Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 20 การรวมตัวครั้งสุดท้าย
มือใหญ่ทั้งคู่ของบรรพชนโลกาชุดเขียวร่างผอมเล็กยื่นลงมาเบื้องล่าง ฟึ่บ แขนทั้งคู่พุ่งอย่างฉับพลันลงมายังเบื้องล่างอย่างยิ่งใหญ่อลังการราวกับเสาสวรรค์สองต้นอย่างไรอย่างนั้น
‘จอมกระบี่’ ผู้มีผมสีขาวพลิ้วไหวชักกระบี่ ‘ราชันย์มีด’ อาภรณ์ทองที่อยู่ข้างๆ เขาก็กวัดแกว่งมีดที่เปล่งประกายมีดระยิบระยับจับตาออกมา
ประกายกระบี่พุ่งไปล้านล้านลี้ มาถึงยังโลกทิพย์โบราณ
ประกายมีดก็ยิ่งอหังการหาใดเปรียบ!
ทว่าบรรพชนทิพย์ที่ผิวกายมีสายโซ่เส้นแล้วเส้นเล่าล้อมรอบกลับบ่มเพาะสำแดงเคล็ดวิชา เห็นเพียงค่ายกลขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์โบราณ ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าเบื้องบน…
“สมควรตาย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้าไม่น่าดู
จอมกระบี่และราชันย์มีดต่างก็ต่อสู้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด เพราะเส้นทางการบำเพ็ญเป็นเหตุ ถึงแม้ว่าทางด้านการรักษาชีวิตของพวกเขาจะอ่อนแอสักหน่อย แต่การโจมตีก็น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ใกล้เคียงกับเทพจักรวาลระดับขั้นที่สาม
บรรพชนทิพย์นั้นมีฝีมือครอบคลุมทุกด้าน เขตพลัง การพันธนาการ การต่อสู้ซึ่งหน้า และร่างแปร… วิธีการต่างๆ นานาร่วมมือกันกับคนอื่นๆ ก็อาจทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปวดเศียรเวียนเกล้าได้
ถึงแม้ว่าบรรพชนโลกาจะไม่มีการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด แต่ก็มีเจ้าศิลาชี้แนะ ร่างกายแข็งแกร่งองอาจ อยากจะสังหารบรรพชนโลกา นอกจากจะใช้เคล็ดวิชาที่ทำให้เจ้าศิลาบาดเจ็บสาหัส…
เผาผลาญร่างแปรทิพย์โบราณ ใช้พลังที่รวบรวมไว้ทั้งหมดให้เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ข้อหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วเขามิอาจให้ร่างแปรทิพย์โบราณออกไปจากโลกทิพย์โบราณได้! ข้อสอง เขาก็ไม่อยากจะยั่วยุเจ้าศิลา ข้อสาม กระบวนสังหารที่ใช้ไม่หมดจึงจะเรียกว่ากระบวนสังหาร! ใช้หมดแล้ว ก็ไม่มีพลังป้องปรามแล้ว ก็เหมือนกับตอนนี้ เผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้ลึกลับที่อยากจับตัวเอาไว้อย่างที่สุด อีกฝ่ายก็วิ่งเข้าสู่โลกทิพย์โบราณแล้ว น่าเสียดายที่สิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณของเขาสั่งสมมาไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะไม่บีบบังคับตงป๋อเสวี่ยอิงให้หนักเกินไปแล้วล่ะ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พึมพำ “ต่อสู้กับเจ้าศิลายกหนึ่ง ความสูญเสียก็ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว”
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีอย่างต่อเนื่อง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงจับจ้องไล่ล่า!
ถึงแม้ว่าพวกบรรพชนโลกาที่อยู่ด้านบนจะสำแดงการโจมตี แต่เพราะว่าระยะทางห่างไกลเกินไป ก็ยังต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยจึงจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ได้จริงๆ
“โอ้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมาในทันใด เพราะเขารู้สึกว่าแรงกดดันที่มิติโดยรอบมีต่อตนหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว พลังอันยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งขจัดความกดดันของพลังโลกทิพย์โบราณออกไปจนหมดสิ้น
“เขตพลัง! เขตพลังของบรรพชนทิพย์!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี
ดูเหมือนว่าบรรพชนทิพย์สำแดงเคล็ดวิชาอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อค่ายกลสำเร็จแล้วกลับปกคลุมล้านล้านลี้เบื้องล่างในทันที รวดเร็วกว่าประกายกระบี่และประกายมีดที่บุกเข้ามาและแขนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้นั้นเป็นอย่างมาก!
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังโลกทิพย์โบราณถูกขจัดออกไปข้างนอก
“สามารถบิดหมุนห้วงอากาศได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี ถึงแม้ว่าทางด้านห้วงอากาศของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างลึกซึ้งพอสมควร ยังคงทำให้ห้วงอากาศแข็งตัวจนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นเดิม แต่มาถึงระดับขั้นเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ‘เขตพลังห้วงอากาศบิดหมุน’ ก็เทียบได้กับการเคลื่อนที่ในพริบตาในระยะทางสั้นๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เขาควบคุมห้วงอากาศบิดหมุน เพราะภายในเขตพลังของค่ายกลบรรพชนทิพย์
กฎเกณฑ์สูงสุดก็ถูกบีบบังคับให้เปิดออก
ห้วงอากาศบิดหมุนของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้รับแรงกดดันใดๆ การบิดหมุนเพียงครั้งเดียวก็มาถึงข้างกายของพวกบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์แล้ว
“ฟิ้วๆๆ”
ร่างแยกทั้งสามร่างต่างก็หลบหนีมาถึงชายขอบภายนอกโลกทิพย์โบราณแล้ว
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หยุดมองอย่างหงุดหงิดใจ “มิใช่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา บิดหมุนห้วงอากาศภายใต้การแข็งตัวของห้วงอากาศอย่างนั้นหรือ ยอดฝีมือผู้ลึกลับผู้นี้ประสบความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศเป็นอย่างสูงจริงๆ”
‘เขตพลังเมฆาแดง’ ก็คือเคล็ดวิชาหลักของยุทธวิธีเมฆาแดง ตอนนั้นนายท่านฉื้ออวิ๋นเชี่ยวชาญการต่อสู้เป็นกลุ่มที่สุด ก็คือเหตุผลของเขตพลังเมฆาแดง
แม้ว่าระดับขั้นจะถึง ก็มิได้หมายความว่าจะสำแดงออกมาได้
อย่างเช่นยอดฝีมือวิถีอากาศเทพจักรวาลระดับขั้นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะตระหนักรู้ทั้งเก้าสายจนหมด แต่นึกอยากจะคิดค้น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ออกมานั้นก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง คิดค้น ‘ปุจฉวิถีคละถิ่น’ ออกมานั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าขัน! ระดับขั้นแสดงถึงพื้นฐานและเคล็ดลับมากมาย…ก็คือวิธีการใช้งาน เช่นขั้นอลวนก็สามารถสำแดงศาสตร์ร่างแยกได้ อย่างเช่นจ้าวภูเขาฉื้อเหมย แต่อย่างพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนนั้นล้วนไม่สามารถทำได้
หมดหนทาง ความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงแค่ขั้นอลวนขั้นสุดยอดเท่านั้น มิอาจสู้พวกตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนห้วงอากาศ กู่ฉี และจักรพรรดิเก้าเมฆาได้ คิดค้นศาสตร์ร่างแยกขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ จะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
“เป็นน้องตงป๋อหรือ” บรรพชนทิพย์ถ่ายเสียงพูด
“เสวี่ยอิงหรือ” จอมกระบี่ก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน
“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงตอบกลับไปโดยมิได้ปิดบัง
แต่บรรพชนทิพย์ จอมกระบี่ ราชันย์มีด และบรรพชนโลกา ทุกคนต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา
“พวกเราไปกันเถิด”
หลังจากที่แต่ละคนมองจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มตาแล้ว
ทันใดนั้นทุกคนก็จากไปอย่างสง่างาม หากแต่บรรพชนห้วงอากาศที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งทำการเปิดทางเชื่อมศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา
******
ณ เมืองราชันย์มีด ภายในห้องโถงแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์ จอมกระบี่ และราชันย์มีดห้าคนเดินออกมาจากห้วงมิติบิดเบี้ยวที่หมุนวน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือบรรพชนห้วงอากาศและบรรพชนเทียนอวี๋
“เสวี่ยอิงหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋มองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยกหน้ากากขึ้น เปิดเผยโฉมหน้าออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“สามารถสำแดงบุปผาผลาญทำลายได้ด้วยหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ก็ยังถามประโยคหนึ่ง คนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วยื่นมือออกมา กลางโลกลวงมีบุปผาเก้าใบรวมตัวกันเกิดขึ้น บุปผาเก้าใบเปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง สิ่งนี้ผสานเคล็ดวิชาเก้าชั้นของความเร้นลับของวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเข้าด้วยกันแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เมื่อมองเห็นการปรากฏขึ้นของบุปผาเก้าใบดอกนี้ แต่ละคนในที่นั้นก็แย้มยิ้มเสียแล้ว
อันที่จริงก่อนหน้านี้ด้วยเหตุผลต่างๆ นานารวมกันขึ้นมา พวกเขาก็มีความมั่นใจเกินเก้าส่วนแล้ว แต่การคิดค้นเคล็ดวิชาขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าออกมานั้นก็เป็นเรื่องยาก ‘บุปผาเก้าใบ’ ก็ยิ่งเป็นวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าผสานเข้าด้วยกัน นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นผู้คิดค้นผู้นี้แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทำได้อีก!
“เสวี่ยอิง เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ” บรรพชนเทียนอวี๋เผยรอยยิ้มออกมา
“ดีเหลือเกิน” ราชันย์มีดอารมณ์อ่อนไหว “ถึงแม้จะเคยได้ยินเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของป้ายคำสั่งจิตโลกามาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็วิญญาณกระจัดพลัดพรายอยู่ชัดๆ บอกว่าสามารถกลับมาได้ก็จริง แต่พวกเราก็ยังคงไม่กล้าเชื่อกันอยู่ดีนั่นแหละ”
“ที่แท้แล้วป้ายคำสั่งจิตโลกามีความมหัศจรรย์อย่างไรกันแน่” บรรพชนทิพย์ที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นอย่างอดมิได้ “ข้าไม่สงสัยที่พลังยุทธ์ของเจ้าบรรลุไปถึงเทพจักรวาลหรอกนะ แต่เท่าที่ข้ารู้ เจ้าในตอนนี้… ก็มีเคล็ดวิชามากมายทั้งการตัดแยกห้วงมิติ การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด และศาสตร์ร่างแยก นอกจากนี้ยังมีร่างกายที่แกร่งกล้าเช่นนี้อีกด้วย เจ้าก็บำเพ็ญทางสายฝึกกายแล้วด้วยหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอธิบายว่า “ป้ายคำสั่งจิตโลกานี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถทำให้วิญญาณแท้สายหนึ่งของข้ากลับชาติไปจุติยังโลกกำเนิดอีกแห่ง นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้กลับมายังบ้านเกิดอีกด้วย”
“โลกกำเนิดอีกแห่งหรือ”
“อ้อหรือ”
บรรพชนทิพย์และคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้นทั้งคาดหวังทั้งประหลาดใจ
“ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาบางอย่างตอนอยู่ที่นั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “น่าเสียดายที่เคล็ดวิชามากมายของดินแดนจิตโลกาก็มีข้อจำกัด การจะศึกษาได้นั้นยากยิ่ง อีกทั้งยังจำกัดการเผยแพร่สู่ภายนอกอีกด้วย! แต่ข้ายังมีร่างแยกอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาด้วย ในอนาคตถ้าหากสามารถศึกษาเคล็ดวิชาที่เผยแพร่สู่ภายนอกได้ ก็ย่อมสามารถเผยแพร่ให้กับทุกท่านได้เช่นกัน”
อากาศอันสับสนอลหม่านเผชิญกับอันตรายของมหาวินาศ
สำหรับพวกเขา จอมกระบี่ บรรพชนทิพย์ และราชันย์มีดแต่ละคนนั้น ถ้าหากสามารถถ่ายทอดให้พวกเขาแต่ละคนได้ เขาก็จะถ่ายทอดให้
“น่าเสียดายที่ป้ายคำสั่งจิตโลกานั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากชะตาไม่ถึง ต่อให้อยู่ตรงหน้าก็ยังมองไม่เห็นเลย” ราชันย์มีดที่อยู่ข้างๆ อารมณ์อ่อนไหว เขารู้ในจุดนี้จากเจ้าเมืองหลัว อาจารย์ของเขาอยู่ก่อนแล้ว
……
ภายในห้องเงียบแห่งหนึ่งในส่วนลึกใต้ดิน
ตงป๋ออวี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้ามีค่ายกลอันซับซ้อนขนาดใหญ่มหึมาแขวนลอยอยู่ ค่ายกลเปลี่ยนแปลงวิวัฒน์อย่างต่อเนื่อง
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นบิดาถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหาร ส่วนมารดาก็ถูกคุมขังเอาไว้ที่โลกทิพย์โบราณ…นี่ทำให้ตงป๋ออวี้มีความกระหายอยากที่จะแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าบรรพชนทิพย์ก็ตั้งใจช่วยเหลือเป็นอย่างมากแล้ว แต่ตอนนี้ตงป๋ออวี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้นเอง ยังห่างจากขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่ห้าอีกมากมายนัก ช่วยเหลือมารดาหรือ แก้แค้นหรือ แม้กระทั่งพวกบรรพชนทิพย์ผู้เป็นอาจารย์ก็ยังไม่มีความมั่นใจในการไปช่วยคนเลย
ถึงแม้ว่าจะตรากตรำบำเพ็ญ แต่ในส่วนลึกของจิตใจตงป๋ออวี้ก็ยังมีความสิ้นหวังลังเลใจอยู่ตลอด
“ข้าเป็นบุตรชายของตงป๋อเสวี่ยอิง”
“ข้ามิอาจทำให้ท่านพ่อขายหน้าได้ ตอนนั้นเงื่อนไขในการบำเพ็ญของท่านพ่อสู้ข้ามิได้ ถ้าหากเขายังมีชีวิตอยู่ การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็มิใช่เรื่องยาก ข้าก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน ต้องทำได้แน่ๆ” ตงป๋ออวี้มีความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้า แต่ในความเป็นจริงแล้วบรรพชนทิพย์ก็ยังลอบส่ายหน้ากับเรื่องนี้ เพราะระดับขั้นจิตใจของตงป๋ออวี้นั้น แม้กระทั่งระดับขั้นที่สามก็ยังไปไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ คิดอยากจะสำเร็จเป็นขั้นอลวนก็ยังสิ้นหวังลังเลใจ
ทันใดนั้น…
“อวี้เอ๋อร์ มาที่เมืองราชันย์มีดเสีย” เสียงของบรรพชนทิพย์ดังขึ้นในห้วงสมองของตงป๋ออวี้
“ขอรับ”
ตงป๋ออวี้หยุดการบำเพ็ญลง
“ไปเมืองราชันย์มีดหรือ” ตงป๋ออวี้ออกจากการปลีกวิเวกอย่างสงสัย บรรพชนทิพย์ได้จัดการให้ลูกน้องทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นส่งตงป๋ออวี้มา
ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น
“พี่สาวหรือ”
“น้องชายหรือ”
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาเผชิญหน้ากันที่ด้านนอกประตูวังของ ‘วังทะเลสาบคราม’ แห่งเมืองราชันย์มีด วังทะเลสาบครามเป็นหนึ่งในบรรดาวังที่มีสัมพันธไมตรีอันดีกับราชันย์มีด
ประตูวังเปิดออก
“ทั้งสองท่าน เชิญ” ผู้ดูแลนำทางอยู่ข้างๆ
“อาจารย์ของข้าให้ข้ามา” ตงป๋อชิงเหยาพูด “แล้วเจ้าล่ะ น้องข้า”
“ข้าก็เช่นกัน” ตงป๋ออวี้สงสัย
“น่าแปลก มีเรื่องอันใดจึงบอกมาตรงๆ มิได้ ต้องให้พวกเราสองคนมายังเมืองราชันย์มีดด้วย” ตงป๋อชิงเหยาถ่ายเสียงพูดกับน้องชาย เข้าสู่พระราชวังมาพร้อมกันด้วยการนำทางของผู้ดูแล เดินตรงเข้าสู่ด้านในของพระราชวังอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่นานก็มาถึงยังทะเลสาบแห่งหนึ่ง
บริเวณริมทะเลสาบมีศาลาอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเหล่าเทพจักรวาลนั่งอยู่สองสามคน
มีพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกา แล้วก็มีพวกบรรพชนคีรีมาร จักรพรรดิงูเมฆา และประมุขเหยากวง…ในบรรดาเหล่าเทพจักรวาล ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งและหญิงสาวอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้หนึ่งอยู่เคียงคู่กันราวกับเทพเซียน ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มหัวเราะกับเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ แล้วพูดกับอวี๋จิ้งชิวที่อยู่ข้างกายสองสามประโยคเป็นระยะๆ อวี๋จิ้งชิวก็ฟังพร้อมหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวต่างก็หันหน้ามาดู มองไปทางคนทั้งสองที่อยู่ไกลออกไ
ภายใต้การนำทางของผู้ดูแล
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยามองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวและหญิงสาวอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่อยู่ไกลออกไปอย่างตกตะลึง
“ท่านพ่อ”
“ท่านแม่”
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยายากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นได้ ต่างก็หยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาเสียแล้ว
……………………………………….