาเกิดจริงๆ บรรพชนฝานก็ยังสนใจใคร่รู้ในตัวผู้ที่ปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขาอยู่นั่นเอง
……………………………………