Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 13 การตายของจวินอ๋องดำ
จวินอ๋องดำพูดพลางลงมืออย่างโหดเหี้ยม มิได้ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย!
เขาแปลงร่างเป็นมายาท่ามกลางเงาร่างแปรอย่างต่อเนื่อง ประกายมีดดำทะมึนอันน่าหวาดหวั่
ปะทะร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า! ฉีกทึ้งจนเกิดบาดแผลขึ้นมา หยาดโลหิตสาดกระเซ็น ดูจากรูปการณ์แล้ว…ร่างแยกทั้งเก้าของตงป๋อเสวี่ยอิงดูเหมือนจะน่าอนาถอย่างยิ่งทั้งสิ้น
อาการบาดเจ็บต่างก็ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแกล้งทำขึ้นมาเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้วพลังชีวิตของเขามิได้ลดน้อยลงเลย
ทว่าจวินอ๋องดำกลับมิได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย! เพราะว่าเขามีความมั่นใจในพลังยุทธ์ของตนในตอนนี้เป็นอย่างมาก อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ไม่สามารถปฏิบัติต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเหมือนจอมเคารพทั่วไปได้ เพราะหลังจากที่ ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงปรับปรุงแล้ว ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองก็มีระดับขั้นร่างกายที่ไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด ร่างกายอันน่าหวั่นเกรงนี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานอยากจะสังหารก็มิใช่เรื่องง่าย
“บนดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มีพลังยุทธ์เช่นเจ้าก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนหรอก แต่ก็มิได้เหมือนเจ้าสักเท่าใดนัก” จวินอ๋องดำออกกระบวนท่าอย่างโหดเหี้ยมหาใดเปรียบ เขาอยากรู้ความเป็นมาของยอดฝีมือผู้ลึกลับตรงหน้าผู้นี้
กล้าสอดมือเข้ามาทำลายเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้
ที่แท้แล้วเป็นเพียงแค่ยอดฝีมือผู้ลึกลับคนหนึ่งเท่านั้นเอง หรือว่ามีรัฐโบราณร่วมวงอยู่ด้วยกันแน่
“ตายให้ข้าเสียเถิด”
จวินอ๋องดำมีแววสังหารหนาวเหน็บ ประกายมีดแฝงไว้ด้วยความมืดหม่นอันไร้ที่สิ้นสุดห่อหุ้มเข้ามา
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงประสานสองมือเข้าด้วยกันในทันใด แสงสว่างจุดหนึ่งปะทุมาจากฝ่ามือที่มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นที่ครอบแสงอันหนึ่ง แต่ที่ครอบแสงนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นห่อหุ้มร่างแปรทั้งหมดที่มีอยู่ของจวินอ๋องดำเอาไว้! จวินอ๋องดำมีความประทับใจต่อกระบวนท่านี้ เมื่อครู่ชายหนุ่มเสื้อดำผู้ลึกลับตรงหน้าก็อาศัยกระบวนท่านี้ต้านทานการโจมตีของเขาเอาไว้ได้ถึงครึ่งอึดใจเลยทีเดียว
แน่นอนว่านั่นก็คือเหตุผลที่เขามิได้ทุ่มเทอย่างสุดแรง
“ไม่เพียงแต่สามารถปกป้องตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กักตัวข้าเอาไว้ได้อีกด้วยอย่างนั้นหรือ” จวินอ๋องดำดูแคลน ทุ่มเทอย่างสุดกำลังออกกระบวนท่า ที่ครอบแสงอันหม่นมัวห่อหุ้มเขาเอาไว้ แต่กลับแยกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบเสียแล้ว! ที่ครอบแสงนี้ดูเหมือนจะง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเคล็ดวิชาหลังการปรับปรุงของ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ภายใต้การปิดผนึกก็แยกขาดจากโลกภายนอก ทั้งยังมองไม่เห็นโลกภายนอกด้วย
จวินอ๋องดำก็มิได้ค้นพบว่าร่างแยกอื่นๆ อีกแปดร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประสานสองมือเข้าด้วยกันตรงด้านหน้าทรวงอกเช่นเดียวกัน
“พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ”
ร่างแยกเก้าร่างสำแดงพร้อมกัน
ร่างแยกทุกร่างต่างก็สำแดงที่ครอบแสงขนาดยักษ์อันหนึ่งออกมา ที่ครอบแสงเก้าอันสอดประสานเข้าด้วยกัน แต่กลับมีพื้นที่บรรจบกันอันหนึ่งที่ต่อเนื่องกัน! พื้นที่บรรจบกันนี้ก็คือสถานที่ที่จวินอ๋องดำถูกกักขังเอาไว้ ห้วงมิติปิดผนึกเก้าอันกำลังโคจรอยู่ราวกับเทหวัตถุ พวกมันโคจรหมุนเวียนอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้พื้นที่ตรงกลางกลายเป็นจักรวาล
นี่ก็คือ‘ผนึกไร้ขอบเขต’ ของเคล็ดการร่วมโจมตี ยุทธวิธีหิมะเหินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นเอง!
ผนึกไร้ขอบเขต!
แน่นอนว่าหากผสานรวมกับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ พลังรบที่สำแดงก็ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น เพียงแต่ว่า ข้อหนึ่ง เขาไม่อยากจะเปิดเผยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศทำให้จวินอ๋องดำตกใจ ด้วยวิสัยทัศน์ของจวินอ๋องดำ มองเพียงปราดเดียวก็ต้องสามารถจำ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าในตำนานนี้ได้แล้ว ข้อสอง เขายังต้องการให้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงท่าไม้ตายที่แท้จริง
“พรึ่บ”
เบื้องล่างของร่างแยกทั้งเก้ามีดอกบัวสีแดงเพลิงขนาดมหึมาปรากฏขึ้น
ในขณะนี้เอง
ห้วงมิติรอบๆ บิดเบี้ยว เหล่าผู้บำเพ็ญที่คอยเฝ้าดูเมืองแห่งนี้อยู่ห่างๆ ก็มองไม่เห็นฉากการต่อสู้ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากให้รั่วไหลออกไป
เคล็ดผนึกต้องห้ามมิได้เป็นภาระอันใหญ่หลวงต่อร่างแยกทุกร่าง ต้องการพลังจิตเพียงสองสามส่วนก็สามารถรักษาเอาไว้ได้แล้ว
ในขณะที่รักษา ‘ผนึกไร้ขอบเขต’ เอาไว้ ร่างแยกทั้งเก้าต่างก็นั่งขัดสมาธิลง เงาร่างก็เลือนรางขึ้นมา หนึ่งกลายเป็นสอง สองกลายเป็นสาม สามกลายเป็นหมื่น ทั่วทั้งด้านบนของดอกบัวเพลิงมีห้วงมิติแน่นขนัดอันมิอาจนับจำนวนได้ปรากฏขึ้น อีกทั้งภายในห้วงมิติทุกแห่งต่างก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงคนหนึ่งอยู่! แน่นอนว่า…ในความเป็นจริงแล้วมีร่างแยกอยู่เพียงเก้าร่างเท่านั้น นี่ก็เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของ ‘ห้วงอากาศทวีคูณ’ เท่านั้นเอง
ภายในห้วงมิติจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงทุกร่างสำแดงเคล็ดวิชาที่แตกต่างกัน ดอกบัวเพลิงขนาดมหึมาก็หุบเข้ามาในทันใด!
กลีบดอกไม้ทั้งหมดหุบเข้ามา!
เกิดเป็นดอกตูม!
พลังอลวนที่น่าหวาดหวั่นอันไร้ที่สิ้นสุดระเบิดอยู่ภายในดอกตูม!
……
เพราะเคยเห็นที่ครอบแสงมาก่อน ดังนั้นชั่วขณะที่ถูกที่ครอบแสงคุมขังเอาไว้ จวินอ๋องดำจึงมิได้ตื่นตระหนก!มาถึงระดับขั้นเช่นเขาจะมีสิ่งใดให้หวั่นกลัวอีกเล่า ต่อให้ถูกคุมขังเอาไว้ในทันทีทันใดแล้วอย่างไรเล่า เขาก็สามารถขอความช่วยเหลือได้ในทันที ให้บรรพชนราตรีนิรันดร์มาช่วยเหลือเขา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่คิดว่าที่ครอบแสงนี้จะสามารถกักขังเขาได้
“พลั่ก” จวินอ๋องดำระเบิดมีดหนึ่งออกมาอย่างสุดกำลัง ที่ครอบแสงบิดเบี้ยวแทบจะสลายไปในทันที จวินอ๋องดำเผยรอยยิ้มออกมา ตามด้วยการแทงมีดคราหนึ่ง
แต่ในขณะที่ ‘ผนึกไร้ขอบเขต’ ก่อร่างขึ้นมานั้นเอง ผนึกไร้ขอบเขตภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สั่นสะท้านและบิดเบี้ยวด้วยความตั้งใจ แต่ก็มิได้แตกสลายไป
“หรือว่าร่างแยกทั้งเก้าต่างก็กำลังสำแดงการผนึกกันหมด” จวินอ๋องดำคาดเดา สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเคล็ดผนึกต้องห้ามนี้ของเจ้าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แตกสลายไปให้ข้าเสียเถิด”
จวินอ๋องดำแทงมีดอย่างบ้าคลั่ง
ประกายมีดแฝงไว้ด้วยความมืดหม่นอันไร้ที่สิ้นสุด ประกายมีดฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง
ปัง ปัง ปัง…
ผนึกไร้ขอบเขตอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง บิดเบี้ยวจนในที่สุดก็ระเบิดแหลกสลายพังทลายไป จวินอ๋องดำเผยรอยยิ้มเย็นออกมา เพียงแต่การแหลกสลายในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจทำขึ้น ถ้าหากควบคุมเอาไว้ต่อไป จวินอ๋องดำก็จะถูกขังเอาไว้นานขึ้น! จงใจแตกสลายก็เพราะท่าไม้ตายของเขามาถึงเรียบร้อยแล้ว! หากผนึกไม่แตกสลายก็จะกลับกลายเป็นสิ่งกีดขวางท่าไม้ตายของเขาแทน
“นี่มันอะไรกัน”
ในขณะที่จวินอ๋องดำกำลังบดขยี้ผนึกไร้ขอบเขตนั้นก็มองรอบด้านอย่างตื่นตระหนก ห้วงมิติบิดเบี้ยวที่อยู่บริเวณรอบๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็แตกสลายจนหมดสิ้นราวกับฟอง พังทลายอย่างฉับพลันจนหมดสิ้น
แต่ละส่วนล้วนพังทลายลงมาทางจวินอ๋องดำ
“ไม่! ท่านบรรพชนช่วยข้าด้วย!” จวินอ๋องดำได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงมาอย่างฉับพลันแล้วก็เกิดความหวาดหวั่นจากดวงวิญญาณขึ้นมา เขามีความรู้สึกได้รับอันตรายชนิดหนึ่ง ความรู้สึกอันตรายจากความตาย!
ปัง ปัง ปัง!!!
คล้ายกับว่าเพียงชั่วครู่
บริเวณที่จวินอ๋องดำอยู่เปลี่ยนเป็นดำทะมึนไปหมด ที่นี่เชื่อมต่อกับห้วงมิติระดับที่สูงกว่าของโลกภายนอกแล้ว ทั้งหมดดูเหมือนว่าต่างก็สูญสลายไปจนสิ้น
‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ หนึ่งในสามท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหิน
“ตายให้ข้าเสียเถิด ตายไปเสีย!” ร่างแยกทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนดอกบัวเพลิงขนาดมหึมา แต่ละคนจ้องมองความมืดมิดผืนนี้
นี่คือกระบวนท่าที่โหดร้ายทารุณที่สุดในสามท่าไม้ตาย เมื่อพบว่าร่างกายของจวินอ๋องดำไม่มีจุดอ่อนใดๆ ให้หาพบได้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เลือกท่าไม้ตายที่โหดร้ายที่สุดแล้ว ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง! แต่เขาก็กลัว กลัวว่าถ้าหากกระบวนท่านี้ก็ยังฆ่าไม่ตายแล้วล่ะก็ เกรงว่าตนคงจะไม่มีเวลาได้สำแดงอีกครั้งแล้ว
“เขาตายแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสได้แล้ว
รับสัมผัสได้ว่าท่ามกลางความดำทะมึนก็ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แม้กระทั่งวัตถุมากมายต่างก็แหลกสลาย มีเพียงแค่วัตถุสองชิ้นที่สะดุดตาที่สุดเท่านั้น
“เก็บมา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สามารถตรวจดูได้ เขาโบกมือคราหนึ่ง ก็คือการคว้าจับห้วงอากาศ เก็บทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปไว้ภายในคลังสมบัติล้ำค่าในทันที
“ไป”
เขาเคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีไปไกลในทันที
……
พูดมาเสียยืดยาว ในความเป็นจริงแล้วชั่วขณะที่ท่าไม้ตายเคลื่อนเข้ามาผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จนั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำสมบัติล้ำค่าหนีไปอย่างรวดเร็วในทันที
เขาออกมาจากอาณาเขตรัฐวายุโหมอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
กลางพื้นที่รกชัฏแห่งหนึ่ง
เขาสอดแนมบริเวณที่เกิดสงครามขึ้นก่อนหน้านี้โดยอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา จนกระทั่งถึงตอนนี้จังหวะการเต้นของหัวใจเขาก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
“สำเร็จจริงๆ แล้ว ข้าสังหารจวินอ๋องดำได้จริงๆ แล้ว” ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี เขายิ่งเพิ่มความกระจ่างแจ้งในพลังยุทธ์ของตนเองแล้ว
อันที่จริงก็ปกติเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้จะไม่อาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ร่างแยกทุกร่างของเขาอาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่น ตอนนี้ต่างก็มีพลังรบระดับสุดยอด ภายใต้การร่วมโจมตีของร่างแยกทั้งเก้า แม้ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพก็ยังจัดอยู่ในระดับสุดยอด ยิ่งอาศัย ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ทำให้พลังยุทธ์ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง…นั้นก็อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกมหาเคารพฝูอี่นี้แล้ว
ในบรรดาระดับจอมเคารพที่มีอยู่ทั้งหมด ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดแล้ว
ส่วนร่างกายของจวินอ๋องดำถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดเจน แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิได้เป็นสายฝึกกาย ก็มิได้ล้ำเลิศทางด้านเคล็ดวิชาฝึกกายสักเท่าใดนัก ร่างกายมิอาจนับได้ว่าแข็งแกร่ง ต่อให้รักษาชีวิตอย่างไร ภายใต้ท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังคงต้องร่างกายและวิญญาณสูญสลายจนสิ้น ไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
จากนั้น…
ระดับจอมเคารพผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่งบนดินแดนจิตโลกาที่อยู่ที่รัฐวายุโหม ถูกสังหารเสียแล้ว!
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงม่านตาหดเล็กลง อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนม เขาก็ได้เห็นแล้ว
ที่บริเวณสมรภูมิรบเมื่อครู่
มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านบนซากปรักหักพังผืนนั้น เขามีชุดคลุมสีดำที่บริเวณขอบเดินลวดลายดอกไม้สีทอง ใบหน้าขาวผ่อง นัยน์ตาทั้งคู่กวาดมองบริเวณรอบๆ อย่างเยือกเย็น นัยน์ตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์มีความเย็นชาและความโกรธเคืองอันน่าหวาดหวั่น เขารู้แล้วว่า ‘จวินอ๋องดำ’
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาตายไปแล้ว แม้กระทั่งผู้ใดฆ่าก็ยังไม่รู้เล
“บรรพชนราตรีนิรันดร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่ด้านนอกรัฐวายุโหม มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เป็นเขา!
บรรพชนราตรีนิรันดร์!
ผู้ที่เคยผลาญสังหารร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดของเขาตอนอยู่ที่วังเทพจิตโลกา แล้วช่วงชิงสมบัติล้ำค่าของเขาไปนั่นเอง
………………………………………………..