Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 82 ร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกที่นั่งตามอัธยาศัย นั่งอยู่ที่นั่นก็เพียงแค่ดื่มสุรา กินผลไม้วิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกันก็สังเกตดูบริเวณโดยรอบอย่างเงียบๆ
“เทพจักรวาลมากพอดูเลยทีเดียว” แขกที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ก็มีเกินกว่าร้อยท่าน สามารถอยู่ที่นี่ได้ นอกจากพวกตงป๋อเสวี่ยอิงและเด็กขั้นอลวนที่เข้าร่วม ‘สงครามสามตระกูล’ แล้ว บรรดาแขกเหรื่อคนอื่นๆ ที่อ่อนแอที่สุดก็คือระดับประมุขรัฐประกายเพลิงและประมุขรัฐวอเฟิง ถ้าหากเป็นเทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปที่อ่อนแอ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมอยู่แล้ว!
อย่างเช่นจ้าวขุยเฉินที่นำทางตนมา ก็ได้แต่นั่งอยู่ที่ริมขอบเท่านั้น
“เหล่ามหาเคารพหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตเห็นเหล่ามหาเคารพซึ่งมีท่าทางเหิมเกริม บ้างก็ท่าทางเหนือธรรมดา บ้างก็แปลกประหลาดเหล่านั้น
ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘มหาเคารพ’ นั้นก็เป็นรองเพียงบุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น! หากพูดถึงพลังแล้ว เมื่อเทียบกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมั่งคั่งกว่า แต่สมบัติล้ำค่าและตำราศาสตร์ลับนานาชนิดของรัฐโบราณคิมหันตวายุกลับมีมากเสียจนประมุขรัฐเมฆทักษิณามิอาจเทียบได้ แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสามารถคิดค้น ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ขึ้นมาได้ ก็เป็นหลักประกันให้เขาพอจะท้าทายบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้แล้ว!
“บรรดามหาเคารพเหล่านี้ทำให้ข้ารู้สึกว่าพวกเขาใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามนั้น เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก!”
ช่วยไม่ได้
ทางอากาศอันสับสนอลหม่านนั้น สมบัติลับล้ำค่าที่แข็งแกร่งนั้นมีน้อยกว่า! สมบัติลับล้ำค่าที่สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ตนก็ไม่เคยเห็นแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นได้ชัดว่าเคล็ดลับการหลอมแปรนั้นหยาบกว่าดินแดนจิตโลกามากทีเดียว
ต่อให้เป็นคัมภีร์ล้วนๆ…ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายก็มากมายนัก! แม้แต่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตาเป็นมันได้แล้ว
“ขั้นอลวนของสกุลชางมาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป
ยอดฝีมือทั้งห้าของสกุลชางมาถึงพร้อมกับเทพจักรวาลท่านหนึ่ง แม้ห้าคนนั้นจะคารวะด้วยความเคารพ แต่ความรู้สึก ‘จองหอง’ และ ‘เหินห่าง’ เช่นนั้นก็ชัดเจนเป็นที่สุด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการบ่มเพาะศิษย์ของสกุลชาง ‘การปล่อยปละละเลย’ เช่นนั้น แม้จะทำให้บางคนเสียคนไป แต่ผู้ที่รุ่งโรจน์ขึ้นมากลับล้ำเลิศกว่า สกุลชางไม่รับคนจากรัฐภายนอกเช่นกัน แต่พลังโดยรวมก็ยังคงทัดเทียมกับสกุลฝาน เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะเช่นนี้มีสิ่งที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเช่นเดียวกัน
“สกุลเซี่ย สกุลชาง สกุลฝาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองสำรวจดู “ศิษย์สกุลเซี่ยแต่ละคนล้วนรู้มารยาท สกุลชางออกจะเห็นตนเองเป็นใหญ่อยู่บ้าง ส่วนสกุลฝานนั้นมีความเย็นชาและเย่อหยิ่งกว่าอยู่บ้าง”
หากพูดจากใจแล้ว ศิษย์สกุลเซี่ยทำให้เขาชมชอบได้มากที่สุด
เพราะเป็นผู้ที่รู้มารยาทและควบคุมตนเองได้ดีที่สุด ตามสิ่งที่ได้รับรู้จากรายงาน ศิษย์สกุลเซี่ยก็รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้นเป็นที่สุด
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราในไหตรงหน้าไปแล้วกว่าครึ่ง ผลหมากรากไม้ก็กินไปแล้วไม่น้อย ยามนี้ถัดลงมาจากจักรพรรดิเซี่ย บุรุษชุดขาวคนหนึ่งยืดกายขึ้นแล้วพูดเสียงดังกังวานว่า “ข้าคือผู้เคารพเฟิงเฉิน เป็นผู้ดำเนินสงครามสามตระกูลในครั้งนี้ สงครามสามตระกูลคือการประลองสามรอบในด้านที่แตกต่างกันของศิษย์ขั้นอลวนแห่งสกุลเซี่ย สกุลฝานและสกุลชาง แล้วค่อยตัดสินอันดับสูงต่ำในท้ายที่สุด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจฟังโดยละเอียด
แม้จะกล่าวว่าเป็นคนของทั้งสามตระกูล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมิได้หมายความถึงสามตระกูลใหญ่อย่างเคร่งครัดถึงเพียงนั้น!
อย่างสกุลเซี่ยและสกุลชาง…แม้จะไม่รับผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอก แต่กลับรับผู้แกร่งกล้าภายในรัฐ ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากสวามิภักดิ์ต่อพวกเขาและเข้าร่วมด้วย จนถึงขั้นมอบสกุลให้ใช้ด้วย!
สกุลฝานนั้นรับผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอก อย่างตงป๋อเสวี่ยอิง หากตอนนั้นคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ ก็จะกลายเป็นคนสำคัญของสกุลฝานทันที! หากเขายอมรับมอบสกุล เปลี่ยนเป็น ‘ฝานเสวี่ยอิง’ แล้วล่ะก็ ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากสกุลฝานก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย ตอนนั้นเพื่อ ‘เคล็ดร่างแยก’ จะได้กลับบ้านเกิดเร็วหน่อย ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้สวามิภักดิ์ต่อปรมาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา
หากอยู่ในสกุลฝาน ต่อให้มีพลังสูงส่งกว่านี้ ก็ไม่มีทางได้รับอย่างสมบัติลับล้ำค่าจำพวก ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ ทันที! ตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่พอเพื่อแลกมา เพราะถึงอย่างไรยอดฝีมือสกุลฝานก็มากมายดุจเมฆ กฎเกณฑ์ก็ย่อมเคร่งครัดกว่า
“การประลองแต่ละรอบล้วนมีหม้อขาหยั่งทองมอบให้” บุรุษอาภรณ์ขาวมหาเคารพเฟิงเฉินพูดยิ้มๆ “หลังการประลองทั้งสามรอบ ตระกูลที่ครอบครองหม้อขาหยั่งทองมากที่สุดก็จะเป็นผู้คว้าชัยชนะ”
ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงพากันกลั้นหายใจ
“การประลองรอบแรกเป็นการประลองดวงจิต เป็นปณิธาน” มหาเคารพเฟิงเฉินบุรุษอาภรณ์ขาวกล่าว “ยิ่งเดินทางไปบนเส้นทางการบำเพ็ญไกลเท่าใด ปณิธานดวงจิตก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น พวกเจ้าทั้งสิบห้าคนจะประสบการโจมตีปณิธานดวงจิตพร้อมกัน ยิ่งต้านทานได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ผู้ที่ต้านทานได้นานที่สุดก็จะได้เป็นอันดับหนึ่ง จะได้หม้อขาหยั่งทองสามใบ อันดับที่สองจะได้หม้อขาหยั่งทองสองใบ อันดับที่สามจะได้หม้อขาหยั่งทองหนึ่งใบ ส่วนคนอื่นๆ จะไม่ได้เหมือนกันหมด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจแน่วแน่
ประลองปณิธานดวงจิตหรือ
ยอดฝีมือตัวฉกาจทางด้านเขตลวงโลกเทียมอย่างเขาจะกลัวเรื่องนี้อีกหรือ
ขั้นอลวนสิบห้าคน มีเพียงสามอันดับแรกจึงจะได้รับมอบ ‘หม้อขาหยั่งทอง’ นี่เป็นเพียงรอบแรกเท่านั้น ต้อง
ประลองทั้งหมดสามรอบด้วยกัน! ว่ากันว่าเป็นการประลองที่แตกต่างกัน
“รอบแรกนี้สบายที่สุด เอาล่ะ ลุกขึ้นยืนตรงกลางโถงตำหนักให้หมด” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดกำชับ
“ขอรับ”
สกุลเซี่ย สกุลชางและสกุลฝาน กองกำลังสามกอง มียอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบรวมทั้งหมดสิบห้าคนลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างก็ได้รับการคัดสรรมาโดยละเอียด ในจำนวนนั้นมีถึงสิบสามคนซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของรัฐโบราณคิมหันตวายุเอง! อันที่จริงรัฐโบราณคิมหันตวายุใหญ่โตเกินไปแล้ว การแก่งแย่งชิงดีภายในยังดุเดือดกว่าการต่อสู้กับรัฐภายนอกมากนัก
“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน ขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้วนะ” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ
“ได้ยินมาว่าเคล็ดวิเศษไร้ภาพเชี่ยวชาญทางด้านเคล็ดดวงจิตเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูด
ฝานซานหยวน ตงป๋อเสวี่ยอิง ฝานอีเชียน ฝานโม่จู๋และอ๋องส้าหลง พวกเขาทั้งห้าต่างก็ยืนอยู่บนตำหนักใหญ่ ตรงกลางมียอดฝีมือทั้งห้าของสกุลเซี่ย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือยอดฝีมือทั้งห้าของสกุลชาง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
บนตำหนักใหญ่ มีเสียงหัวเราะดังก้องขึ้นมาก่อน
จากนั้นเสียงผีผาก็ดังก้องขึ้นมา
ท้ายที่สุดยังมีเขตลวงปกคลุมลงมา ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากลางเขตลวงมีภาพอันบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ มันเหนี่ยวนำความปรารถนาภายในใจให้ออกมา
เห็นได้ชัดว่าสามตระกูลใหญ่ต่างก็มียอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงลงมือแล้ว
สวบๆๆ…
เพียงชั่วอึดใจเดียว ขั้นอลวนสิบห้าคนกลางตำหนักใหญ่ก็อ่อนยวบลงบนพื้นถึงหกคนด้วยกัน ฝานอีเชียนเป็นคนสกุลฝานเพียงคนเดียวที่ล้มลง
“ระดับในครั้งนี้ใกล้เคียงกันกับที่แล้วมา แต่เพิ่งเริ่มต้นก็ล้มลงไปถึงหกคนแล้ว เฮ้อ สกุลฝานไม่เลวเลย ล้มลงไปเพียงคนเดียวเท่านั้นเองหรือ”
“ครั้งนี้สกุลฝานล้มลงไปเพียงคนเดียวเท่านั้น เห็นทีสกุลฝานจะมาแรงเสียแล้ว”
“ฝานอีเชียนหรือ”
บรรดาแขกเหรื่อวิพากษ์วิจารณ์กัน
ส่วนบรรดาคนระดับสูงของสกุลฝานเห็นฝานอีเชียนยิ้มอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้นก็อดลอบส่ายศีรษะมิได้ ในบรรดาศิษย์หัวแก้วหัวแหวนทั้งสามที่พวกเขาสกุลฝานเลือกมาในครั้งนี้ อีกสองคนยังดีอยู่ แต่ ‘ฝานอีเชียน’ ผู้นี้กลับมีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่เห็นได้ชัด ปณิธานดวงจิตของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ออกจะมุทะลุกว่า แต่กลับเกิดการตอบสนองต่อตำราศาสตร์ลับที่ ‘หยวน’ ประพันธ์ขึ้น พลังรบจึงน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า
“ข้าก็รู้อยู่แล้วว่ารอบแรกเขาก็จะล้มลงทันทีแล้ว” มหาเคารพซือเทียนส่ายศีรษะเบาๆ พลางยกจอกสุราขึ้นมา “ทว่าครั้งนี้มีซานหยวนซึ่งฝึกฝนเคล็ดวิเศษไร้ภาพอยู่ และยังมีอิงซานเสวี่ยอิงด้วย การประลองรอบแรกนี้พอจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง”
บรรดาขั้นอลวนในตำหนักใหญ่ค่อยๆ ทยอยกันล้มลงเมื่อเวลาผ่านไป
บนใบหน้าของฝานโม่จู๋ซึ่งดูเหมือนสาวน้อยเผยสีหน้าขมขืนออกมา ถึงขั้นฉายแววเกลียดชัง ทั้งยังมีสีหน้าเจ็บปวดใจด้วย จากนั้นนางก็อ่อนยวบลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่านางดำดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
สีหน้าของอ๋องส้าหลงเหี้ยมเกรียม ร่างกายสั่นสะท้าน
“ไม่…”
เขายังเปล่งเสียงงึมงำออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามต้านทานเอาไว้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทพจักรวาลสำแดงกระบวนท่าออกมาได้ร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ อ๋องส้าหลงก็ล้มลงไปแล้ว แต่ยามนี้ บนเวทีเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น! ตงป๋อเสวี่ยอิงและฝานซานหยวนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้ายังสงบนิ่งเป็นอันมาก
………………………………………