Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 15 อำมหิต!
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบรรพชนราตรีนิรันดร์แต่กลับแย้มยิ้มอย่างเยียบเย็น พรึ่บ ร่างกายของเขาสลายกระจัดกระจายไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
“อะไรกัน” ตอนที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ลงมือก็ได้คิดหาวิธีที่จะส่งผลกระทบต่อวิญญาณของร่างแยกตรงหน้านี้แล้ว คิดจะผนึกร่างแยกนี้เอาไว้โดยเร็วที่สุด! แต่ร่างเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นยอดฝีมือทางด้านเขตลวงโลกเทียมอยู่แล้ว อีกทั้งวิญญาณยังเคยผสานรวมโลหิตจากหัวใจของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ หยดหนึ่งเข้าไปด้วย ถึงแม้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็นับได้ว่าเชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากเลือกที่จะสลายร่าง เขาก็ไม่มีทางขัดขวางเอาไว้ได้อยู่แล้ว!
เหตุผลที่ไม่ระเบิดตนเองแต่เพียงแค่สลายร่างไปเท่านั้น เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงก็กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายของเมืองแห่งนี้
“อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น”
บรรพชนราตรีนิรันดร์ยื่นมือออกไป เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเสื้อดำตรงหน้าผู้นั้นหายตัวไปแล้วก็อดที่จะทวีความโกรธเคืองยิ่งขึ้นมิได้
ถ้าหากผนึกเอาไว้ เช่นนั้นก็สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ ทำให้รู้ว่าที่แท้แล้วศัตรูผู้นี้เป็นใครกันแน่ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ กระทั่งศัตรูอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ยังไม่สามารถทำให้กระจ่างได้เลย!
“สมควรตาย สมควรตายนัก!”
บรรพชนราตรีนิรันดร์คำรามเสียงต่ำ
ปัง…
แสงสีทองอันน่าหวาดหวั่นมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง สาดกระจายออกไปทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง ขั้นอลวนสองคนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเฝ้ายามอยู่ข้างๆ ก็เบิกตากว้างอย่างสิ้นหวัง กระจัดกระจายไ
ภายใต้แสงสีทองอร่ามตา ห้องโถงแห่งนี้ เคหาสน์แห่งนี้ และต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์ต้นนั้นต่างก็กระจัดกระจายสลายไปภายใต้แสงสีทองจนหมดสิ้น ภายใต้ระลอกคลื่นแสงสีทอง ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาเดียวก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งปราการเมือง และยังแผ่กระจายออกไปนอกเมืองอีกด้วย
“ไม่นะ” มีผู้บำเพ็ญภายในเมืองมองแสงสีทองกวาดผ่านไปอย่างสิ้นหวัง
“ในที่สุดก็ปลดปล่อยออกมาจนได้” แล้วก็มีผู้บำเพ็ญที่เฉยเมย
ที่มีมากยิ่งกว่าก็คือยังมิทันได้มีปฎิกริยาตอบสนองก็ถูกแสงสีทองกวาดผ่านไปเสียแล้ว และกระจัดกระจายสลายไป
ส่งผลกระทบต่อพื้นดิน ส่งผลกระทบต่อผืนฟ้า
แสงทองขนาดมหึมา ระยิบระยับจับตาหาใดเปรียบ!
ในขณะนี้ เหล่าเทพจักรวาลแทบทุกคนบนดินแดนจิตโลกาต่างก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นที่นี่อย่างรางๆ
“นี่มันเรื่องอันใดกัน บรรพชนราตรีนิรันดร์วิปลาสเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ทำลายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองแห่งหนึ่งเช่นนี้น่ะหรือ”
“เขากำลังทำอะไรน่ะ”
“มีเขาอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว ไม่เห็นจะมีคู่ต่อสู้ห้ำหั่นอยู่กับเขาเสียหน่อยนี่”
อีกทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าจำนวนไม่น้อย รวมถึงเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แต่ละคนต่างก็ค้นพบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ แต่พวกเขาก็เพียงแค่สงสัยไม่เข้าใจเท่านั้น แม้กระทั่ง ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ที่ทอดถอนใจกับการตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเท่านั้น ช่วยไม่ได้ พลังยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์แบบมีขีดจำกัด ก็ได้แค่เป็นต่อเท่านั้น ต่อให้ลงมือห้ำหั่นกันก็เสียเวลาเปล่า เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก!
“เดือดดาลก็ให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฝังไปเป็นเพื่อนอย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายศีรษะน้อยๆ “เฮ้อ ตอนนี้บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงแค่จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะเท่านั้นที่สามารถกดดันบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้กระมัง ราชันย์อนธการอมตะอุปนิสัยโหดเหี้ยม การสังหารรุนแรงเป็นที่สุด เขาจึงคร้านที่จะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพรรค์นี้ จักรพรรดิเซี่ยก็ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว เห็นผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับมดปลวกก็มิปาน”
ราชันย์อนธการอมตะ
ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง ก็จัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นแล้ว และในท้ายที่สุดก็กดดันทุกฝ่าย ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ไปจากดินแดนจิตโลกาเหยียบย่างบนวิถี ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ หลังจากผ่านวันเวลาอันยาวนาน ตอนนี้กลับมา ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถกลายเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นได้สำเร็จ แต่พลังยุทธ์ของเขาถึงแม้ว่าจะไม่ก้าวหน้า ก็ยังแข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์อยู่ขั้นหนึ่ง
จักรพรรดิเซี่ย เมื่อ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ยังไม่กลับมา ก็จัดเป็นผู้มีพลังยุทธ์อันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกา ประมือเป็นระยะเวลาสั้นๆ ที่วังเทพจิตโลกาก็ต่อตีเสียจนบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้รับบาดเจ็บจนหลบหนีไป
ก็มีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะสั่งสอนบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้!
……
ที่ด้านนอกรัฐวายุโหม ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไกลออกไป เมื่อเห็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ระเบิดแสงสีทองอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาทำลายล้างทั่วทั้งปราการเมืองภายใต้ความวิปลาสและเดือดดาล จนสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดพลัดพรายแล้วก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านมิได้
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ จนใจที่มิได้ตัวข้า ก็ดึงผู้บริสุทธิ์มาพัวพันด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
พรึ่บ
แสงสีทองสลายตัวไป
บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนลอยตัวอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของหลุมขนาดมหึมาที่ใหญ่โตกว่าปราการเมืองในตอนแรกกว่าสิบเท่า ชุดคลุมสีดำพลิ้วไหว นัยน์ตาทั้งคู่ของเขากวาดมองรอบด้านด้วยความโกรธแค้นลุกโชน
บรรพชนราตรีนิรันดร์ขบกรามเอ่ยช้าๆ ทีละคำว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร กล้ารังแกมาถึงบนหัวของข้า ราตรีนิรันดร์ ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้รู้ถึงราคาของมัน! รอข้าก่อนเถิด เจ้าซ่อนตัวได้ไม่นานสักเท่าใดนักหรอก!”
เสียงของเขาสะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน
ใครก็สามารถรู้สึกได้ถึงความอาฆาตและแค้นเคืองในน้ำเสียงของบรรพชนราตรีนิรันดร์
จากนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็หายตัวไปกลางอากาศไปจากที่แห่งนี้ เหลือเอาไว้เพียงแค่หลุมบ่อขนาดใหญ่มหึมาอันหนาวเหน็บไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงความอาฆาตในน้ำเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของบรรพชนราตรีนิรันดร์ แต่เขาก็มิได้เห็นอยู่ในสายตา เดิมทีเขานึกอยากจะช่วยคน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้
เขาได้เห็นมามากมายเกินไปแล้ว
เพียงแต่ว่าถึงแม้พลังยุทธ์จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยังคงรู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอยู่ดี เพราะว่าถึงแม้จะเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เมื่อเผชิญหน้ากับการก่อหายนะของบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่ดี
“หากมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถจัดแจงกฎเกณฑ์สูงสุดได้ ข้าก็จะต้องบัญญัติ ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ ผู้ที่ทำบาปมหันต์ก็ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์” ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
สรรพชีวิตทั้งหมดทั้งมวลทั่วฟ้าดินล้วนมีความสมดุล
ก็ไม่สามารถปล่อยให้ผู้แกร่งกล้าก่อหายนะตามอำเภอใจได้ จำเป็นจะต้องบวกกับขีดจำกัดของกฎเกณฑ์ด้วย
“คิดไกลเกินไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ
บางทีไปถึงระดับขั้นอย่างหยวนและเจ้าเมืองหลัวนั้น ก็สามารถควบคุมโลกกำเนิด กำหนดกฎเกณฑ์ได้แล้วกระมัง
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างกลายเป็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งในทันใด
คราวนี้ค้นพบปราการเมืองสิบเก้าแห่ง ผู้รับผิดชอบโดยตรงก็คือจวินอ๋องดำและประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ เกี่ยวโยงกับบรรพชนราตรีนิรันดร์มากยิ่งกว่าเสียอีก! ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้…เป็นไปได้ว่าจะมิใช่เพียงแค่ปราการเมืองสิบเก้าแห่งเสียแล้ว
เขาจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง!
แน่นอนว่าการตรวจสอบกระบวนการการต่อสู้ ความรู้สึกอันตรายก็มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาแปดสายผสานรวมกัน ห่างจากเก้าสายผสานรวมกันไปถึงระดับขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียวเท่านั้น ยิ่งเดินเตร็ดเตร่ภายนอกมาก มีประสบการณ์การต่อสู้มากก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมากยิ่งขึ้น และร่างแยกหลักร่างอื่นๆ ของเขาต่างก็อยู่ระหว่างการปลีกวิเวกบำเพ็ญ มุ่งหน้าสู่ขั้นสุดยอดอย่างสุดกำลัง
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเตร็ดเตร่อยู่บนดินแดนจิตโลกาอย่างเงียบเชียบ ในขณะที่เสาะหาความลับเบื้องหลังอย่างต่อเนื่องอยู่นั้นเอง
ความวิปลาสของบรรพชนราตรีนิรันดร์ในครั้งนี้…เหนี่ยวนำให้เกิดความสนใจของเทพจักรวาลจำนวนมากทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากนี้พวกเขาก็ยังได้รับข่าวคราวอย่างรวดเร็วอีกด้วย
จวินอ๋องดำตายแล้ว!
พอจวินอ๋องดำตานไป ร่างแปรที่รับผิดชอบดูแลจัดการอยู่ตามที่ต่างๆ ก็มลายหายไปจนสิ้น เรื่องนี้ก็ย่อมไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้เรื่องที่จวินอ๋องดำห้ำหั่นกับชายหนุ่มเสื้อดำคนหนึ่งก็ถูกตรวจพบอย่างรวดเร็ว เพราะว่าผู้บำเพ็ญที่ได้เห็นการต่อสู้ในครั้งนั้นก็มีอยู่มากมาย
“จวินอ๋องดำตายแล้วหรือ ถูกยอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับคนหนึ่งสังหาร ดังนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์จึงได้คลั่งขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
อ้างอิงจากร่องรอยหลักฐานจำนวนมาก เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายบนดินแดนจิตโลกาก็อนุมานกันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มิได้โต้ตอบข่าวลือที่แพร่สะพัดของโลกภายนอกแต่อย่างใดเลย หรือว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็อยากจะอาศัยสิ่งนี้เสาะหาตัวตนของศัตรูเช่นเดียวกัน
“ถูกผู้ใดสังหารกันเล่า”
“จวินอ๋องดำ ยอดฝีมือระดับจอมเคารพก็ถูกสังหารเช่นนี้เองน่ะหรือ แม้กระทั่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไปช่วยไม่ทันเชียวหรือ”
ดินแดนจิตโลกาสั่นสะเทือน
แต่ละฝ่ายพากันวิพากษ์วิจารณ์ แม้กระทั่ง‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ ที่เป็นแหล่งรวมตัวของพญามารจำนวนหนึ่งก็อุทานอย่างตกใจกับสิ่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพญามารจำนวนมากก็เป็นเพียงแค่ระดับจอมเคารพเท่านั้น กล้ายั่วยุบรรพชนราตรีนิรันดร์ กล้าสังหาร ‘จวินอ๋องดำ’ ยอดฝีมือที่น่าหวั่นเกรงผู้นี้สามารถทำให้พวกเขามองอย่างตกตะลึงได้เลยทีเดียว
“เป็นผู้ใดกัน”
“เป็นใครกันที่ลงมือสังหาร”
การคาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนใหญ่ล้วนคาดเดาว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานสักคนหนึ่งลงมือ
……
มีเพียงบุคคลผู้ไร้เทียมทานของรัฐโบราณคิมหันตวายุสามท่านและมหาเคารพซือเทียนที่มีการคาดการณ์บางอย่าง
“เจ้าเด็กผู้นี้มีพลังยุทธ์เช่นนี้ ได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศไปแล้วก็ถึงกับสามารถสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จเลยเชียวหรือ” จักรพรรดิเซี่ยตกใจอยู่บ้าง นี่ออกจะเหนือกว่าจินตนาการของเขาอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ คาดว่าจะนับได้ว่ามีระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในบรรดาจอมเคารพ ย่อมมิได้คิดอยู่แล้วว่า…ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเทียบเคียงได้กับมหาเคารพฝูอี่เลยทีเดียว
ระดับอย่างมหาเคารพฝูอี่นี้ก็มิใช่สิ่งที่สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่ร้ายกาจยิ่งสักชิ้นหนึ่งจะสามารถทำได้สำเร็จ ร่างกายมีความสำคัญยิ่งกว่า
เขาจะรู้เสียที่ไหนกันว่าตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้เจ็ดกระบวนคละถิ่น แม้ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ร่างแยกทุกร่างต่างก็สามารถแสดงพลังรบระดับสุดยอดออกมาได้แล้ว
“เขาได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศแล้วยังให้ซือเทียนเก็บเป็นความลับ คิดไม่ถึงว่าจะลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้” บรรพชนฝานได้รับข่าวแล้วก็ทอดถอนใจ
และที่คีรีมารสกุลฝาน
มหาเคารพซือเทียนตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขาเหยียบย่างห้วงอากาศมาถึงใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตขนาดมหึมา
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ซึ่งก็คือร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง
“น้องเฟยเสวี่ย” มหาเคารพซือเทียนรำพึงในทันใด “นับถือ นับถือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสังหารจวินอ๋องดำผู้นั้นได้สำเร็จจริงๆ เสียด้วย”
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา
“ก็เขามันสมควรตายอยู่แล้วนี่!”
……………………………………………….