Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 17 ฟองอนันต์มลายสูญ
ณ คุกมืดในรัฐเฉินฟ่าน
“ท่านอาจารย์ ประชากรระดับล่างอีกชุดหนึ่งถูกส่งตัวมาแล้วขอรับ” ชายชราผู้หนึ่งทักทายด้วยความเคารพพลางมองชายวัยกลางคนอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินอุ่นตรงหน้าด้วยความนับถือ
ดูเหมือนว่าระดับสูงทั่วทั้งรัฐเฉินฟ่านต่างก็หวั่นเกรงประมุขรัฐผู้นี้กันเป็นอย่างยิ่ง
ช่วยไม่ได้ ประมุขรัฐก็คือผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง! ภายในรัฐเฉินฟ่าน ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ แต่ละคนก็ได้แต่ทำตามวาจาอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
“โอ้” ประมุขรัฐเฉินฟ่านลืมตาแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “คราวนี้ได้มาขวดหนึ่งแล้วกระมัง”
“ได้มาแล้ว” ชายชราตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่บ้าง
“เช่นนั้นก็ไปจัดการเสียสิ!” ประมุขรัฐเฉินฟ่านเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ขอรับ”
ชายชราจากไปอย่างเชื่อฟัง
ประมุขรัฐเฉินฟ่านแย้มยิ้มอย่างเยียบเย็น เขาไม่เห็นมารโง่เง่าเหล่านั้นอยู่ในสายตาเลย เหล่ามารต้องการสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไปเป็นทรัพยากรการบำเพ็ญเพื่อเส้นทางการบำเพ็ญของแต่ละคน แต่การสังหารหมู่ประชากรมากจนเกินไป ในที่สุดแล้วอาจดึงดูดความสนใจของบรรดาเทพจักรวาลที่แกร่งกล้าจำนวนน้อยบางส่วนขึ้นมาได้
“ผู้บัญชาการรัฐประเทศแห่งหนึ่งอย่างข้า ด้วยกฎเกณฑ์ของรัฐประเทศ เก็บเกี่ยวสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ ลดผลกระทบให้ต่ำที่สุด แล้วไล่ตามจักรพรรดิเทพผลาญโลกาอีกครั้ง… ทำได้อย่างสบายเหลือเกิน สบายกว่ามารเหล่านั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ประมุขรัฐเฉินฟ่านค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง
……
ทว่าชายชราผู้นั้นกลับมาถึงยังชั้นหนึ่งในคุกมืด ทั่วทั้งคุกมืดคือสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ทุกชั้นต่างก็กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบ ด้านในคุมขังประชากรผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
ชายชรามองไปปราดหนึ่ง ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชั้นนี้ต่างก็เป็นผู้ที่มิได้สำเร็จเป็นวิญญาณเทพภายในยี่สิบปี พวกเขาต่างก็ยังเยาว์วัยกันเป็นอย่างยิ่ง เพิ่งจะเกิดมาเกินยี่สิบปีได้ไม่นานเท่าไหร่ อายุอานามเช่นนี้… สำหรับประชากรดินแดนจิตโลกาแล้ว ชีวิตก็เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง
“แกร่งกล้าเหลือเกิน”
“เป็นผู้แกร่งกล้าที่ประมุขรัฐส่งมาใช่หรือไม่”
“เขาจะมาสั่งสอนพวกเรา ขัดเกลาพวกเรา และเลือกผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดจากในบรรดาพวกเราอย่างนั้นหรือ” บรรดาเด็กวัยเยาว์เหล่านี้ได้เห็นชายชราที่มาเยือน ชายชราเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน กลิ่นอายที่แผ่ออกมาแผ่ไพศาลราวกับทะเลเมฆอันไร้ซึ่งขอบเขต…สำหรับเหล่าชีวิตเหนือธรรมดาที่มิได้เป็นแม้กระทั่งวิญญาณเทพ ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนกันเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็มีความคาดหวัง
พวกเขาคาดหวังว่าจะสามารถเป็นผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดแล้วสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้
“น่าสงสารเสียจริง พวกเขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องถูกสังหารหมู่กันหมดนั่นแหละ” ชายชราลอบส่ายศีรษะ นานๆ ทีประมุขรัฐจึงจะเหลือเอาไว้สักชุดหนึ่ง ให้พวกเขาขัดเกลาบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เพื่อให้โลกภายนอกคิดว่าแต่ละชุดล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
เกือบทั้งหมด แม้กระทั่งโอกาสดิ้นรนก็ยังไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ สังหารหมู่เสียจนหมดสิ้น!
“ใครใช้ให้พวกเจ้าอ่อนแอกันเองเล่า” เป็นถึงศิษย์ที่ท่านประมุขรัฐมอบความไว้วางใจให้ ชายชราก็เคยชินกับเรื่องนองเลือดเช่นนี้ไปเสียแล้ว เขาทำเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตได้อย่างงดงาม ท่านประมุขรัฐจึงได้ให้ความสำคัญกับเขา จึงได้ให้ผลประโยชน์ต่างๆ นานากับเขา
ชายชราหยิบเอาขวดสีแดงเข้มใบหนึ่งออกมา
“ผู้อาวุโสท่านนี้กำลังทำอะไรน่ะ”
“ขวดใบนี้คือสิ่งใดกัน”
เด็กวัยเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มองดูขวดสีแดงเข้มซึ่งดูไม่ธรรมดาเช่นกันขวดหนึ่งที่ผู้แกร่งกล้าที่แผ่กลิ่นอายอันไพศาลไร้ที่สิ้นสุดผู้นั้นหยิบออกมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บ้าง
ในขณะนี้พวกเขามิได้ล่วงรู้เลยว่านั่นมีความหมายเช่นไร!
“ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเฉินฟ่านมีเพชฌฆาตอยู่สามคนที่ได้รับความสำคัญจากเขาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นหนึ่งในนั้นกระมัง” เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางห้วงสมองของชายชราในทันใด ชายชราถลึงตามองปราดหนึ่ง เงารางของนิ้วมือสายหนึ่งจากความว่างเปล่าขยับบนร่างเขา ร่างกายของชายชราก็สลายกระจายไปราวกับเถ้าธุลี สิ้นชีพไปในทันที แม้กระทั่งขวดสีแดงเข้มก็ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
……
ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังคุกมืด แล้วก็มาถึงตรงหน้าประมุขรัฐเฉินฟ่าน
“เจ้าเป็นใครกัน” ประมุขรัฐเฉินฟ่านสีหน้าแปรเปลี่ยน มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้ไม่คุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้เพิ่งจะสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ตรงมาถึงยังที่แห่งนี้แล้ว! เพียงแต่กลิ่นอายไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงแค่กลิ่นอายขั้นอลวนเท่านั้นเอง
“บังอาจยิ่งนัก กล้าบุกรุกเข้ามายังที่ของข้าเชียวหรือ” ประมุขรัฐเฉินฟ่านสีหน้าเคร่งขรึม บริเวณโดยรอบเริ่มมีเสียงทำนองเพลงดังขึ้นรางๆ เสียงทำนองเพลงก็ลอยเข้าสู่โสตประสาทของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ตัวเองเดิมทีก็เป็นยอดฝีมือที่วิถีเขตลวงโลกเทียมไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว วิญญาณก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าขั้นสุดยอดอยู่มากพอสมควร ตงป๋อเสวี่ยอิงจะไปสนใจเคล็ดเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ นี้เสียที่ไหนกัน
“หืม” ประมุขรัฐเฉินฟ่านตกตะลึง ขั้นอลวนคนหนึ่งถึงกับต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ
“ประมุขรัฐเฉินฟ่าน ท่านปกครองรัฐประเทศแห่งนี้ แต่กลับสังหารหมู่ประชากรเกิดใหม่กว่าครึ่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจนหมดสิ้น สังหารหมู่มากมายเช่นนี้ก็ไร้ซึ่งขอบเขตราวกับภูเขา ราวกับมหาสมุทร ตรงจุดนี้ท่านก็มิได้สนใจเลยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
ต่อให้เป็นการสังหารมดปลวกมากมายเช่นนี้ก็ต้องหัวใจสั่นไหวบ้างกระมัง
ประมุขรัฐเฉินฟ่านแย้มยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้าต้องสนใจอยู่แล้ว สหายผู้นี้เอ๋ย บนเส้นทางการบำเพ็ญ มดปลวกพวกนั้นก็เป็นหินกรวดที่ขัดแข้งขัดขาข้า สามารถทำให้การเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญไกลขึ้นได้ พวกเขาตายได้อย่างคุ้มค่ายิ่งนัก ข้าใส่ใจพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังซาบซึ้งในตัวพวกเขาด้วยเช่นกัน หากไม่มีพวกเขา…แล้วข้าจะสามารถเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญมาได้ไกลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน วิถีมีความแตกต่าง สหายก็ควรจะเข้าใจด้วย”
“ในวิถีของข้า ทำเช่นเจ้านี้ก็คือมารแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
พร้อมกันนั้นเขาก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ผลาญสังหารสามเพชฌฆาตแห่งคุกมืดในทันที! ข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้บันทึกเกี่ยวกับสามเพชฌฆาตนี้เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดเดียวก็เห็นผลกรรมบาปมหันต์บนร่างของพวกเขาสามคนแล้ว
“และมาร ก็สมควรตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือแล้ว
พรึ่บๆๆ…
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเก้าคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน แต่ละคนยื่นนิ้วมือออกมาแล้วขยับไปทางด้านหน้าเล็กน้อย
ประมุขรัฐเฉินฟ่านค้นพบด้วยความตื่นตระหนกว่าห้วงมิติบริเวณรอบๆ อลหม่าน ฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นภายในโถงตำหนักขนาดเล็กแห่งนี้ ฟองอากาศทุกฟองต่างก็อยู่ที่ห้วงมิติที่แตกต่างกัน จากนั้นฟองอากาศก็เริ่มแตกสลายตามการชี้นิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งเก้าคน ฟองอากาศแต่ละฟองแตกสลายอย่างต่อเนื่องกัน… ตอบสนองต่อกันราวกับลูกโซ่ แตกสลายมากขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพของการแตกสลายก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ในที่สุดก็รวมตัวกันมาถึงบนร่างของ ‘ประมุขรัฐเฉินฟ่าน’ ไปสู่มหาวินาศในท้ายที่สุด
โพละ!
ฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองสุดท้ายล้อมรอบห้วงมิติของประมุขรัฐเฉินฟ่านเอาไว้ พลังแหลกสลายจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันมาถึงฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองสุดท้ายแล้วแหลกสลายไปในทันที
พูดไปก็มากความ ความจริงแล้วเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น!
ประมุขรัฐเฉินฟ่านทำได้ทันเพียงแค่สะบัดฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น แต่มิอาจทลายเปิดฟองอากาศขนาดใหญ่ที่สุดที่ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ได้ ในที่สุดก็เกิดการแตกสลายกระจัดกระจายของฟองอากาศ
ฟองอากาศแตกสลายกระจัดกระจาย ประมุขรัฐเฉินฟ่านก็แตกสลายกระจัดกระจายไปพร้อมกัน
ร่างกายก็แหลกสลายกระจุยกระจาย เถ้าธุลีปลิวว่อน
ประมุขรัฐเฉินฟ่านตายแล้ว!
‘ฟองอนันต์มลายสูญ’ หนึ่งในสามท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหิน
กระบวนท่าที่ดูเหมือนแววสังหารจะเบาบางอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการป้องกันที่ไม่ขึ้นกับอาภรณ์หรือวัตถุภายนอก เป็นท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายโดยตรง แต่เพราะว่าเพียงแค่จัดการยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งเท่านั้น อีกฝ่ายมิได้มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าแต่อย่างใด ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิได้ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ร่างแยกทั้งเก้าของเขาทุกร่างแยกต่างก็มีพลังรบขั้นสุดยอด เก้าร่างร่วมมือกันสำแดงท่าไม้ตายก็เพียงพอสำหรับการสังหารเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากใช้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพโดยทั่วไปต่างก็ต้องต้านทานไม่ไหวจนสิ้นชีวิตไป
“เหตุต้นผลกรรม มิใช่ไม่รายงาน เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น เมื่อใดที่ถึงเวลาก็คือเวลาตายของท่านแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง เมื่อใดที่พลังยุทธ์ของเขาเพียงพอก็นับว่าถึงเวลาแล้ว
……
ประมุขรัฐเฉินฟ่านสิ้นชีพแล้ว
ผู้ใดสังหารนั้นก็ยังคงเป็นปริศนา! เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของดินแดนจิตโลกามีความสงสัยไม่เข้าใจในสิ่งนี้ ดีร้ายอย่างไรนี่ก็เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็หมดไปง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ
ถึงแม้ว่าขุมอำนาจแต่ละฝ่ายก็นึกอยากจะสะกดรอย และย้อนเวลาตรวจสอบ แต่ก็ตรวจหาไม่พบกันทั้งสิ้น! เมื่อใดที่สัมผัสแตะต้องไปถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น ต่างก็ถูกรบกวน มิอาจตรวจสอบดูได้ทั้งสิ้น
ทว่าพร้อมกันกับที่ ‘ประมุขรัฐเฉินฟ่าน’ และสามเพชฌฆาตใต้บังคับบัญชาผู้มีประสิทธิภาพมากที่สุดของเขาตายไป คุกมืดก็หายลับไปในทันทีนับแต่บัดนั้น ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในนั้นก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา เพราะว่าภายในรัฐเฉินฟ่านนั้นถึงแม้ว่าจะมีคนอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างร้ายกาจ แต่ก็มิกล้าทำดังเช่นประมุขรัฐเฉินฟ่าน! กล้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้ ก็ต้องมีพลังยุทธ์ให้พึ่งได้
ถึงแม้ว่าประมุขรัฐเฉินฟ่านจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง ตอนนี้ก็มิใช่ว่าเอาชีวิตไปทิ้งแล้วเช่นกันหรือไร
นับแต่นั้นมารัฐเฉินฟ่านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่! เหนี่ยวนำความกระหายที่จะครอบครองของเทพจักรวาลบางส่วนมา ถึงอย่างไรก็เป็นรัฐประเทศชั้นรอง ผู้แกร่งกล้าที่มีอยู่เดิมในรัฐเฉินฟ่านก็ไม่มีสิทธิ์บัญชาการรัฐประเทศแห่งนี้
……
ข่าวสารก็ถูกส่งไปถึง ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกานั้นแล้ว
“ฝ่าบาทจักรพรรดิเทพพ่ะย่ะค่ะ ประมุขรัฐเฉินฟ่านสิ้นชีพแล้ว มิอาจหาตัวฆาตกรได้พบ ภาพเหตุการณ์การต่อสู้ในตอนนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นเลยขอรับ” มีผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง
เขาสวมชุดเกราะสีดำสนิทตลอดร่าง ร่างกายแข็งแกร่งดุจหินผา นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง มองต่ำลงมายังเบื้องล่าง พูดถึงความทระนง… จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่โอหังที่สุดคนหนึ่งในทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา! ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลานุภาพแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งด้วย! เส้นทางการบำเพ็ญของเขาทำให้เขามีคุณสมบัติของความทระนงและแข็งแกร่ง
“โอ้ น่าสนใจทีเดียว ตรวจสอบหน่อยเถิด ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เค่อชิงใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของข้า แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าใครเป็นคนทำ” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาเอ่ยอย่างสบายใจ
“ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยอย่างเคารพ
ทันใดนั้น…
เงาร่างสายหนึ่งรวมตัวกันเกิดขึ้นมาที่ด้านข้าง ก็คือชายชราอาภรณ์เงินท่าทีอ่อนโยนคนหนึ่ง
“ผู้พเนจรหรือ” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างๆ ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกใจ ชายชราอาภรณ์เงินผู้นี้ก็คือ ‘ผู้พเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชน
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาโบกมือ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ร่นถอยไปในทันที
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาอมยิ้มมองชายชราอาภรณ์เงินที่อยู่เบื้องล่าง “เหตุใดท่านจึงมาหาข้าที่นี่เล่า”
“ผลาญโลกา ข้าต้องการเม็ดทรายอลวนสักหน่อย” ผู้พเนจรพูด “เจ้าขายให้ข้าเถิด”
“ฮ่าฮ่า…เม็ดทรายอลวนหรือ พูดถึงเม็ดทรายอลวน เจ้าก็มีอยู่มากที่สุดในบรรดาพวกเราห้าคนแล้วกระมัง ต่อให้ขาดแคลนเม็ดทรายอลวนไปสักเล็กน้อย ตัวเจ้าเองใช้เวลาสักหน่อย สะสมให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว จะมาหาซื้อเม็ดทรายอลวนกับข้าทำไมกัน” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาถามอย่างตกใจ
ผู้พเนจรส่ายศีรษะเบาๆ “มีประโยชน์อยู่บ้าง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว”
“เอาล่ะ เจ้าต้องการก็ยกให้เจ้าแล้วกัน” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาพยักหน้า
……………………………………………..