Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 83 เหล่าผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ
“ยังมีอีกห้าคน เห็นทีผลสำเร็จทางด้านปณิธานดวงจิตจะพิเศษอยู่บ้าง” เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสูงของรัฐโบราณคิมหันตวายุในที่นั้นถ่ายเสียงสนทนากัน “เจ้าหนุ่มทั้งสองของสกุลฝาน คนหนึ่งคือฝานซานหยวนที่ฝึกฝนเคล็ดวิเศษไร้ภาพ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ประหลาดแล้ว เพราะคืออิงซานเสวี่ยอิงผู้ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จคนนั้น! ผู้แกร่งกล้าทางสายอากาศสามารถต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่”
“ครั้งนี้สกุลฝานตั้งใจมากจริงๆ”
“ผู้ล้ำเลิศร้ายกาจของสกุลเซี่ยในยุคนี้ได้แก่ ‘เซี่ยอูหัว’ และ ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ ล้วนยังคงอยู่ แม่ทัพเซวียนแห่งสกุลชางก็ยังอยู่หรือ”
แต่ละคนพากันวิพากษ์วิจารณ์
เมื่อเวลาผ่านไป
ในบรรดาผู้ล้ำเลิศร้ายกาจทั้งสองของสกุลเซี่ย สีหน้าของ ‘เซี่ยอูหัว’ ผู้มีท่วงท่าสง่างามดูหล่อเหลาที่สุดในที่นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป กลิ่นอายบนร่างของเขาก็เฉียบคมมากขึ้น
“อูหัวไม่ไหวแล้ว”
“ต้านเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญก็คือวิถีกระบี่ แม้จะเคยประสบกับธุลีแดงหลอมจิตมาเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับอีกสี่คนแล้ว การต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็ยังด้อยกว่าอยู่บ้าง”
เหล่ามหาเคารพอธิบาย
เซี่ยอูหัวคือผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศซึ่งจัดอยู่ในสามอันดับแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ความเร็วในการบำเพ็ญยังเหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก! จวบจนบัดนี้ผ่านไปเพียงพันกว่าล้านปีเท่านั้น ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงโด่งดังในเมืองอัคคีโชตินั้น เซี่ยอูหัวยังไม่เกิดเลย เขามีพรสวรรค์ทางด้าน ‘วิถีกระบี่’ และมีผลสำเร็จอันล้ำเลิศ จนถึงขั้น ‘จักรพรรดิเซี่ย’ รับเป็นศิษย์และชี้แนะด้วยตนเองเลยทีเดียว
“ตึ้ง” ในที่สุดเซี่ยอูหัวก็ร่างสั่นคลอนแล้วล้มลงภายในโถงตำหนัก
ยอดฝีมือทั้งสี่ที่หลงเหลืออยู่ยังคงยืนหยัดต่อไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงและ ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ ผู้ล้ำเลิศร้ายกาจของสกุลเซี่ยอีกคนหนึ่ง รวมทั้งแม่ทัพเซวียนแห่งสกุลชางล้วนสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่สีหน้าของฝานซานหยวนกลับค่อยๆ บิดเบี้ยวไปแล้ว
“อะไรกัน”
“เซี่ยฝ่าหยางสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก! แม่ทัพเซวียนก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ร้ายกาจกว่าครั้งก่อนมากทีเดียว! ยังมีอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นซึ่งดูเหมือนจะสบายมากอีก ฝานซานหยวนที่ฝึกเคล็ดวิเศษไร้ภาพกลับดูเหมือนจวนจะต้านทานไม่อยู่เสียนี่”
“น่าแปลกๆ”
เหล่าเทพจักรวาลพากันวิพากษ์วิจารณ์
แม้แต่เหล่าบุคคลระดับสูงของสกุลฝานก็ยังสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ในสายตาของพวกเขา รอบแรกฝานซานหยวนจะต้องอยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอนจึงจะถูกต้อง! แต่กลับมิอาจเข้าอยู่ในสามอันดับแรกได้หรือนี่
“เคราะห์ดีที่มีอิงซานเสวี่ยอิงอยู่ มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่ารอบแรกคงจะแพ้จนเกลี้ยง” มหาเคารพซือเทียนลอบหวาดหวั่นใจ “สกุลเซี่ยมีผู้ล้ำเลิศร้ายกาจออกมาสองคนนั้นเป็นเรื่องที่มิอาจควบคุมได้ แต่แม่ทัพเซวียนผู้นั้นมีวิญญาณแข็งแกร่งถึงระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ในที่สุดฝานซานหยวนก็อ่อนยวบลงกับพื้น
เหลือเพียงสามคนที่ยังยืนอยู่ ซึ่งได้แก่ อิงซานเสวี่ยอิง แม่ทัพเซวียนและเซี่ยฝ่าหยางแห่งสามตระกูลใหญ่
“หืม”
ตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป
เหล่าเทพจักรวาลทั้งสามที่สำแดงการโจมตีก็สบตากัน
“ตั้งใจลงมือกับเจ้าหนุ่มทั้งสามเถิด หากไม่ทุ่มเทสุดกำลัง เกรงว่าคงจะเอาพวกเขาทั้งสามลงไปไม่ได้ ครั้งนี้ ด้านปณิธานวิญญาณของพวกเขาร้ายกาจกว่าคนของครั้งที่ผ่านๆ มามากทีเดียว” บุรุษศีรษะโล้นเลี่ยนกล่าว เขาคือผู้สำแดงเขตลวง
“ได้” เทพจักรวาลหญิงผู้บรรเลงผีผานางนั้นก็พูดยิ้มๆ
“เจ้าหนุ่มทั้งสามคนนี้ช่างร้ายกาจนัก เกรงว่าทางด้านวิญญาณคงจะบรรลุถึงขั้นอลวนระดับสุดยอดแล้ว” แม้บุรุษผู้หยาบเถื่อนซึ่งหัวเราะเสียงดังอยู่นั้นจะหยุดหัวเราะ แต่ก็ยังคงมีระลอกคลื่นแผ่กำจายออกมาอยู่นั่นเอง
พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันลงมือกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงและขั้นอลวนทั้งสิบสองซึ่งสิ้นสติล้มลงกับพื้นก่อนหน้านี้ก็ฟื้นคืนสติแล้ว
แต่ละคนที่ได้สติกลับคืนมาต่างก็เบิกตาโพลง
พวกเขามองดูกลุ่มคนที่ล้มลง และสามคนที่ยังคนยืนรับการโจมตีนานาชนิดอยู่ตรงนั้น ได้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง เซี่ยฝ่าหยางและแม่ทัพเซวียน
“พวกเราแพ้แล้ว”
“สามอันดับแรกก็คือพวกเขาสามคน”
“ข้า ส้าหลงกำแหงไร้ศัตรูในเผ่าทุ่งน้ำแข็ง ขั้นอลวนไม่อยู่ในสายตาของข้ามาตั้งนานแล้ว ข้ายังเคยเดินผ่าน ‘ระเบียงเป็นตายสิบชั้น’ ได้สำเร็จ แต่กลับมิได้อยู่ในสามอันดับแรกเสียนี่” นัยน์ตาของอ๋องส้าหลงฉายแววสับสน ที่ผ่านมาหัวใจที่หยิ่งผยองของเขาถูกกระทบ เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า! ย่อมมีผู้ที่ร้ายกาจกว่าเขาอีก
ฝานซานหยวนก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
เคล็ดวิเศษไร้ภาพ…บรรพชนฝานเป็นผู้คิดค้น! เดิมทีก็เชี่ยวชาญทางด้านดวงจิตอยู่แล้ว แต่เขากลับมิอาจเข้าอยู่ในสามอันดับแรกได้เสียนี่
“ข้าแพ้แล้วหรือ” เซี่ยอูหัวก็ตกตะลึง “ข้าอยู่ในบ้านเกิดก็เป็นถึงเทพจักรวาล และได้กลับชาติมาจุติยังดินแดนจิตโลกาซึ่งมีทรัพยากรลึกล้ำเกินหยั่งโดยบังเอิญ ทั้งยังมีจักรพรรดิเซี่ยคอยชี้แนะด้วยตนเอง แม้วิญญาณของข้าจะมิใช่วิญญาณเทพจักรวาล แต่ลำพังแค่ปณิธานก็มิอาจต้านทานได้อย่างนั้นหรือ”
เขามั่นใจในปณิธานของตนเองมาก ในบ้านเกิด ปณิธานของเขาเรียกได้ว่าหมื่นกัลป์ไม่สลาย! ชาตินี้เขาที่เคยผ่าน ‘ธุลีแดงหลอมจิต’ ของสกุลเซี่ยมาก่อนกลับยังมิอาจต้านทานได้อยู่นั่นเอง
……
บรรดาศิษย์ขั้นอลวนคนอื่นๆ พากันถอยไปหมด ในที่นั้นเหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิง แม่ทัพเซวียนและเซี่ยฝ่าหยางสามคนเท่านั้น
“ท่าทั้งสองรู้สึกว่าอันดับในครั้งนี้จะเป็นเช่นไร” จักรพรรดิเซี่ยปรายตามองคนทั้งสองด้านข้างพลางถามยิ้มๆ
จักรพรรดิชางเหลือบมองคนทั้งสามเบื้องล่างแล้วตอบว่า “เจ้าหนุ่มชางเซวียนทำให้ข้าตกตะลึงมาก เดิมทีเขาบำเพ็ญได้ช้ามาก ครั้งที่แล้วมีคุณสมบัติพอจะได้เป็นตัวแทนสกุลชางของข้าเข้าร่วมสงครามสามตระกูลในครั้งก่อนก็ไม่เลวแล้ว แต่ปณิธานดวงจิตก็ธรรมดาทั่วไป ครั้งนี้กลับเก่งกาจแล้ว จนข้าทำนายได้ไม่แม่นยำแล้ว! อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ น้องฝาน เจ้ารับเขาเป็นศิษย์เองหรือ หรือว่าเขาก็ดูน่าสงสัยว่าจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเช่นเดียวกัน ส่วนเซี่ยฝ่าหยางนั้นร้ายกาจมาก ในสายตาของข้า เกรงว่าอนาคตของเขาคงจะไม่ธรรมดายิ่งกว่าเซี่ยอูหัวที่กลับชาติมาเกิดเสียอีก”
“ใช่ โลกกำเนิดที่เซี่ยอูหัวอยู่ก่อนหน้านี้อ่อนแอเกินไปหน่อย ชาติก่อนเขาบำเพ็ญมานานแสนนาน ชาตินี้การรับรู้การบำเพ็ญของเขาก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “แม้จะบำเพ็ญได้รวดเร็วอย่างยิ่ง แต่หลังจากสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ก็เกรงว่าคงจะก้าวหน้าได้ยากมากแล้ว”
การกลับชาติมาจุตินั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีก็คือ สามารถรับรู้โลกกำเนิดได้ทั้งสองแห่ง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญ! นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรจากชาติก่อน การบำเพ็ญในช่วงแรกจึงทำได้เร็วมาก
ส่วนข้อเสียก็คือ…สิ่งที่รับรู้ในชาติก่อน ก็จะส่งผลกระทบกับตนเองไปตลอด
กระดาษขาวนั้นวาดภาพได้ง่ายกว่า! ผู้ที่กลับชาติมาเกิดเพิ่งจะมาจุติ กระดาษแผ่นนี้ก็เป็นภาพหนึ่งอยู่แล้ว!
“ผู้ที่กลับชาติมาเกิดหลายคนล้วนแต่บำเพ็ญจนถึงขีดจำกัดแล้วก้าวหน้าต่อไปมิได้อีกขึงเลือกกลับชาติมาจุติ” บรรพชนฝานกล่าว “อย่างห้าบรรพชนของรัฐโบราณสหโลกานั้น บรรลุถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว เพียงแต่อยากเปิดหูเปิดตาจึงเลือกกลับชาติมาจุติ นอกจากนี้ผู้ที่โชคดีบังเอิญได้ป้ายคำสั่งจิตโลกาก็มีน้อยมาก “
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ล้ำเลิศร้ายกาจมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว
ต่อให้ไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายมาตลอดล้านล้านปี ก็มีผลสำเร็จที่น่าตกใจเช่นกัน เพียงแต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลงมือ ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกบีบบังคับให้กลับชาติมาเกิด
******
“เอ๊ะ”
“ทนรับได้ยากจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก
กระบวนท่าทางด้านวิญญาณสามชนิดโจมตี
เขารับมือกระบวนท่าเขตลวงได้สบายที่สุด เพราะเขาเป็นยอดฝีมือทางด้านเขตลวงโลกเทียมอยู่แล้ว ส่วน ‘เสียงผีผา’ นั่นกลับทำให้เขารู้สึกจะหลับใหลขึ้นมา เสียงผีผาแทรกซึมเข้าไปในวิญญาณ จนวิญญาณนั้นเหมือนจะอ่อนล้ามาก อยากจะหลับใหล…ส่วนเสียงหัวเราะนั้นกลับทำให้ดวงจิตบ้าคลั่งและวุ่นวาย จะ ‘สงบใจ’ ก็ทำได้ยากมาก
การสงบใจจึงจะเป็นพื้นฐานที่สุด หาใจไม่สงบ ก็ยิ่งถูกกระบวนท่าได้ง่ายขึ้น
สามกระบวนท่าโจมตีเข้ามาพร้อมกัน! ส่งเสริมเกื้อกูลกัน ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้
“ตื่นสิ ตื่นสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามต้านทานเอาไว้
แต่ความรู้สึกกลับยากเกินทานทนมากขึ้นเรื่อยๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าโคลงเคลงไปมา มิอาจข่มความวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยในใจเอาไว้ได้ เหนื่อยล้าเหลือเกิน โลกเขตลวงก็ดึงรั้งเขา นั่นเป็นโลกเขตลวงอันวิจิตรงดงาม! ภายตึความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ช่างทำให้เขาอยากจะเข้าไปพักผ่อนและดื่มด่ำในโลกเขตลวงจริงๆ
“ตึ้ง”
เสียงแว่วมารางๆ จากทางด้านข้าง
“ล้มลงไปอีกคนแล้วหรือ” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดหนึ่งแวบผ่านไป จากนั้นอานุภาพของทั้งสามกระบวนท่าก็ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ราวกับทำลายขีดจำกัดบางอย่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทนรับเอาไว้ ตู้ม…
เขารู้สึกเพียงว่าโลกดวงจิตพลันมืดมิด
แล้วก็สูญสิ้นสติรับรู้ไป
……………………………………