Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 44 คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง
แม้จะถูกเคลื่อนย้ายกลับมาตรงเชิงสะพานแขวน แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่ระมัดระวังเท่านั้น ความคิดจิตใจกว่าครึ่งของเขายังคงอยู่กับเจ็ดกระบวนคละถิ่น เขาถึงขั้นมิอาจข่มความรู้สึกใจเต้นเอาไว้ได้ เพราะนี่เป็นถึงเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง! เหล่าเทพจักรวาลขั้นสุดยอดในดินแดนจิตโลกาไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนนั้น เกรงว่าก็คงมีผู้ที่ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้
ต่อให้ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา ก็มิอาจถ่ายทอดสู่ภายนอกได้!
ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังใหญ่โตเพียงใด ต่อให้คารวะจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานหรือเจ้าเมืองอนันต์เป็นอาจารย์…ก็ไม่แน่ว่าจะได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา!
ตนเข้าไปยัง ‘วังเทพจิตโลกา’ เป็นครั้งแรก และได้รับโอกาสใหญ่หลวงระดับนี้ แม้การรับรู้ของตนเองจะเป็นด้านหนึ่ง แต่ก็ต้องขอบคุณ ‘บุปผาโลกา’ ที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ด้วย
“เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง”
“เป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่…เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่จริงๆ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้ข้อมูลโดยละเอียดของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งในห้วงสมอง เมื่อเทียบกับมันแล้ว เคล็ดวิชาที่เคยได้มาก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย เพราะมิใช่ระดับเดียวกันเลยจริงๆ
“บัดนี้หกสายของข้าหลอมรวมกันแล้ว ในบรรดาเทพจักรวาลชั้นที่สองก็นับว่าไม่เลวเลย แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ็ดกระบวนคละถิ่น บัดนี้ข้ามีทรัพยากรน้อยนิดเท่านั้น ก็ได้แค่เริ่มฝึก และมีหวังจะฝึกคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งสำเร็จได้อย่างพอถูไถเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทานออกมา
เจ็ดกระบวนคละถิ่น เปิดบทแรกมาก็เป็นการใช้พลังคละถิ่นทำการต่อสู้แล้ว!
พลังคละถิ่นเป็นพละกำลังพื้นฐานของโลกระดับสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
วิถีอากาศสามารถเฝ้าดูและสัมผัสถึงชั้นที่สูงขึ้นไปได้ จึงสามารถอาศัยวิถีอากาศใช้ ‘พลังคละถิ่น’ ได้ อย่างศาสตร์ร่างแยก ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปจนถึงปุจฉวิถีคละถิ่น…เคล็ดวิชาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการอาศัยวิถีอากาศใช้งานพลังคละถิ่นทั้งสิ้น ในจำนวนนั้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตกเป็นของปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น
แต่ทว่า…
เมื่อเทียบกับเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ‘หยวน’ คิดค้นขึ้นด้วยตนเองแล้ว ปุจฉวิถีคละถิ่นก็ห่างชั้นอยู่มากโข
ถึงขั้นที่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้ฝึกฝนเจ็ดกระบวนคละถิ่นเป็นคนแรกก็ยังสามารถค้นพบได้ทันทีว่าปุจฉวิถีคละถิ่นมีหลายจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้! เขาลองปรับปรุงแก้ไข ความยากในการบำเพ็ญปุจฉวิถีคละถิ่นก็ลดลงเป็นอย่างมาก ทว่าเขากลับเคารพนับถือจักรพรรดิเซี่ยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเขาศึกษาเจ็ดกระบวนคละถิ่น จึงล่วงรู้วิธีที่ละเมียดละไมและสบายกว่าในการใช้งานพลังคละถิ่นและสามารถปรับปรุงได้
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงเชิงสะพานแขวน ลำพังแค่สองชั่วยามกว่าๆ เขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
เขาโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง
ฟิ้ว!
ตรงหน้าฝ่ามือพลันมีไอหมอกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา กลางไอหมอกราวกับมีร่องมิติจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ หากขยายขึ้นมาสักล้านล้านเท่า ร่องเหล่านี้ก็มีพลังคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระจายเข้ามา แต่กลับพัฒนากลายเป็นมิติขนาดเล็กจิ๋วหลายแห่งซึ่งยากที่จะเฝ้ามองได้ด้วยตาเปล่าอยู่กลางเมฆหมอก แต่ละมิติล้วนก่อตัวขึ้นจากพลังคละถิ่นอันมั่นคงหาใดเปรียบ แต่เมื่อเมฆหมอกสะท้านสะเทือน มิติแต่ละแห่งก็พังทลายลงต่อเนื่องกัน มิตินับล้านล้านแห่งพังทลาย ภายในขอบเขต ‘ไอหมอก’ เบื้องหน้านี้มีพละกำลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งก่อตัวขึ้นมา
เมฆหมอกสะท้านสะเทือนเล็กน้อย ภายในกลับถล่มทลายและถูกทำลายจนกลายเป็นเถ้าธุลี
เพียงชั่วพริบตาสั้นๆ นั้น ก็ได้ฉีกทึ้งผนังของโลกกำเนิดออกมาก่อน ทำให้พลังคละถิ่นจำนวนมากกลายเป็นมิติ มิติเล็กจิ๋วเหล่านี้ ในพริบตาเดียวก็สำเร็จขั้นตอนการ ‘เกิดและสลาย’ ไปอย่างรวดเร็ว! มิตินับล้านล้านแห่งแตกสลายไปต่อเนื่องกันประหนึ่งปรากฏการณ์ลูกโซ่ ทำให้อานุภาพซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วก็มองอานุภาพของมันไม่ออกเลย แต่หากถูกมันสัมผัสเข้าก็จะ ‘แตกทำลาย’ ไปพร้อมกับมัน
คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง…ปุยเมฆสะท้าน!
“เป็นกระบวนท่าที่ร้ายกาจนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
“หากข้าหลอมอาวุธที่เข้ากันโดยเฉพาะขึ้นมา ดินแดนจิตโลกายิ่งใหญ่เพียงใด ข้าก็สามารถท่องไปได้ตามอำเภอใจ” นัยน์ตาทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกาย วิธีหลอมอาวุธที่แนบมากับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ขอเพียงตนทำตามนั้นก็จะสามารถหลอมได้สำเร็จ นอกจากวัสดุจะล้ำค่าหายากแล้ว สำหรับตนการหลอมแปรก็มิได้ยากสักเท่าใดนัก
“นี่เป็นเพียงแค่คละถิ่นกระบวนที่หนึ่งเท่านั้น สำหรับการใช้งานพลังคละถิ่น ก็ช่างพิสดารเกินไปแล้ว! กระบวนท่าต่อจากนี้ แต่ละกระบวนท่าก็จะแข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” ดงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งประกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองกระบวนสุดท้ายของเจ็ดกระบวนคละถิ่นนั้นเป็นกระบวนท่าที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสำแดงออกมาแล้ว ต่อให้ตนบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ต้องอาศัยอาวุธเฉพาะจึงจะสามารถสำแดงกระบวนท่าต่อเนื่องในตอนท้ายออกมาได้ มิเช่นนั้นแล้วห้ากระบวนท่าแรก…ก็คือขีดสุดของเทพจักรวาลแล้ว!
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังโถงตำหนักไกลออกไป
เมื่อเดินไปตลอดทาง ครั้งนี้เขากลับเข้าไปภายในโถงตำหนักได้โดยไม่พบอันตรายใดอีก
“ในที่สุดก็เข้ามาในโถงตำหนักแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง เมื่อมองจากโลกภายนอก วังเทพจิตโลกาเหมือนจะมีวังเล็กวังน้อยหลายแห่ง มีโถงตำหนักเรียงรายกันอยู่ แต่บัดนี้ตนก็เพิ่งจะได้เข้ามายังโถงตำหนักของวังเทพจิตโลกา
โถงตำหนักแห่งนี้เงียบเชียบยิ่งนัก ประตูตำหนักเปิดกว้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขามองไปรอบด้าน บนผนังของโถงตำหนักมีภาพเหมือนอยู่หลายภาพ แต่ละคนล้วนแต่เป็นชนต่างเผ่าซึ่งสวมเกราะเอาไว้ รูปลักษณ์ร้อยแปดพันประการ
“โครมมม…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปด้านหลัง ประตูตำหนักด้านหลังปิดลงแล้ว
ฟิ้วๆๆ…
ชนต่างเผ่าในรูปเหมือนบนผนังรอบโถงตำหนักล้วนพากันเดินออกจากผนังมายังโถงตำหนักจนสิ้นอย่างไร้สุ้มเสียง สายตาของแต่ละคนพากันจับจ้องมาที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อมองไปแวบหนึ่ง ก็เห็นว่ามีชนต่างเผ่าสวมชุดเกราะถึงสามสิบกว่าคน บรรดาชนต่างเผ่าเหล่านี้ยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางแค่นเสียงเฮอะ “ถึงกับกล้ามาบุกฝ่าวังเทพจิตโลกาเชียวหรือนี่ รับความตายเสียเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าตอนนี้นับได้ว่าตนเข้าสู่ชั้นนอกสุดของโถงตำหนักอย่างเป็นทางการของวังเทพจิตโลกาแล้ว
ฟึ่บๆๆ…
ทหารคุ้มกันต่างเผ่าทั้งหมดขยับเขยื้อนขึ้นมา บางนายแปรเป็นอสนีบาตบุกเข้ามา บ้างก็สลายหายไปทันที จากนั้นก็รวมตัวกันตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง บ้างก็แปรเป็นไอหมอกปกคลุมเข้ามา บางคนก็ยืนอยู่ห่างออกไปพลางสำแดงค่ายกลออกมา
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็พลันมีไอเมฆหมอกปรากฏขึ้น ไอเมฆหมอกอันยิ่งใหญ่แผ่คลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนัก ภายในไอเมฆหมอกมีมิติจำนวนนับไม่ถ้วนถือกำเนิดขึ้นมา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็อันตรธานไปอย่างน่าประหลาด
“เขาอยู่นั่น!”
บรรดาทหารคุ้มกันต่างเผ่าเหล่านี้พบตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าแล้ว
‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวอยู่ภายในมิติเล็กจิ๋วแห่งหนึ่งในปุยเมฆพลางยิ้มให้เหล่าทหารคุ้มกันต่างเผ่าภายนอก
สวบๆๆ…
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นตามมิติเล็กจิ๋วแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างแปลกประหลาด ราวกับสับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง
อันที่จริงแล้วอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงไป
นี่คือวิธีการใช้งานหลังจากเปลี่ยนแปลงคละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง ‘ปุยเมฆสะท้าน’ไปเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า ‘ปุยเมฆสะท้าน’ ควบคุมมิติภายในได้สูงส่งกว่ายุทธวิธีเมฆาแดงมากทีเดียว ดังนั้นภายใต้การเปลี่ยนแปรของเขา มิติเหล่านั้นก็มิได้แตกสลายไป หากแต่กลายเป็นตำแหน่งต่างๆ ที่เขาสามารถเปลี่ยนแปรและเคลื่อนที่ไปได้
“ฟึ่บ”
ภายในมิติขนาดเล็กจิ๋วแห่งหนึ่ง มือขาวซีดข้างหนึ่งยื่นออกมา แล้วตะปบลงบนแผ่นหลังของทหารคุ้มกันต่างเผ่าผู้หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีปุยเมฆอันเข้มข้นมากกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ปุยเมฆมากมายปรากฏขึ้นมา ภายใต้การสั่นสะเทือนและสลายไปของปุยเมฆกลุ่มนี้ ก็ทำให้ทหารคุ้มกันต่างเผ่าผู้นั้นสลายไปพร้อมกัน
“ไม่ดีแล้ว”
“เร็วเข้า เขาอยู่ตรงนั้น”
“ฆ่ามัน”
“ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง” ทหารคุ้มกันต่างเผ่าเหล่านี้อดโกรธแค้นมิได้ ไล่ตามไม่ทัน แม้จะรุกโจมตีตามอำเภอใจ แต่พวกเขาจะสามารถทำลายมิติเล็กจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนได้สักเท่าไหร่กันเชียว
ฟึ่บๆๆ…
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นในมิติเล็กจิ๋วแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง บางครั้งมือข้างหนึ่งก็ตะปบลงบนทหารคุ้มกันต่างเผ่า ทันทีที่ถูกตะปบ หากไม่สลายไปทันที ก็บาดเจ็บสาหัส
เพียงไม่ถึงชั่วลมหายใจ
ทหารคุ้มกันต่างเผ่าทั้งหมดก็สลายไปจนสิ้น
ปุยเมฆที่ปกคลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนักก็สลายไปเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขามองดูภาพเหมือนบนผนังตำหนัก ทหารคุ้มกันต่างเผ่าในแต่ละภาพพากันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเดือดดาล
“โครมมมม…” ประตูด้านหลังของโถงตำหนักกลับเปิดออกมาเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มร่าแล้วเดินเลียบไปตามด้านข้างแล้วออกจากโถงตำหนักทางประตูด้านหลัง
โลกภายนอกมีระเบียงอันวิจิตร
ระเบียงคดเคี้ยว ไกลออกไปยังมีทางแยกมากมายซึ่งเชื่อมต่อโถงตำหนักแต่ละแห่งเข้าด้วยกัน
“นี่สิจึงจะเป็นลักษณะของวังแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเลือกมุ่งหน้าไปตามระเบียงแห่งหนึ่งตามใจ เดินไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หันมองไปทางทิศหนึ่งด้านซ้ายมืออย่างฉับพลัน
เขาสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นทางด้านนั้น
“มีการต่อสู้หรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปทางด้านนั้นด้วยความระมัดระวัง มุ่งหน้าไปตลอดทาง ผ่านระเบียงแห่งแล้วแห่งเล่า ในที่สุดก็มาถึงสวนขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองลอดประตูสวนเข้าไป เพียงปราดเดียวก็เห็นว่าภายในมีเงาร่างอยู่ห้าสาย ในจำนวนนั้นมียอดฝีมือรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่สองคน ได้แก่ ‘มหาเคารพผู่ซู่’ และ ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ส่วนอีกสามคนกลับมาจากรัฐโบราณคนละแห่งรวมสามรัฐด้วยกัน บรรยากาศภายในสวนเหมือนว่าจวนจะแข็งค้างไปอยู่แล้ว สีหน้าของยอดฝีมือทั้งห้าไม่น่ามองเอาเสียเลย
“เอ๊ะ” ยอดฝีมือระดับจอมเคารพทั้งห้าคนในสวนก็สัมผัสรับรู้ได้ แต่ละคนหันมองมาด้านนอก
“อิงซานเสวี่ยอิงหรือ”
“เป็นเขาหรือ”
ยอดฝีมือระดับจอมเคารพทั้งห้าตกตะลึงเป็นอันมาก
…………………………………….