Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 29 เดินออกจากทางเส้นนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นฝ่ามือออกไป ฝ่ามือดูเลือนราง ภายในมีน้ำวนถือกำเนิดขึ้นมา กลางน้ำวนมีพลังคละถิ่นปรากฏขึ้น น้ำวนนี้กำลังหมุนคว้างอยู่ ราวกับระลอกคลื่นที่โหมซัดและบีบอัดอย่างต่อเนื่อง
ระลอกคลื่นนับพันนับหมื่นโหมซัด ภายในยังมีคลื่นใต้น้ำซัดสาดอีกด้วย
พละกำลังมากมายบ้างก็บีบอัดเข้ามา บ้างก็โอบล้อม บ้างก็กดดัน…
เป็นการจำลองการรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงขณะท่องไปในมิติชั้นสูงยิ่งกว่าออกมา ซึ่งนี่เป็นการใช้การรับรู้เจ็ดกระบวนคละถิ่นและวิถีอากาศอย่างที่สุดของเขาแล้ว! เป็นกระบวนท่าที่เขาพึงพอใจมากอย่างแท้จริง แม้จะมีท่าไม้ตายเพิ่มขึ้นมาอีกท่าหนึ่ง ซึ่งขณะต่อสู้นั้นท่าไม้ตายจำพวกบริเวณจะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก แต่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจ ก็เพราะสามารถสัมผัสได้ว่า ค้นคว้า ‘วิถีอากาศ’ ได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นแล้ว
การยกระดับขั้นนั้น ฟังดูเหมือนจะลึกลับมาก
แต่อันที่จริงแล้วตนสามารถสัมผัสได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แปดสายหลอมรวมกัน ห่างจาก ‘ขั้นสุดยอด’ เพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่เพราะขาดไปนิดเดียวเท่านี้นั่นเอง ทำให้แม้ขั้นสุดยอดจะอยู่ตรงหน้า ก็เลือนรางราวกับค้นบุปผากลางหมอก
ทุกครั้งที่ระดับขั้นยกระดับขึ้นไป ก็เหมือนกับทำให้ ‘หมอก’ บางส่วนกระจายตัวไป! ทำให้ตนมองเห็นบางส่วนในนั้นได้อย่างชัดเจน
“เมื่อฝึกกระบวนท่านี้สำเร็จ ข้ารู้สึกว่าข้าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เข้าใกล้ขั้นสุดยอดมากขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว!”
“เพียงแต่การฝึกกระบวนท่านี้ให้สำเร็จ ก็ได้ทุ่มเทการรับรู้ในช่วงเวลานี้ทั้งหมดไปแล้ว คิดจะยกระดับขึ้นอีกในช่วงสั้นๆ กลับกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว”
“แต่ข้าจะสิ้นเปลืองเวลาเช่นนี้ไม่ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
หากเป็นการบำเพ็ญตามปกติ หลังการสั่งสมอย่างยาวนานก็จะบรรลุ จากนั้นก็ใช้เวลามากขึ้นในการสั่งสม! อย่างการปะทะขั้นสุดยอดนั้น…ยากมากอยู่แล้ว จะต้องสั่งสมครั้งแล้วครั้งเล่า และบรรลุครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อการบรรลุไปถึงขั้นแน่นหนาหาใดเปรียบแล้ว จึงสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ตามธรรมชาติ! ถึงเวลานั้น สำหรับเขาแล้วก็จะสิ้นความกังขาเรื่องวิถีอากาศ!
ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรือมหาเคารพฝูอี่ก็ล้วนแต่ติดอุปสรรคอยู่ มิอาจบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แต่การจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้ก่อนโลกกำเนิดบ้านเกิดจะแตกสลายนั้น ก็ยังคงยากเสียยิ่งกว่ายากอยู่ดี
“ใช้บุปผาโลกาอีกสักดอกดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ตอนนี้เมื่อหวนนึกไป
ตอนอยู่ในวังเทพจิตโลกา เขาใช้บุปผาโลกาต่อเนื่องกันอย่างฟุ่มเฟือยนัก ทว่าเมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว เขาได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นมา ทั้งยังมีวิธีหลอมอาวุธคละถิ่นที่เข้ากันได้ดีแนบมาด้วย เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว! เพราะถึงอย่างไรเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งวิชานี้ก็ทำให้ตนเข้าใจวิถีอากาศได้ลึกล้ำอย่างยิ่ง เพราะ ‘วิถีอากาศ ผสานกับ พลังคละถิ่น’ ตัวมันเองก็เป็นการใช้งานวิถีอากาศที่ซับซ้อนอย่างยิ่งอยู่แล้ว
……
ณ บ้านเกิด บุปผาโลกาดอกหนึ่งเบ่งบาน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปในนั้นเพื่อสัมผัสทุกสิ่ง
……
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญนั้น บางครั้งก็จะออกมา ‘สังหารมารร้าย’ บ้าง
ขอแค่มีมารร้ายบังอาจเข่นฆ่า สร้างหายนะตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะไม่อ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
ภายในรัฐโบราณสหโลกา ณ ตำหนักใต้ดินของจวนอันหรูหราในตัวเมิองใหญ่แห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายนั่งขัดสมาธิอยู่ ตรงหน้าวางขวดสีดำขวดหนึ่งเอาไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ภายในขวดสีดำพลันมีวิญญาณจำนวนมากลอยออกมา แล้วก็ถูกชายหนุ่มผู้นี้สูดเข้าปากไป
“อื้ม ‘ไฟผลาญสามกัลป์’ ของข้าจวนจะฝึกสำเร็จแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเผยรอยยิ้มออกมา เขาอ้าปากสำรอกออกมาเบาๆ ก็มีเปลวเพลิงสีดำลอยออกมา กลิ่นอายชั่วร้ายคลุ้งคาวเลือดแผ่กำจายออกมา
“เป็นเพราะเจ้าคนวิถีจิตฟ้านั่นที่คุกคามไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ข้าต้องเก็บรวบรวมวิญญาณเหล่านี้อย่างระมัดระวังถึงเพียงนี้ ระดับขั้นของข้าเพียงพอแล้ว ขาดแต่เพียงวิญญาณเท่านั้นเอง” นัยน์ตาของชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายฉายแววโกรธเกรี้ยว แม้จะโกรธเกรี้ยว แต่เขาก็ไร้หนทาง คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของตระกูล แม้จะแข็งแกร่งกว่าคนวิถีจิตฟ้า แต่กลับยากที่จะโจมตีสังหารได้
อาจารย์ของเขาออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดมานานแล้วว่า ให้เขาอดทนเอาไว้ก่อนชั่วคราว
แต่ความปรารถนาที่จะทำให้พลังยกระดับขึ้นไปนั้น ก็ทำให้เขายังคงลอบเก็บสะสมวิญญาณด้วยความระมัดระวัง
“เหิมเกริมถึงเพียงนี้ จะต้องอยู่ได้ไม่ยืดแน่ ในภายหน้าเขาต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเกลียดชังคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นมากเช่นเดียวกับมารร้ายทั่วไป เพียงแต่พวกเขาล้วนไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์ด้วยก็เท่านั้นเอง
“ฟึ่บ”
รอยแยกสีดำกะพริบวาบคราหนึ่ง
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นภายในโถงตำหนักใต้ดินแห่งนี้
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวปรากฏกายขึ้นมา ราวกับน้ำแข็งถังหนึ่งรดลงบนศีรษะ เขามองดูอย่างตกตะลึง ใจก็สั่นไหว แข้งขาก็อ่อนยวบ สีหน้าก็ซีดขาว
“จิต จิต จิตฟ้า…” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายตื่นตะลึงเหลือแสน
คนวิถีจิตฟ้า
เพียงคนเดียวก็มีอานุภาพกดดันขุมอำนาจมารร้ายทั้งหมดในดินแดนจิตโลกาแล้ว!
เขาเอาชนะมารร้ายขั้นสุดยอดผู้ไร้เทียมทานอย่าง ‘ประมุขเกาะจันปา’ ได้
‘จวินอ๋องดำ’ แห่งรัฐโบราณสหโลกาก็น่าสงสัยว่าจะสิ้นใจด้วยน้ำมือของเขา
แม้ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายผู้นี้จะเคืองแค้นและเต็มไปด้วยความอาฆาต แต่เมื่อมองเห็น ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ความอาฆาตก็มลายหายไปจนสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นเท่านั้น! น่ากลัวเกินไปแล้ว! ผู้ทรงอิทธิพลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่เก้าอย่างเขาคนหนึ่งไหนเลยจะรับมือได้
“คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้เจ้าทำร้ายสิ่งมีชีวิตมากมายถึงเพียงนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูขวดหยกสีดำนั้นแวบหนึ่ง วิญญาณภายในขวดมีนับพันล้านดวง เกรงว่าที่ถูกเขาทำร้ายคงจะมีมากมายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพียงแต่วิธีการเร้นลับเกินไป แม้แต่เครือข่ายข่าวสารองสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็เพิ่งจะตรวจสอบพบ ทั้งยังเป็นเพราะนางผู้เป็นที่รักของศิษย์ขั้นรวมเป็นหนึ่งของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์คนหนึ่งถูกสังหาร เขาจึงตามหาศัตรูคู่แค้นมาตลอด จึงได้พบความจริงเข้า!
“ข้าเป็นคนสกุลฉื้อ เจ้าจะสังหารข้ามิได้” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายตะโกนก้อง
“ตายเสียเถอะ”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายเย็นวาบ
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเบิกตากว้าง นัยน์ตาแฝงแววตื่นตระหนกเอาไว้ ทั้งสำนึกเสียใจและไม่ยอมจำนน เขาไม่อยากตาย ไม่อยากตายจริงๆ! เขายังอยากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลอยู่นี่นา ในฐานะลูกหลานคนหนึ่งของสกุลฉื้อ เขาสร้างหายนะทั่วทิศตามอำเภอใจ วันคืนที่ทำตามใจตนเองอย่างสุขอุรานั้น เขายังอิ่มเอมกับมันไม่พอเลย
ปัง
ร่างกายของเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป
“เฮ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางขวดหยกสีดำนั้น แล้วถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บขวดหยกลงไป ที่นี่อยู่ในขอบเขตอำนาจของสกุลฉื้อ เขาจะปลดปล่อยคนที่น่าสงสารเหล่านี้ออกมา ก็ให้พ้นจากรัฐโบราณสหโลกาไปก่อนเถิด
เพียงหนึ่งชั่วลมหายใจให้หลัง
“คนวิถีจิตฟ้า!” เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าทั้งตัวเมือง สกุลฉื้อเป็นตระกูลที่สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ซึ่งแตกต่างจากผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคิมหันตวายุซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วไป ห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกาล้วนแต่เป็นผู้มาจากภายนอกที่อาศัยจิตโลกากลับชาติมาจุติ ตระกูลใหญ่ที่วิวัฒน์ขึ้นมาที่นี่อย่างแท้จริงมีเพียงสองตระกูลเท่านั้น
ตระกูลสกุลฉื้อ เป็นถึงหนึ่งในสองตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณสหโลกา
ขุมอำนาจเช่นนี้…
กลับปล่อยให้คนวิถีจิตฟ้าบุกสังหารเข้ามาภายในรัฐโบราณสหโลกาและสังหารลูกหลานคนสำคัญของพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ นี่มิใช่การท้าทายคนทั้งสกุลฉื้อหรือไร
“ลูกหลานสกุลฉื้อเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตไปนับล้านล้านชีวิต ในเมื่อเป็นมาร เช่นนั้นข้าก็จะสังหารเช่นกัน!” เสียงหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟากฟ้าเหนือตัวเมือง จากนั้นคนวิถีจิตฟ้าก็จากไป
……
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
คนวิถีจิตฟ้าโหดเหี้ยมมากอย่างแท้จริง
ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังใหญ่โตเพียงไหน หากกล้าสร้างหายนะตามอำเภอใจก็ต้องถูกสังหารหมดโดยไม่ละเว้น!
เขาสังหารเสียจนทำเอาคนสำคัญของขุมอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ สั่นสะท้านขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ผ่านมาพวกเขาจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงขั้นทำร้ายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อ ‘เอาสนุก’ เท่านั้น! หรือถึงขั้นทำการทดลองกระบวนท่าหรือทำการประลองบางอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ จำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่สนใจเลย เหมือนกับเหยียบมดปลวกตายไปอย่างไรอย่างนั้น
บัดนี้พวกเขาล้วนแต่ได้รับคำสั่งอันเข้มงวด! บวกกับที่คนวิถีจิตฟ้าบุกสังหารออกมาจนชื่อเสียงกระฉ่อน คนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณจึงพากันเก็บเนื้อเก็บตัวขึ้นเป็นอันมาก
*******
ณ นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“ท่านอาจารย์ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบประมุขรัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่งกำไลข้อมือสีทองวงหนึ่งมาให้พลางพูดยิ้มๆ ว่า “เสวี่ยอิง ของล้ำค่าที่เจ้าต้องการเหล่านี้ แม้แต่ละอันจะมิได้นับว่าได้มายากนัก แต่ถึงอย่างไรจำนวนก็มากเกินไป ข้าใช้เวลาไปแปดสิบกว่าล้านปีจึงสามารถเก็บรวบรวมได้ครบ”
“อีกไม่นานแล้ว เร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาเข้าใจดีมากว่า ของล้ำค่าเหล่านี้เรียกว่าหาได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับ ‘เม็ดทรายอลวน’ แต่ถึงอย่างไรก็ซับซ้อนอยู่ดี เครือข่ายสายสัมพันธ์ของตนนั้นสู้ท่านอาจารย์มิได้ นอกจากนี้ก่อนจะขายสมบัติลับระดับยอดสุดออกไป นอกจากจะใช้มหาคุณูปการแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าจำนวนมากในรัฐโบราณคิมหันตวายุมา มิเช่นนั้นแล้วเขาก็คงไม่มีผลึกแก้วจักรวาลมากพอจะซื้อไหว
เม็ดทรายอลวนนั้นได้มาจากการเจรจาตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ
ส่วนวัสดุอื่นๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ค่อยอยากจะเก็บรวบรวมจากที่นั่นสักเท่าใดนัก! แม้จะกล่าวว่าเมื่อไม่มีเคล็ดวิชาหลอมแปร เขาเชื่อว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยเพียงแค่ดูจากรายการวัสดุก็มองอะไรไม่ออก แต่ก็ยังคงไม่อยากให้เกิดอุปสรรคอะไรขึ้นมา
“ในที่สุดก็ครบเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบกำไลสีเงินขึ้นมา แล้สัมผัสรับรู้วัสดุภายในทั้งหมด จากนั้นก็ตรวจดูรอบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
ครบหมดแล้ว
ในที่สุดก็สามารถเริ่มหลอมแปรอาวุธคละถิ่นได้แล้ว!
“เสวี่ยอิง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยขึ้น “หลายปีมานี้ เจ้าอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าสังหารมารร้ายเหล่านั้นก็นับว่าระมัดระวังดีอยู่ แต่เมื่อทำเช่นนี้ ท้ายที่สุดเจ้าก็สร้างความแค้นมากขึ้นทุกทีๆ! แม้แต่ลูกหลานตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณเจ้าก็ไม่ละเว้น คู่แค้นมากขึ้นทุกทีๆ ตัวตนของเจ้ายังไม่ถูกเปิดโปงก็ยังดี หากเปิดเผยออกมาเมื่อไหร่ เจ้าก็คงมีศัตรูเกลื่อนโลกไปหมดแล้ว”
“ไหนเลยจะนับได้ว่ามีศัตรูเกลื่อนโลกเล่าขอรับ พูดได้เพียงว่ามารร้ายเป็นศัตรูของข้าหมดก็เท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มเจื่อน “ต่อให้มีศัตรูมากกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า แม้จะมีเป็นสิบล้านคน ข้าก็จะมุ่งหน้าต่อไป! นอกจากนี้มารร้ายก็รู้จักกลัวเช่นกัน เมื่อฆ่าจนพวกมันกลัวกันหมดแล้ว พวกมันก็ไม่กล้าทำชั่วแล้วล่ะขอรับ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าเบาๆ
ตัวเขาเองออกจะหวั่นเกรงอันตรายที่ศิษย์จะต้องเผชิญอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์มีใจแน่วแน่เป็นอันมาก
และบัดนี้บรรดามารร้ายในดินแดนจิตโลกาก็ถูก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ เพียงคนเดียวคุกคามเข้าแล้วจริงๆ!
“เจ้าระวังเอาไว้เถิด ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ ดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ใดสามารถทำให้พวกเขาคร้ามเกรงไปตลอดกาลได้อย่างแท้จริงเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเตือน
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอกขอรับ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีผู้ทำได้มาก่อนก็ตาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “แต่เส้นทางก็มีคนเป็นผู้เดิน! ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนแรกที่เดินบนทางเส้นนี้”