Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 40 การบำเพ็ญภายในเจดีย์
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์สูงสิบชั้นที่อยู่ตรงกลางจัตุรัสแห่งนั้น จิตใจที่ตื่นเต้นปั่นป่วนค่อยๆ สงบลง
ตนเองคิดหาทุกวิถีทางที่จะได้รับโอกาสเข้ามายัง ‘วังเทพจิตโลกา’ อีกทั้งยังได้วัตถุหายากสองชิ้นในการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์เพิ่มเติม เพื่ออะไรกัน ก็มิใช่เพราะอยากทำให้พลังยุทธ์ของตนแข็งแกร่งขึ้นหรอกหรือ ยิ่งสามารถรั้งอยู่ใน ‘วังเทพจิตโลกา’ ได้นานขึ้น ก็จะได้โอกาสครั้งใหญ่มาง่ายขึ้นอย่างนั้นหรือ ถึงแม้จะบอกว่าตนก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญ ก็ได้แต่ค่อยๆ ยกระดับขึ้น
แต่เวลาไม่คอยใคร ผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดจะเกิดมหาวินาศขึ้นเมื่อใด
มีคนก่อนหน้านี้ที่สำเร็จการชี้นำของวิถี บางทีความช่วยเหลือของผู้แกร่งกล้าแห่งโลกระดับที่สูงขึ้นผู้สามารถหนีออกจากกรงขังแห่งนี้ได้ก็อาจทำให้การบำเพ็ญเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นอย่างมากได้!
“ทุ่มเทไปมากมายถึงเพียงนี้ ดิ้นรนมาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อโอกาส! แล้วตอนนี้โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “แม้กระทั่ง ‘หยวน’ ก็พูดแล้วว่าโอกาสเช่นนี้มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต! หากพลาดไปก็ไม่มีอีกแล้ว”
“จะต้องคว้าโอกาสครั้งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ มิฉะนั้นในภายภาคหน้าข้าจะต้องนึกเสียใจอย่างแน่นอน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากให้โลกกำเนิดบ้านเกิดพังพินาศแล้วตนก็ได้แต่เศร้าโศกเสียใจอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย…
นี่มิใช่สิ่งที่ตนต้องการเสียหน่อย!
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทอดน่องอยู่บนจัตุรัสอันโดดเดี่ยว มาถึงตรงหน้าเจดีย์แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองชั้นสิบของเจดีย์อันสูงเสียดฟ้า
ก้มหน้าเข้าไปตามทางเข้าของเจดีย์
ด้านในของเจดีย์ใหญ่โตอย่างยิ่ง ตรงกลางคือเสาต้นหนึ่ง บริเวณโดยรอบเสาล้อมรอบด้วยบันไดไม้มุ่งไปยังชั้นที่สูงขึ้น!
“ฟู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหยียบย่างลงบนบันไดไม้ก้าวหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลอันไร้ที่สิ้นสุดขับไล่อยู่บนร่างกายของตน แล้วก็ร่นถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ดูท่าจะต้องแกะสลักผนังเจดีย์ชั้นที่หนึ่งให้เสร็จหมดก่อนจึงจะขึ้นไปยังชั้นที่สองได้สินะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วสายตาก็จับอยู่บนเสาตรงกลางในทันที
บนเสาทรงกลมมีภาพค่ายกลอันเร้นลับภาพแล้วภาพเล่าซึ่งต่างก็เป็นภาพค่ายกลของวิถีอากาศ มีภาพค่ายกลอยู่ทั้งสิ้นสิบภาพ
“หากข้าแกะสลักภาพค่ายกลสิบภาพลงบนกำแพงเจดีย์เสร็จหมดแล้วก็จะสามารถเข้าสู่ชั้นที่สองได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดสายตา มีกำแพงที่ล้อมรอบเจดีย์ชั้นที่หนึ่งอยู่สิบด้านพอดิบพอดี บนกำแพงว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดๆ
พร้อมกันกับที่ ‘หยวน’ ถ่ายเสียงให้ตนเมื่อครู่ ก็ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์คละถิ่นมาให้ด้วย!
‘เจดีย์คละถิ่น’ ทั้งหมดสิบชั้น
ทุกชั้น ตนเองต่างก็ต้องแกะสลักภาพสิบภาพลงบนผนังภายในเจดีย์ ภาพค่ายกลล้วนมาจากเสากลมตรงกลางทั้งสิ้น
ตนเองจะต้องศึกษาให้ได้! และแกะสลักให้สำเร็จ!
แน่นอนว่าไม่สามารถให้เวลาอันไร้ขีดจำกัดกับตนได้อยู่แล้ว…
อย่างนานที่สุด ‘หนึ่งล้านปี’ ก็ต้องแกะสลักภาพค่ายกลภาพหนึ่งได้สำเร็จ ถ้าหากถึงกำหนดเวลาหนึ่งล้านปีแล้วยังแกะสลักภาพค่ายกลออกมาไม่ได้สักภาพเดียวก็หมายถึงความล้มเหลว!
อ้างอิงจากความสำเร็จในท้ายที่สุด ก็จะต้องมีของกำนัลในระดับที่แตกต่างกัน!
เพียงแค่แกะสลักกำแพงเจดีย์เต็มสี่ชั้น เหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่ห้า ถึงแม้ว่าจะล้มเหลว ก็จะได้รับของกำนัลเป็นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่เหมาะสมกับตนเองชิ้นหนึ่งแล้ว!
แกะสลักเต็มห้าชั้น… หกชั้น… เจ็ดชั้น… แปดชั้น… เก้าชั้น… หรือแม้กระทั่งสิบชั้น!
ยิ่งสามารถทำสำเร็จเสร็จสิ้นได้มากขึ้น ของกำนัลก็ยิ่งอลังการมากขึ้น
“ช่างล้ำเลิศเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองดูภาพค่ายกลสิบภาพบนเสากลมตรงกลาง “เป็นความเร้นลับของวิถีอากาศทั้งหมดเลย นอกจากนี้ยังเป็นความเร้นลับที่เป็นการผสานรวมกันของ ‘ภาพฟ้าและภาพดิน’ พอดี หรือว่าเจดีย์คละถิ่นแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับระดับขั้นของผู้มา แล้วปรากฏเป็นภาพค่ายกลที่แตกต่างกันขึ้นมาเล่า”
เคยพบกับเจ้าเมืองหลัวมาก่อน
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อัศจรรย์ใจกับ ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ ที่หนีออกจากกรงขัง เข้าสู่ห้วงมิติระดับชั้นสูงกว่าแล้วสามารถล่วงรู้ระดับขั้นของตนได้อย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือเจดีย์คละถิ่นสามารถกำหนดการทดสอบที่ไม่เหมือนกันให้กับผู้มาที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็วต่างหาก
“อย่างมากที่สุดหนึ่งล้านปีต่อหนึ่งภาพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “เจดีย์ชั้นหนึ่ง อย่างนานที่สุดก็สามารถรอได้เพียงแค่สิบล้านปีเท่านั้น”
สิบล้านปีดูเหมือนจะยาวนาน
แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับเทพจักรวาลก็นับได้ว่าเป็นเพียงแค่การบำเพ็ญระยะสั้นเท่านั้นเอง
“ข้าต้องใช้เวลาเต็มสิบล้านปีในแต่ละชั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงคำนวณอย่างรวดเร็ว “อีกทั้งเวลาในช่วงนี้ข้าต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังในการหยั่งรู้วิถีอากาศ! เจ้าเมืองหลัวให้ ‘บุปผาโลกา’ กับข้าเป็นของกำนัลทั้งหมดเก้าดอก ในช่วงเวลาที่บุกเจดีย์คละถิ่น ข้าเสียไปเจ็ดแปดดอกก็คุ้มค่าอยู่ดี!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเหลือเอาไว้ดอกหนึ่ง
เหลือเอาไว้ใช้ในภายหน้าตอนที่เก้าสายผสานรวมกัน บรรลุ ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอด’ แล้ว
ความอัศจรรย์ของบุปผาโลกา ร่างแยกที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้กำลังบำเพ็ญรับสัมผัส ในระหว่างที่ความเข้าใจต่อวิถีอากาศกำลังยกระดับอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองได้ไม่นานเท่าใด อีกทั้งยังมิได้ติดอยู่ที่จุดคอขวด เดิมทีตัวเองก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพียงแต่มี ‘บุปผาโลกา’ ทำให้ความก้าวหน้าของเขาเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาลเท่านั้นเอง
“เจดีย์คละถิ่นชั้นสิบหรือ” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สามารถคาดเดาได้
เชื่อว่ายิ่งขึ้นไปก็ต้องยิ่งยาก อีกทั้งยังมีเวลาจำกัดด้วย! เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ นั้นทำการทดสอบภายในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น (ภายในไม่กี่สิบล้านปี) ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกากลับชาติมาเกิด สามารถก้าวหน้าไปได้ถึงระดับใดกัน! เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกาแต่ละคนเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่มีเพียงแค่ผู้ที่เปล่งประกายจับตาที่สุด ร้ายกาจที่สุดเท่านั้น จึงจะคู่ควรกับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลังของ ‘หยวน’
ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเมืองหลัวมอบเมล็ดพันธุ์บุปผาโลกาให้กับตนก็ได้พูดเอาไว้ประโยคหนึ่งแล้วว่า ‘กับยุคนี้ของพวกเจ้า ข้าก็สามารถทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่ายิ่งเป็นบุคคลผู้ล้ำเลิศ ถึงแม้ว่าจะเป็น ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ ก็มิใช่ว่าอยากจะหยิบก็หยิบเอาออกมาได้ เกรงว่าคงจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
เจดีย์คละถิ่น…
ก็คือการทดสอบชนิดหนึ่ง ผู้ที่เลิศล้ำพอจึงจะคู่ควรกับการบ่มเพาะของหยวน
“ไม่ว่าจะเป็นหยวนหรือว่าเจ้าเมืองหลัว หรือแม้กระทั่งผู้ที่บ่มเพาะ ‘จักรพรรดิจวิน’ ผู้นั้น ดูเหมือนว่าบุคคลโลกระดับสูงขึ้นอย่างพวกเขาก็คาดหวังอยากให้พวกเราไปถึงระดับขั้นเดียวกันกับพวกเขาด้วยเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในทันใด
มีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศบางคน
เมื่อเห็นผู้มีพรสวรรค์ก็อยากจะทำลายทิ้งเสีย! อยากจะขัดขวาง! ไม่อยากให้ผู้มีพรสวรรค์ไปถึงระดับขั้นเดียวกันกับตน
แต่หยวน เจ้าเมืองหลัว และผู้ที่บ่มเพาะจักรพรรดิจวิน…ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามคนที่ตนรู้จักในขณะนี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ขัดขวาง อีกทั้งยังคอยให้ความช่วยเหลืออีกด้วย!
“คิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้นกันเล่า สำหรับพวกเขาแล้ว เทพจักรวาลขั้นสุดยอดจึงจะนับได้ว่ามีโอกาสไปสัมผัสระดับขั้นที่สูงขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ เขาเองก็รู้ว่าการบรรลุก้าวสุดท้ายนี้จะต้องยากเย็นเป็นอย่างมากแน่นอน อย่างเช่นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดทั้งหมดที่ตนรู้จัก พวกจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคน รวมถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลา ตนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครบรรลุก้าวนั้นได้เลยสักคน
“รอให้ข้าสำเร็จเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก่อนแล้วค่อยมาทำความเข้าใจกับความลับเหล่านี้ให้ละเอียดอีกทีก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่คิดอะไรมากอีก
จ้องมองเสากลมตรงหน้าแล้วพินิจดูภาพค่ายกลสิบภาพนั้นโดยละเอียด
“เริ่มต้นเถิด”
……
ภาพค่ายกลสิบภาพของชั้นที่หนึ่งนั้นอาศัยพื้นฐานของวิถีอากาศ ‘ภาพฟ้าภาพดิน’ สองสายผสานรวมกัน เพียงแต่ว่าแต่ละชนิดมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน พื้นฐานเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แน่นหนาอยู่แล้ว เพราะว่าทั้งเก้าสายของเขาล้วนไปถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดหมดแล้ว ตอนนี้ทางด้านบ้านเกิดนั้นยังอยู่ใน ‘บุปผาโลกา’ ด้วย… ดังนั้นภาพค่ายกลสิบภาพ เขาพินิจดูเพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้นก็เข้าใจได้กระจ่างหมดแล้ว
ถ้าหากต้องการ เขาก็สามารถแกะสลักภายในกำแพงสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าเขาไม่เร่งร้อน!
จะต้องใช้เวลาสิบล้านปี! ยิ่งเวลาเนิ่นนาน ความก้าวหน้าของตนก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น!
ตนเพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองได้ไม่นานสักเท่าใด ทั้งยังเพิ่งได้รับ ‘บุปผาโลกา’ สิ่งที่ต้องการก็คือเวลาสำหรับการพัฒนา
******
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ทุกๆ วันสุดท้ายของหนึ่งล้านปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะไปแกะสลักภาพค่ายกลภาพหนึ่งแล้วก็แกะสลักได้สำเร็จในคราวเดียวอย่างสบายๆ
บุปผาโลกาหนึ่งดอก ตั้งแต่ผลิบานจนเหี่ยวเฉาก็เพียงแค่หนึ่งแสนปีเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างแยกที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังทุ่มเทหยั่งรู้ร่างแยกมากมายทางด้านนี้อย่างสุดกำลัง กระบวนการผลิบานหนึ่งแสนปีของบุปผาโลกา ความก้าวหน้าก็ฉับพลันอย่างที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่เหี่ยวเฉาแล้วก็สะท้อนและตระหนักรู้อย่างไม่หยุดหย่อน…ก็มีสามล้านกว่าปีที่ความก้าวหน้ายังคงรวดเร็วอย่างที่สุดเช่นเดิม ยิ่งดำเนินต่อไป อัตราเร็วในการก้าวหน้าก็ย่อมค่อยๆ ช้าลงอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าจะยกระดับอย่างรวดเร็ว แต่เก้าสายของวิถีอากาศนั้น ทุกสายต่างก็กว้างใหญ่นัก เมื่อผสานรวมกันขึ้นมาแล้วต่างก็มีความเร้นลับอันไร้ที่สิ้นสุดรวมอยู่ด้วยกัน
“ครบสิบล้านปีแล้ว”
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแกะสลักภาพค่ายกลภาพที่สิบเสร็จในวันสุดท้ายของเวลาสิบล้านปี บันไดไม้ของเจดีย์ก็เปล่งแสงออกมาในทันใด ด้านบนส่งเสียงโครมคราม ชั้นสูงกว่าที่เดิมทีมีสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างขัดขวางอยู่ ในตอนนี้มองปราดหนึ่งก็สามารถมองเห็นได้แล้ว
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหยียบย่างขึ้นไปบนบันไดไม้มุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบนก้าวแล้วก้าวเล่า คราวนี้มิได้ถูกขับไล่หรือขัดขวางแล้ว เขามาถึงเจดีย์คละถิ่นชั้นที่สองอย่างรวดเร็ว
กวาดสายตามองคราหนึ่ง
เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สองก็มีเสากลมอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกัน บนเสากลมก็คือภาพค่ายกลสิบภาพ! กำแพงเจดีย์ที่อยู่โดยรอบขาวโพลนทั้งหมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มัวเสียเวลา เขาพินิจดูภาพค่ายกลสิบภาพที่ลึกซึ้งกว่าพอสมควรซึ่งอยู่บนเสากลมอย่างเงียบสงบแล้วเริ่มศึกษาหยั่งรู้
…………………………………………..