Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 50 จอมเคารพหิมะเหิน
ยามรักษาการณ์สิบหกนายก่อให้เกิดเป็นค่ายกลรบ ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน
นอกจากนี้ยามรักษาการณ์แต่ละคนก็ยังสามารถสับเปลี่ยนกันให้กลายเป็นศูนย์กลางของค่ายกลรบไดตลอดเวลา ค่ายกลรบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ท่าไม้ตายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง!
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ ก็ต้องห้ำหั่นซึ่งหน้า หากคิดจะอาศัยโชคดีถอยหนีไปเพื่อดูลาดเลาก่อน หากไม่ระวังถูกกดดันจนตกเป็นเบี้ยล่าง ภายใต้ท่าไม้ตายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าคงจะพ่ายแพ้ในพริบตาเดียว!
“วิ้ง!”
เขตลวงโลกเทียมแผ่กำจายออกไป แล้วปกคลุมยามรักษาการณ์ทั้งสิบหกนายตรงหน้าเอาไว้ตลอดเวลา หากว่ากันอย่างจริงจังแล้ว พลังของยามรักษาการณ์ที่ห้ำหั่นกับตงป๋อเสวี่ยอิงมาตลอดทางนั้น ที่อ่อนแอที่สุดก็เนื่องจากถูกเขตลวงโลกเทียมรบกวน! พวกเขาก็สำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้เพียงห้าหกส่วนของยามรักษาการณ์เท่านั้น
สวบๆๆๆๆ…
ท่ามกลางเมฆหมอกอันรางเลือนรอบด้าน กลางมิติเล็กจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วน ภายในมิติเก้าแห่งในจำนวนนั้น ต่างก็มีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น
ร่างแยกเก้าร่าง!
“ร่วมโจมตี!”
“คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง…ปุยเมฆสะท้าน!”
ปังปังปังปังปังปังปังปังปัง!!!!!!!!!
ฝ่ามือเก้าข้างตะปบออกมาจากมิติเล็กจิ๋วพร้อมกัน เมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนม้วนตัวแล้วก่อให้เกิดเป็นน้ำวนอันน่าหวาดหวั่น ตรงกลางน้ำวนกลับเต็มไปด้วยความตายซากอันดำทะมึนแล้วปะทะเข้ากับดาบ พลอง ค้อนและอาวุธต่างๆ ของยามรักษาการณ์ทั้งสิบหกนายโดยตรง ชั่วขณะที่ประมือกันนั้น บรรดายามรักษาการณ์เหล่านี้ก็พลันพลิกหมุนไปสามกระบวนท่า แต่ก็ยังคงถูกกระแทกเสียจนกระเด็นถอยหลังไป
ร่างแยกทั้งเก้าร่างกลางมิติเล็กจิ๋วต่างก็ถูกกระแทกเสียจนโซซัดโซเซถอยไปก้าวหนึ่งเช่นกัน
“หืม”
แม้พรานผู้ล่า จวินอ๋องดำและจอมเคารพกระบี่ปีศาจจะห้ำหั่นอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แต่ก็สอดส่องดูการห้ำหั่นที่บริเวณอื่นๆ ด้วย
“ปะทะกันซึ่งหน้า แต่กลับไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อยเลยหรือนี่”
พวกเขาแต่ละคนพากันประหลาดใจ。
พวกเขาเข้าใจดีมากว่า กระบวนท่าที่ยามรักษาการณ์เหล่านี้ร่วมมือกันนั้นมีพลังระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดระดับบนสุดแล้ว!
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสุดยอดอยู่อย่างนั้นหรือ”
“สามารถสำแดงพลังรบเช่นนี้ออกมาได้ด้วยหรือนี่”
……
ร่างแยกทั้งเก้า แต่ละร่างล้วนสำแดงอานุภาพของคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งออกมาอย่างสิ้นเชิง! หากไม่ติดค่ายกล เก้าร่างแยกร่วมมือกัน พลานุภาพก็เพียงพอจะทำให้ยกระดับขึ้นไปไม่น้อย เวลาหลายพันปีนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ปรับปรุงยุทธวิธีเมฆาแดงจนหมดแล้ว เคล็ดการร่วมโจมตีนั้นเสียเวลานานที่สุด ก็เพื่อร่วมกับร่างแยกทั้งเก้า ทำให้ร่างแยกทั้งเก้าสามารถสำแดงออกไปได้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด
กระบวนท่าซึ่งเดิมทีบรรลุถึงขีดจำกัดเทพจักรวาลระดับชั้นที่สามแล้ว ร่างแยกเก้าร่างสำแดงออกมา และผสานกับเคล็ดการร่วมโจมตี พลังรบเพียงพอจะเทียบได้กับจอมเคารพแล้ว
“ไม่ได้หรอก ยามรักษาการณ์เหล่านี้ก็มีการป้องกันที่ร้ายกาจนัก จะต้องอาศัยทะลุอากาศ กระบวนท่านี้เหมาะจะใช้ทำลายค่ายกลที่สุดแล้ว”
หลังจากเก้าร่างแยกตะปบลงไปฝ่ามือหนึ่งแล้ว ท้ายที่สุดหมัดหนึ่งก็ปะทุออกมาทันที
ปังปังปัง……
เก้าหมัดต่อยออกมาพร้อมกัน สิ่งที่สำแดงออกมาล้วนแต่เป็นท่าทะลุอากาศจากยุทธวิธีเมฆาแดงใหม่ ทั้งสิ้น ระลอกคลื่นเก้าสายก่อให้เกิดเป็นน้ำวน ระลอกคลื่นแต่ละสายล้วนแต่ก่อตัวขึ้นจากรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งรอยแยกเหล่านี้มีพลังคละวิถีหลายสายสาดซัดเข้าไป ขณะที่น้ำวนปะทะเข้ากับค่ายกลของยามรักษาการณ์ทั้งสิบหกนั้น พลานุภาพกลับแทรกซึมเข้าไปในกายของยามรักษาการณ์ที่อ่อนแอคนหนึ่ง ประกายดาบของยามรักษาการณ์ที่อ่อนแอคนนี้ดุเดือดเป็นที่สุด
“โจมตีอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าร่างกายของเจ้าก็จะแข็งแกร่งด้วยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม
“ปัง!”
ร่างกายของยามรักษาการณ์ที่อ่อนแอผู้นั้นพลันระเบิดออก เกราะกระเด็นลอยไปแล้วสิ้นใจคาที่ทันที อันที่จริงแล้วส่วนใหญ่ยามรักษาการณ์เหล่านี้ก็มีพลังที่ค่อนข้างอ่อนแออยู่แล้ว มิเช่นนั้นแล้วหากแข็งแกร่งเกินไป ไม่เหลือจุดบกพร่องไว้เลยแม้แต่น้อย ด่านสิบสองกัลป์ก็คงจะยากเกินไปหน่อยแล้ว!
ยามรักษาการณ์คนหนึ่งสู้จนตัวตาย ทั้งค่ายกลรบเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงไว้ได้ต่อไป
“ฆ่าาา”
“เปลี่ยนค่าย ฆ่ามัน”
บรรดายามรักษาการณ์เหล่านี้ก็บ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระบวนท่าของพวกเขาจะมีอานุภาพแข็งแกร่งพอ สามารถทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยได้ ทว่าแม้แต่มหาเคารพผู่ซู่ก็ต้านทานได้สิบกว่ากระบวนท่าจึงถูกเคลื่อนย้ายออกไป กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่ง อย่างน้อยก็สามารถต้านทานได้นับร้อยกระบวนท่า! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีร่างแยกถึงเก้าร่างด้วยกัน หากสังหารเขา ก็จะยิ่งยากขึ้นไปใหญ่แล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่มิอาจโต้แย้งได้ก็คือ เมื่อสูญเสียยามรักษาการณ์ไปคนหนึ่ง อานุภาพของค่ายกลรบก็เริ่มอ่อนแอลงแล้ว
“ชิ้ง”“ชิ้ง”“ชิ้ง”…
ทั้งเก้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงซ่อนตัวอยู่ภายในมิติเล็กจิ๋ว กำปั้นเก้าข้างชกออกมาจากกลางมิติ พลางสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตีออกมา
ยุทธวิธีเมฆาแดงใหม่…ทะลุอากาศ!
เก้าร่างแยก ร่วมโจมตี!
กระบวนท่านี้กดดันค่ายกลรบ เมื่อยามรักษาการณ์คนแรกถูกล้างสังหารไป ระหว่างการห้ำหั่นหลังจากนั้น หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามสู้และถูกลอบโจมตีไปหลายครั้ง ก็สังหารยามรักษาการณ์ห้าคนอย่างต่อเนื่อง ยามรักษาการณ์ก็พลันไม่มีแรงต้านทานมากสักเท่าใดนัก ส่วนเขากลับเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ล่วงหน้าได้ดีที่สุดในที่นั้น
……
จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นเพียงคนเดียวในที่นั้นที่มิได้รับบาดเจ็บเลย
ครั้งก่อน ในด่านกัลป์ที่สิบเอ็ด เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เนื่องจากปลาใหญ่สีแดงสดมีมากมายยิ่งนัก แต่ยามนี้ศัตรูทั้งหมดมีเพียงหกคนเท่านั้น! นอกจากนี้ยังลอบโจมตีโดยอาศัยค่ายกลรบ ด้วยศาสตร์กระบี่อันน่าหวาดหวั่นของของจอมเคารพกระบี่ปีศาจกลับสามารถป้องกันทุกกระบวนท่าของศัตรูเอาไว้ได้ ในที่นั้น เขาเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดทางด้านการต่อสู้ประชิดตัว! ในระหว่างการต่อสู้ซึ่งหน้าเขาก็ค่อยๆ สังหารยามรักษาการณ์ไป
แม้ประสิทธิภาพจะต่ำกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ
……
จอมเคารพกระบี่ปีศาจไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายขน แต่ก็มิอาจดูแคลนยามรักษาการณ์เหล่านี้ได้
เพราะถึงอย่างไรเมื่อการโจมตีของยามรักษาการณ์เหล่านี้เคลื่อนเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย หากต้านไม่ได้สักครั้งหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็จบเห่แล้ว! การป้องกันของจอมเคารพกระบี่ปีศาจจะต้องไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อยจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้ นอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้
มหาเคารพผู่ซู่นั้นถูกผลักไสออกไปเป็นคนแรก
พรานผู้ล่าก็ต้านไว้ไม่ไหวแล้ว แม้แต่ละครั้งร่างกายจะรวมตัวแล้วสลาย สับเปลี่ยนกันไป แต่เมื่อท่าไม้ตายแต่ละท่าปกคลุมเข้ามา ถึงอย่างไรก็ต้องถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและเข้าสู่ชั่วขณะสุดท้ายแล้ว
“หืม” พรานผู้ล่าสังเกตเห็นคนทั้งสามด้านข้าง
จอมเคารพกระบี่ปีศาจ แข็งแกร่งด้านการต่อสู้ประชิดตัวจนมิมีผู้ใดเทียบได้ก็แล้วไปเถิด
จวินอ๋องดำก็ปะทุท่าไม้ตายที่ซ่อนเร้นเอาไว้ออกมา และปรากฏร่างแปรเงาห้าร่างออกมา ร่างจริงของเขาสามารถปรากฏขึ้นท่ามกลางร่างแปรเงาได้ ทำให้สถานการณ์การต่อสู้เป็นฝ่ายได้เปรียบ
“พลังก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวง จึงมีความมั่นใจแล้ว มิน่าเล่าจึงมายังวังเทพจิตโลกาครั้งนี้” พรานผู้ล่าลอบถอนหายใจ
“ยังมีจ้าวหิมะเหินผู้นี้อีก เก้าร่างแยกร่วมโจมตีมีอานุภาพถึงเพียงนี้ ต้องมีผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพเพิ่มอีกคนหนึ่งโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย!” พรานผู้ล่าลอบรำพึง
ฟิ้ว
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างเคลื่อนเข้ามาแล้วปกคลุมพรานผู้ล่าเอาไว้
จากนั้นพรานผู้ล่าก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้วขับออกจากวังเทพจิตโลกา เส้นทางวังเทพจิตโลกาของเขาก็สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายกองกำลังยามรักษาการณ์กองนี้ก่อนเป็นคนแรก ถัดมาก็เป็นจอมเคารพกระบี่ปีศาจ ส่วน
จวินอ๋องดำผู้นั้นทำลายกองกำลังยามรักษาการณ์ได้เป็นคนสุดท้าย
พวกเขาทั้งสามต่างคนต่างยืนอยู่บนทางเมฆของคนแล้วทอดสายตามองไปยังคนอื่นๆ
“จวินอ๋องดำ คิดไม่ถึงว่าท่านจะยังมีศาสตร์ร่างแปรเงาซ่อนอยู่อีก จนถึงตอนนี้จึงค่อยสำแดงออกมา” จอมเคารพกระบี่ปีศาจกล่าว
“ต่อให้ข้าซ่อนเอาไว้ลึกกว่านี้ ก็สู้น้องหิมะเหินไม่ได้หรอก! การห้ำหั่นซึ่งหน้าก็ไม่แพ้พวกเราเลย วิธีจำพวกบริเวณและการรักษาชีวิตก็ยังเหนือกว่าพวกข้าเสียอีก นับถือๆ” จวินอ๋องดำเอ่ยชม
จะมิใช่ได้หรือ
ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นพลังรบระดับจอมเคารพอย่างไร้ข้อกังขา ส่วนด้านอื่นๆ ทั้งหลายเช่นรักษาชีวิตและบริเวณกลับบรรลุถึงขีดจำกัดเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว นอกจากนี้ยังมีกระบวนท่าเขตลวงโลกเทียมอีกด้วย! ในบรรดา ‘ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพ’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถือว่ามีความสามารรอบด้านเป็นอย่างมาก
“ฟิ้ว”
จากนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็เคลื่อนเข้ามาแล้วปกคลุมพวกเขาสามคนเอาไว้
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนมองดูภาพอันบิดเบี้ยวตรงหน้า ในใจของแต่ละคนรู้สึกรอคอยขึ้นมา
สำเร็จแล้ว ทะลุผ่านด่านสิบสองกัลป์ได้ ต่อไปก็ตะเป็นการมอบรางวัลครั้งใหญ่แล้ว!
******
ประตูใหญ่ของวังเทพจิตโลกาปิดลงไปนานแล้ว ส่วนนอกประตูนั้นกลับมีหลายคนรวมตัวกันอยู่ อย่างจอมเคารพมารอัคคีและมหาเคารพลู่เทียนต่างก็อยู่ที่นี่ ทางด้านจ้าวกู่เซียวและมหาเคารพผู่ซู่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน บริเวณกาลเวลารอบกายมหาเคารพผู่ซู่แผ่ซ่านออกมาระหว่างร่างกายกำลังฟื้นฟู รอบด้านกลับมิมีผู้ใดกล้าลงมือเลย เนื่องจากนอกประตูใหญ่มีร่างแยกของจักรพรรดิเซี่ยและเจ้าเมืองอนันต์กับบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ประจำการอยู่ที่นี่
เนื่องจากเมื่อผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายถูกเคลื่อนย้ายออกมานั้น ส่วนมากก็บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย เพื่อป้องกันการลอบโจมตี พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ย่อมมีร่างแยกจ้องมองอยู่ที่นี่ด้วย
“ฟิ้ว” พรานผู้ล่าก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาแล้วเช่นกัน
“เจ้าก็ออกมาแล้วรึ” มหาเคารพผู่ซู่พูดยิ้มๆ “จวินอ๋องดำยังไม่ออกมาหรือ”
“จ้าวหิมะเหินผู้นั้นเล่า” จ้าวกู่เซียวเอ่ยขึ้น
“อย่ารออีกเลย จวินอ๋องดำอันตรายนัก ทั้งยังมีกระบวนท่าร่างแปรเงาอีกด้วย จ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็ยิ่งร้านกาจเข้าไปใหญ่ การห้ำหั่นซึ่งหน้าไม่แพ้ข้าและคนอื่นๆ เลย กระบวนท่าต่างๆ เช่นการรักษาชีวิตและบริเวณยังแข็งแกร่งกว่าพวกข้าเสียอีก” พรานผู้ล่าพูดพลางส่ายหน้า “ในบรรดาพวกเราที่บุกฝ่าด่านสิบแปดกัลป์ชุดนี้ หากพูดถึงพลังที่แท้จริงแล้ว ไม่แน่ว่าจ้าวหิมะเหินผู้นั้นอาจจะสามารถจัดเป็นในอันดับหนึ่งก็เป็นได้”
“อะไรนะ” จ้าวกู่เซียวตะลึงงันไป
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” มหาเคารพผู่ซู่ตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เขารีบติดต่อจอมเคารพกระบี่ปีศาจทันที
รอบด้านก็มีเหล่าผู้แกร่งกล้าของแต่ละรัฐโบราณอยู่
“จ้าวหิมะเหินมีพลังระดับจอมเคารพหรือ พลังสามารถจัดเป็นอันดับหนึ่งในหมู่พวกเจ้าได้เลยอย่างนั้นหรือ”
“แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“จริงหรือหลอกน่ะ”
“สามารถบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ได้ เจ้าว่าพลังของเขาเป็นเช่นไรเล่า นอกจากนี้ จากสิ่งที่ข้าเห็นก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายออกมานั้น เขาก็คงจะเป็นคนแรกที่สังหารศัตรูได้จนหมด” พรานผู้ล่าถามกลับประโยคหนึ่ง
ชั่วขณะให้หลัง
จอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำที่เพิ่งจะบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ไป เนื่องจากสหายบางคนทางฝ่ายตนถามไถ่ จึงได้แพร่ข่าวออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับการไถ่ถามจากสหายเช่นเดียวกัน แม้แต่มหาเคารพซือเทียนก็ยังส่งสารมาแสดงความยินดีที่ตนบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์มาได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงยอมรับอย่างซื่อๆ เท่านั้น ช่วยไม่ได้ เรื่องพรรค์นี้ไม่มีทางเก็บเป็นความลับได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าไม่นานนัก ทุกคนก็รู้ว่าจอมเคารพกระบี่ปีศาจ จวินอ๋องดำและจ้าวหิมะเหิน ทั้งสามคนได้บุกฝ่าผ่านด่านสิบสองกัลป์มาแล้ว
จ้าวหิมะเหินมีพลังยุทธ์ระดับจอมเคารพ และได้รับการยอมรับโดยทั่วไป เรื่องนี้แพร่สะพัดไปยังขุมอำนาจทั่วทุกทิศทั้งดินแดนจิตโลกาอย่างรวดเร็ว
……
เหล่าเทพจักรวาลแห่งดินแดนจิตโลกาย่อมส่งข่าวออกไปอย่างรวดเร็วนัก แต่ละฝ่ายต่างก็ล่วงรู้ว่ามีผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว
ข่าวก็ย่อมถูกส่งไปถึงรัฐเมฆทักษิณาด้วยเช่นกัน
………………………………………