Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 89 ปิดฉาก (1)
เผชิญหน้ากับศัตรูระลอกที่สาม
อิงซานเสวี่ยอิงผู้สำเร็จ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ และโลกเขตลวงชั้นที่สิบ เอาชนะได้อย่างยากลำบากในท้ายที่สุด ไม่ต่างไปจากที่บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นคาดเอาไว้เลย!
“อะไรกัน!”
“ชางเซวียนผู้นี้น่ะหรือ”
“เขาก็ชนะได้ด้วยหรือ”
พวกฝานอีเชียนและฝานซานหยวนแต่ละคนต่างก็ตื่นตระหนกกันเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งบรรดาแขกเหรื่อเทพจักรวาลเหล่านั้นก็ยังตื่นตระหนกกันเป็นอย่างยิ่ง
“อิงซานเสวี่ยอิงอาศัยเขตลวงโลกเทียม ทำให้ศัตรูไม่สามารถสำแดงเพลิงเจ็ดสีอันสมบูรณ์ออกมาได้! ดังนั้นจึงสามารถเอาชนะได้อย่างยากลำบาก แต่ชางเซวียนผู้นี้ ศัตรูของเขาสามารถสำแดงวงแหวนเพลิงเจ็ดสีอันสมบูรณ์ได้! จนถึงท้ายที่สุดก็พลิกกลับมาเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ” บรรดาแขกเหรื่อมากมายในที่นั้น แม้กระทั่งบรรดามหาเคารพแต่ละท่านที่มีสถานะอันสูงส่งเป็นที่สุดในนั้นต่างก็ตื่นตระหนกอย่างมิอาจอธิบายได้
วงแหวนเพลิงเจ็ดสีได้ห่อหุ้มแม่ทัพชางเซวียนผู้นั้นเอาไว้ แต่ผิวกายของแม่ทัพชางเซวียนก็มีวงแหวนรัศมีสีม่วงห่อหุ้มร่างกายเอาไว้เช่นกัน ถึงแม้ว่าส่วนล่างของร่างกายที่ถูกแผดเผาจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน แต่ส่วนนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างกระบวนการ ‘เผาไหม้และเกิดใหม่’ นี้ กลิ่นอายชีวิตของเขาก็อ่อนลงเสียแล้ว
แต่เช่นเดียวกัน รัศมีสีม่วงอันไพศาลก็แผ่ปกคลุมไปทั่วโลกคูหาสวรรค์ ห่อหุ้มพลทหารเกราะเงินนั้นเอาไว้ รัศมีสีม่วงยิ่งพรั่งพรูมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุด รัศมีสีม่วงที่พรั่งพรูก็ราวกับกระแสคลื่นอันน่าหวาดหวั่น เพียงแค่แรงสั่นสะเทือนของการโจมตีก็ทำให้ร่างกายของพลทหารเกราะเงินได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องแล้ว
ในท้ายที่สุดแม่ทัพชางเซวียนยังเหลือพลังชีวิตอยู่สามส่วน พลทหารเกราะเงินก็ถูกสูบจนตายเสียแล้ว!
“ที่แท้แล้วนี่คือเคล็ดวิชาอันใดกันแน่ สกุลชางไม่มีเคล็ดวิชาเช่นนี้กระมัง” เหล่าระดับสูงของสกุลฝานและสกุลเซี่ยมองไปทางสกุลชางอย่างสงสัย เหล่าผู้แกร่งกล้าของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่มิใช่สามตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็งุนงงสงสัยเช่นเดียวกัน
จากประสบการณ์ของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นเขตพลังพรรค์นี้มาก่อนเลย
สีม่วงหรือ
พลังคุกคามแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหรือ นอกจากนี้ ความสามารถในการคุ้มกายก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด! ต้องรู้ไว้ว่าเคล็ดผนึกห้าภาพภายใต้เพลิงเจ็ดสีที่ไม่สมบูรณ์ก็ยังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วงแหวนเพลิงเจ็ดสี…เทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็มีผลลัพธ์คือถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน! ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าต้านทาน จำเป็นต้องอาศัยเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ มิให้เปลวเพลิงต้องกาย!
“เคล็ดวิชาคุ้มกายอันร้ายกาจยิ่ง กล้าต้านทานวงแหวนเพลิงเจ็ดสีด้วยหรือ”
“น่าจะเป็นเคล็ดวิชาคุ้มกายของขั้นอลวนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยรู้จักแล้วกระมัง” บรรดาแขกเหรื่อจำนวนมากมายในที่นั้นต่างก็มองแม่ทัพชางเซวียนผู้นั้นอย่างครุ่นคิด เทพจักรวาลสามัญที่เชี่ยวชาญการหลอมร่างกายก็ยังมิสู้ เคล็ดวิชานี้แข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเสียแล้ว นอกจากนี้ในประวัติศาสตร์ก็ยังไม่เคยปรากฏมาก่อนอีกด้วย
ผู้ที่สุขสันต์ที่สุดในที่นั้นเห็นจะเป็นระดับสูงของสกุลชาง
ยิ่งศิษย์สกุลชางแข็งแกร่งเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งดีใจเท่านั้น!
……
ส่วนผู้ที่หัวเสียที่สุดก็คือสกุลฝาน!
มหาเคารพหกท่านของสกุลฝานนั่งอยู่ที่นั่น บรรดามหาเคารพของสกุลเซี่ยและสกุลชางยังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับพวกเขา
“เจ้าลัทธิดอกบัวแดง อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ บางทีอาจจะสามารถเอาชนะระลอกที่สี่ได้เลยกระมัง! พอถึงเวลาพวกเจ้าสกุลฝานก็ยังมีความหวังที่จะเอาชนะได้ในท้ายที่สุด” ชายชราเคราทองที่สวมเกราะสีทองตลอดร่างคนหนึ่งพูดยิ้มๆ
“สกุลฝานยังมีความหวังอยู่”
“อืม เจ้าเด็กอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นไม่เลวเลยจริงๆ”
“พวกเจ้านี่ก็จริงๆ เลย อิงซานเสวี่ยอิงเอาชนะระลอกที่สามก็ยังลำบากลำบนเช่นนี้ ระลอกที่สี่ก็ไร้ความหวังอย่างแน่นอนแล้วล่ะ ต่อให้พวกเจ้าปลอบประโลมพวกลู่เทียนมากยิ่งกว่านี้ พวกเขาก็ได้แต่ยิ่งไม่เบิกบานใจแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า… แต่ว่าข้าช่างเบิกบานใจเหลือเกิน” เด็กปากแดงฟันขาวคนหนึ่งของสกุลชางหัวเราะเสียจนมือเท้าโบกสะบัด หลังจากเสียงหัวเราะ บริเวณโดยรอบก็มีเสียงระลอกคลื่นพรั่งพรูอย่างไร้ที่สิ้นสุดตามมา
“เฮอะ!” มหาเคารพลู่เทียนผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นพลางเหลือบมองเด็กที่มือเท้าโบกสะบัดผู้นั้นปราดหนึ่ง “เด็กศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าก็หัวเราะจนถึงขนาดนี้แล้วหรือ”
“ผิดหวังมากเลยใช่หรือไม่เล่า หกครั้งแล้วนี่” เด็กคนนั้นกลับยิ้มหยัน “เห็นสกุลฝานของพวกเจ้าขายขี้หน้า ข้าก็เบิกบานใจนัก”
มหาเคารพลู่เทียนสีหน้าถมึงทึง
“ฮ่าฮ่า…” เด็กผู้นั้นยังคงหัวเราะฮ่าฮ่าเช่นเดิม
มหาเคารพคนอื่นๆ โดยรอบต่างก็มิได้เอ่ยปาก
‘เด็กศักดิ์สิทธิ์ขู่ไห่’ ของสกุลชางและ ‘มหาเคารพลู่เทียน’ มีความขุ่นเคืองใจพัวพัน ผู้ที่อยู่ในที่นั้นต่างก็รู้กันทั้งสิ้นว่าสองคนนั้นมีมิตรภาพร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่ก็มีความแค้นอันมิอาจสั่นคลอนได้เช่นกัน นำไปสู่ผลลัพธ์เช่นปัจจุบัน แต่ ‘เด็กศักดิ์สิทธิ์ขู่ไห่’ ยังคงอ่อนแอ เผชิญกับภยันตราย มหาเคารพลู่เทียนก็บุกไปสังหารอย่างโกรธแค้นและบ้าคลั่ง
ความขุ่นเคืองของคนทั้งสอง แม้กระทั่งพวกจักรพรรดิเซี่ยสามคนก็ยังมิอาจเปลี่ยนแปลงได้เลย
“สกุลฝานของข้ายังมิได้พ่ายแพ้เสียหน่อย” มหาเคารพซือเทียนกวาดสายตามองเด็กศักดิ์สิทธิ์ขู่ไห่ “เด็กศักดิ์สิทธิ์อย่าเพิ่งด่วนลำพองใจเร็วไปนักเลย”
“อ้อ เช่นนั้นข้าก็จะคอยดูแล้วกัน อีกประเดี๋ยวค่อยดีใจก็ได้!” เด็กผู้นั้นลอบหัวเราะ
บรรดามหาเคารพคนอื่นๆ ของสกุลฝานต่างก็มองดูโลกคูหาสวรรค์สองแห่งที่หลงเหลืออยู่ตรงกลางห้องโถงอย่างเงียบๆ
ถ้าหากพ่ายแพ้เสียแล้ว
หนึ่งก็คือขายหน้า สองก็คือไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม! อ้างอิงจากกฎของสกุลฝาน เทพจักรวาลที่อ่อนแอก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น การเข้าไปในตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมก็สูญเปล่าเกินไปแล้ว! ส่วน ระดับอย่าง ‘บรรพชนฝาน’ ในอดีตก็เคยเข้าไปแล้วหลายครั้ง จึงมิได้มีความกระหายต่อตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมสักเท่าใดนัก โดยทั่วไปก็ให้กับบรรดามหาเคารพใต้บังคับบัญชา
พวกเขาอยากเข้าไป!
“ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมเอ๋ย ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปอยู่ดี” บรรดาแขกเหรื่อที่มิใช่สามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุที่ถูกเชื้อเชิญมา พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศ ถึงขนาดที่ในบรรดานั้นมีพลังยุทธ์เทียบเคียงได้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา แต่พวกเขาก็ลอบทอดถอนใจ
ไร้ซึ่งหนทาง
ทรัพยากรที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้วพวกจักรพรรดิเซี่ยสามคนต่างก็มอบให้กับสามตระกูลใหญ่ ‘เจียดเล็กน้อย’ ให้กับพวกเขา นี่ก็คือสถานการณ์ที่พวกเขาวิ่งเต้นรับใช้สามตระกูลใหญ่!
แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว! สกุลเซี่ยและสกุลชางต่างก็ไม่สนใจรัฐประเทศภายนอก ถึงแม้ว่าสกุลฝานจะมีเค่อชิงจากรัฐประเทศภายนอก แต่ภารกิจก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับประชากรในรัฐประเทศเดียวกันนั้น… สามตระกูลใหญ่ก็นับได้ว่ามีเมตตา
……
ภายในโลกคูหาสวรรค์สองแห่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและชางเซวียนต่างก็กำลังรอคอย ครืน… กลิ่นอายที่พรั่งพรูรวมตัวกัน ศัตรูระลอกที่สี่เคลื่อนเข้ามา
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูพลทหารเกราะทองคนหนึ่งที่รวมร่างแล้วปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า พลทหารเกราะทองผู้นั้นมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยนัยน์ตาเย็นชา ส่งผ่านความเยียบเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดมา
“ปัง…”
อุณหภูมิภายในทั้งโลกคูหาสวรรค์ลดฮวบลงในทันที ทุกหนทุกปห่งในดินแดนล้วนถูกแช่แข็งในพริบตา คล้ายกับกาลมิติก็ถูกแช่แข็งไปด้วย ไร้ซึ่งที่หลบซ่อน ถ้าหากพูดว่าสถานที่อื่นๆ เพียงแค่ได้รับผลกระทบ บริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่จึงจะเป็นศูนย์กลางการโจมตี ก้อนน้ำแข็งสีเทาจางๆ แช่แข็งร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์ เคล็ดวิชาที่หวาดหวั่นถึงเพียงนี้ เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปล้วนถูกทำให้ร่างกายแหลกสลายทั้งเป็น! ถึงแม้ว่าจะไม่ตาย ความเร็วในการเคลื่อนไหวของร่างกายท่อนล่างที่ถูกแช่แข็งก็จะเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล แล้วก็สามารถถูกสังหารจนถึงแก่ความตายได้อย่างง่ายดาย
เคล็ดวิชาระดับนี้ ตามหลักการแล้วขั้นอลวนล้วนไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น! เห็นได้ชัดว่าการทดสอบระลอกที่สี่ ที่ใช้ล้วนเป็นเคล็ดวิชาที่เหล่าเทพจักรวาลต้องอาศัยสมบัติลับล้ำค่าจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้
“ร้ายกาจน่าดูเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเหมือนว่าจะถูกก้อนน้ำแข็งแช่แข็งเสียแล้ว ยังคงยืนอยู่ที่นั่นเช่นเดิม ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย มุมปากเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา
ถูกก้อนน้ำแข็งแช่แข็งแล้วยังยิ้มได้อยู่อีกหรือ
และที่โลกคูหาสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง
พรึ่บ
เพิ่งจะประมือกันเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นแม่ทัพเซวียนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาด้านนอก เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ในคราวก่อน! เมื่อความหนาวเหน็บอันน่าหวาดหวั่นของศัตรูระลอกที่สี่นั้นมาเยือน ถูกก้อนน้ำแข็งสีเทาจางๆ แช่แข็งร่างกาย พลังคุกคามนี้ยังแข็งแกร่งกว่าวงแหวนเพลิงเจ็ดสีอยู่เล็กน้อย ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาชั่วอึดใจ จักรพรรดิเซี่ยก็เคลื่อนย้ายเขาออกมาในทันทีทันใดเสียแล้ว
เส้นทางในสงครามสามตระกูล ของ ‘แม่ทัพเซวียน’ แห่งสกุลชางก็สิ้นสุดลงเช่นนี้เอง
สงครามสามตระกูลในคราวนี้เหลือเพียงแค่ขั้นอลวนคนสุดท้ายที่ยังต่อสู้อยู่คนหนึ่ง นั่นก็คืออิงซานเสวี่ยอิงที่มาจากรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้นนั่นเอง!
“น่าแปลกไหมเล่า”
“เหตุใดกลิ่นอายของเขาจึงมิได้อ่อนแอลงเลย”
บรรดาแขกเหรื่อมองดูภาพเหตุการณ์ภายในโลกคูหาสวรรค์อย่างสงสัยเล็กน้อย ถึงอย่างไรนี่ก็คือโลกคูหาสวรรค์ที่จักรพรรดิเซี่ยควบคุม พวกเขาไม่มีทางแทรกผ่านเข้าไปดูได้ ทำได้เพียงชมดูภาพเหตุการณ์อย่างผิวเผินด้วยตาเปล่าแล้วทำการคาดคะเนบางอย่าง
อิงซานเสวี่ยอิงยังหันหน้ามาดู ‘แม่ทัพเซวียน’ ถูกเคลื่อนย้ายตัวออกมา หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว
“หายตัวไปเสียแล้วหรือ”
“ถูกเคลื่อนย้ายตัวออกมาอย่างนั้นหรือ”
ในขณะที่ระดับสูงของสกุลฝานอดที่จะตรวจตราดูอย่างละเอียดมิได้อยู่นั้นเอง กลับมีเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่ไม่เคยปรากฏตัวภายในโถงตำหนักมาก่อนเลยปรากฏขึ้น
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้รีบร้อนสังหารศัตรู ภายใต้เขตพลังอันน่าหวาดหวั่น เขาก็ย่อมสำแดงเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ในคราวเดียว ทำให้ร่างกายที่เยือกแข็งเหล่านั้นมิอาจทำร้ายตนได้เลยแม้แต่น้อย! จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ ‘ตรวจดู’ เคล็ดวิชาของศัตรูอย่างละเอียด เขามีประสบการณ์ในการประมือกับเทพจักรวาลที่กล้าแกร่งน้อยเกินไป แน่นอนว่าสั่งสมประสบการณ์ให้มากๆ ก็จะสืบเสาะหากฎเกณฑ์สูงสุดจากในนั้นได้มากยิ่งขึ้น
แต่ไหนแต่ไรเป้าหมายของเขาก็มิใช่เพียงแค่การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเท่านั้นอยู่แล้ว
“หนาวเหน็บ ความตาย… กาลมิติก็สามารถแช่แข็งความตายได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสจินตภาพอันหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งชนิดนี้แล้วก็อดที่จะลอบตื่นตระหนกมิได้
“แต่จินตภาพที่ข้าครอบครองนั้นเหนือกว่าประเภทกาลมิติธรรมดาทั่วไป มันชี้บ่งถึงธรรมชาติของทั้งโลกกำเนิด ข้ากับแก่นห้วงอากาศโลกกำเนิดแปรเป็นร่างเดียว หากไม่สามารถทลายเปิดกรงขังโลกกำเนิดได้ ก็มิอาจทำร้ายข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว จากนั้นแม้กระทั่งรูปลักษณ์เงาร่างที่ปรากฏชัดอยู่ที่โลกภายนอกก็หายลับไปโดยสมบูรณ์
หายลับไปอย่างสิ้นเชิง
แม้กระทั่งเหล่าเทพจักรวาลมาตรวจสอบโดยละเอียดก็ตรวจไม่พบ!
นี่ก็คือความน่าหวาดหวั่นของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด!
………………………………………….