Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 40 บริเวณปกคลุม
สวบๆๆๆๆ…
ในยามนี้
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาล มีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏกายขึ้นตามสถานที่ต่างๆ บ้างก็อยู่กลางท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอลหม่าน บ้างก็อยู่ข้างจักรวาลแห่งหนึ่ง บ้างก็ท่องไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่ทว่า บัดนี้อันตรายที่กำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่านตามธรรมชาตินั้นทำอะไรร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้สักร่างแล้ว
ด้วยผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของเขาในตอนนี้ ก็ย่อมมีร่างแยกนับหมื่นเป็นธรรมดา! ที่ประจำการอยู่ในโลกทิพย์ทั้งสี่ ก็แค่ร่างแยกสี่ร่างเท่านั้น
ร่างแยกที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งที่หลงเหลืออยู่อีกห้าร่าง ตงป๋อเสวี่ยอิงสลายวิญญาณบางส่วนเองเพื่อทำให้อ่อนแอลง เนื่องจากบัดนี้พลังของเขายังคงถูกกฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดบ้านเกิดของตนจำกัดเอาไว้
ร่างแยกนับหมื่น วิญญาณของแต่ละร่างค่อนข้างอ่อนแอ แต่ระดับขั้นกลับเหมือนกันหมด
อาศัยระดับขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง ร่างแยกแต่ละร่างล้วนแข็งแกร่งจนมีพลังระดับเทพจักรวาลเลยทีเดียว
“วิ้ง”
พลังระดับนี้มิอาจสำแดงท่าไม้ตายอันซับซ้อนของยุทธวิธีหิมะเหินออกมาได้ สำแดงได้เพียงกระบวนท่าจำพวกบริเวณที่เคี่ยวกรำในช่วงต้นเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวที่อ่อนแอคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน
อณูทรงกลมหมอกดำของแก่นห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมเอาไว้ เขามิได้ต้องการท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นอย่าง ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ เขาต้องการเพียงให้บริเวณที่ปลดปล่อยออกมากว้างขวางพอเท่านั้น! ร่างแยกแต่ละร่างล้วนแต่สำแดงบริเวณออกมาอย่างสุดกำลัง แม้เขาจะบำเพ็ญ ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปควบคู่กัน ขอบเขตของโลกเขตลวงก็นับว่าใหญ่พอ แต่หากพูดถึงกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ก็ยังคงเชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศมากกว่า
แต่การกดดันของกฎเกณฑ์ ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ นั้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอ่อนแอ
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยังเป็นผู้ปกครองเทพแท้นั้น ก็พเนจรไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน บริเวณที่สำแดงออกมาก็กว้างใหญ่หาใดเปรียบ
แต่บัดนี้น่ะหรือ
“วิ้ง”
แม้ร่างแยกเหล่านี้จะอ่อนแอ แต่ทุกร่างล้วนแต่มีระดับเทพจักรวาลทั้งสิ้น
บริเวณอากาศที่สำแดงออกมาล้วนแต่กว้างขวางอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
หนึ่งร่าง สองร่าง สามร่าง…
ร่างนับหมื่นร่างกระจัดกระจายกันอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแล้วสำแดงออกไปจนสิ้น
“อื้ม”
ร่างแยกนับหมื่นกลับเชื่อมโยงกับวิญญาณทั้งหมด ความทรงจำและความคิดล้วนเชื่อมโยงกันหมด
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้บริเวณนับหมื่นปกคลุมอากาศอันสับสนอลหม่านกว่าครึ่งในพริบตา
“ขอบเขตอากาศอันสับสนอลหม่านราวเจ็ดส่วนถูกข้าปกคลุมเอาไว้แล้ว ทว่าหลายพื้นที่ล้วนแต่รกร้าง ที่ข้าต้องการปกป้องก็คือจักรวาลและแผ่นดินอลหม่านที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ร่างแยกบางร่างก็เริ่มเคลื่อนที่และเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว บัดนี้ด้วยผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เหนือกว่าพวกจักรพรรดิเก้าเมฆา แค่เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งก็สามารถไปได้ทั่วอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว
อากาศอันสับสนอลหม่านนั้น
บางบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีจักรวาลใดอยู่เลย สิ่งมีชีวิตบนแดนดินไม่ว่าหน้าไหนก็ต้องแห้งแล้งตายซากไปหมด
บางบริเวณกลับเป็นบริเวณที่จักรวาลและแผ่นดินอลหม่านค่อนข้างแน่นขนัด
ดังนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงละทิ้งพวกบริเวณที่เวิ้งว้างไป
ร่างแยกนับหมื่นร่างของเขาสามารถครอบคลุมอาณาเขตเจ็ดส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านได้ เมื่อละทิ้งพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไป ก็ครอบคลุมพื้นที่ของอากาศอันสับสนอลหม่านที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เอาไว้แทบทั้งหมดแล้ว !
“ตายให้หมดเถอะ!”
กลางอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งหนึ่ง จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้น เขาโบกมือคราหนึ่งก็ปกคลุมทั้งจักรวาลไกลออกไป
หากกล่าวว่า ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่า เมื่อเข้าไปก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้แล้ว แต่ยามนี้ร่างแยกนับหมื่นของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแค่อาศัยอณูทรงกลมหมอกดำสำแดงบริเวณออกไปเท่านั้น แม้อานุภาพจะอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ผลลัพธ์ของการ ‘ตรวจสอบ’ กลับดียิ่งนัก! ขอบเขตกว้างขวาง จักรพรรดิจวินก็ยากที่จะตรวจพบได้
“เขาอยู่นี่”
สวบๆๆ!!!
เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นไกลออกไป ร่างหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง อีกสองร่างล้วนแต่เป็นจอมกระบี่ ชั่วขณะที่ปรากฏขึ้นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ลงมือคุ้มกันจักรวาลแห่งนั้นเอาไว้แล้ว
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว” จักรพรรดิจวินตกใจใหญ่ เขาเพิ่งจะสำแดงออกมา จอมกระบี่ก็มาแล้วหรือนี่
“สวบ สวบ”
จอมกระบี่สองคนออกกระบวนท่าพร้อมกัน
สวบ
จักรพรรดิจวินสาวเท้าเดินมาอีกครั้ง
“ข้าพบแล้ว ไล่ตามไป” บัดนี้บริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงปกคลุมขอบเขตเจ็ดส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่าน จักรพรรดิจวินหายวับไปจากจุดหนึ่ง แล้วปรากฏขึ้นจากอีกจุดหนึ่ง ทั้งกระบวนการทะลุผ่านนี้ ทำให้อณูทรงกลมหมอกดำเกิดความเปลี่ยนแปลง เขาจึง ‘มองเห็นได้อย่างชัดเจน’ ขณะเดียวกับที่จักรพรรดิจวินทะลุผ่านไปนั้น ก็เก็บงำกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิงแล้ว น่าเสียดาย ที่แม้เขาจะทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลมาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตบริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี
สวบๆๆ!
ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงพาจอมกระบี่ไล่ตามไปทันที
“ครั้งก่อนเหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนั้น ข้าเพิ่งจะออกกระบวนท่าไปเขาก็ปรากฏกายขึ้นแล้ว รวดเร็วเกินไปแล้ว” จักรพรรดิจวินทะลุไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ลอบสงสัย และไม่สบายใจอยู่บ้าง ตามปกติแล้ว หากสัมผัสรับรู้ได้ถึงระลอกคลื่นที่อยู่ไกลออกไปแล้วสำแดงกระบวนท่าเร่งตามไป ก็ต้องใช้เวลาชั่วอึดใจหนึ่ง
“แคว่ก”
ประกายกระบี่อันน่าหวาดหวั่นสองสายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วฟาดลงบนร่างของจักรพรรดิจวิน ทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นแสงสีดำไป เขารวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป ก่อนจะมองไปยังจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏขึ้นห่างออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เป็นไปได้อย่างไร”
“หนี!”
จักรพรรดิจวินข่มโลหิตอันเดือดพล่านภายในกายเอาไว้ แล้วหนีโซซัดโซเซไป
เขาเพิ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งอย่างระมัดระวัง ยังไม่ทันได้ถอนหายใจเสียด้วยซ้ำ
ประกายกระบี่ก็ร่อนลงมาอีกครั้ง!
“แคว่ก”
อาการบาดเจ็บทวีคูณขึ้นอีกครั้ง
……
หนี!
หนี!
หนี!
จักรพรรดิจวินรู้สึกราวกับว่า ไม่ว่าตนจะหนีไปที่ใดก็จะประสบกับการลอบโจมตีของประกายกระบี่ทันที! รวดเร็วเกินไปแล้ว! ไหนเลยเขาจะรู้ว่า เพื่อประหยัดเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะให้ร่างแยกร่างหนึ่งพาจอมกระบี่ ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ไล่ตามไป จักรพรรดิจวินเพิ่งจะไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปถึงจุดเดียวกันแล้ว
บริเวณครอบคลุมพื้นที่ถึงเจ็ดส่วน หากจักรพรรดิจวินหนีออกไปอีกสักหลายครั้ง ก็จะพบว่า ‘พื้นที่รกร้าง’ ไม่อยู่ในขอบเขตของบริเวณ
แต่ว่าเมื่อเขาถูกโจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนเป็นจอมกระบี่สองคนที่ร่วมมือกันออกท่าไม้ตายมา อาการบาดเจ็บก็ยิ่งรุนแรงขึ้น! จักรพรรดิจวินสัมผัสได้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว
“จะต้องเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นอย่างแน่นอน เขามีกระบวนท่าทางด้านวิถีอากาศ เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ จะต้องใช้บริเวณปกคลุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเอาไว้แน่ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะหนีไปที่ใด ก็ล้วนแต่อยู่ในสายตาเขาทั้งนั้น!” จักรพรรดิจวินถูกไล่สังหารหลายครั้ง จึงเดาสาเหตุออกทันที
แม้เขาจะเข้าใจผิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นสุดยอด
แต่ก็มิได้นับว่าผิดจนนอกลู่นอกทางอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เทียบเท่ากับขั้นสุดยอดแล้ว
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างจอมกระบี่โผล่มา โจมตีข้าจนไม่มีแรงตอบโต้ก็แล้วไปเถิด แต่ยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงโผล่มาอีกคนอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นด้านวิถีอากาศอีกด้วยหรือ” จักรพรรดิจวินเดือดดาลอยู่ในใจ
สวบ
ครั้งนี้เขาตรงกลับไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้ว
ทางเดินโลกาพิศวงคือรังที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย ซึ่งจำกัดผู้บำเพ็ญในทุกด้าน หากพวกตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้วสำแดงกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ก็ล้วนแต่ต้องได้รับแรงกดดันมหาศาล! ดังนั้นจึงได้ตามหา ‘รัง’ ด้วยความยากลำบากถึงเพียงนั้น ที่นี่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางปกคลุมขอบเขตอันกว้างขวางเพื่อตรวจสอบได้เลย
ที่นี่กฎเกณฑ์สูงสุดลำเอียงเข้าข้างฝูงมารผลาญทำลาย
“เขาหนีไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังจอมกระบี่ทั้งสองคนข้างกาย แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ทางเดินโลกาพิศวงคือสถานที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย ที่นั่นบริเวณของข้ามิอาจปกคลุมเป็นวงกว้างได้ นอกจากนี้มิติที่นั่นยังแปลกประหลาดยากเกินคาดเดาอีกด้วย”
“หนีไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้วหรือ” จอมกระบี่ก็เผยรอยยิ้มออกมา ส่วนร่างแยกอีกร่างหนึ่งก็หายวับไป “ก็ดี โจมตีเสียจนจักรพรรดิจวินผู้นั้นไม่กล้าปรากฏกายแล้ว แม้จะไม่สามารถสังหารเขาได้ มีบางคนที่ไม่ยอมจำนน แต่ถึงอย่างไรก็ขจัดภัยที่อากาศอันสับสนอลหม่านจะแตกสลายครั้งใหญ่ไปได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จอมกระบี่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วยิ้มออกมา “เสวี่ยอิง เจ้าเก็บงำได้ร้ายกาจนัก คนวิถีจิตฟ้าหรือ ยอดเยี่ยมใช้ได้ทีเดียว ตัวคนเดียวกลับใช้อานุภาพกดดันมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้”
……
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสนทนากับจอมกระบี่นั้น
เทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนจับตามองการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา ท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง จักรพรรดิงูเมฆา ราชันย์มีดและบรรพชนกู่ต่างก็ตื่นเต้น! ไม่มีทางไม่ตื่นเต้น เพราะเมื่อจักรพรรดิจวินทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเข้าสู่การแตกสลายครั้งใหญ่ในท้ายที่สุดจริงๆ แล้ว พวกเขาที่มิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดเหล่านี้ล้วนแต่ต้องตายทั้งสิ้น!
“คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยอิงก็จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน ช่าง ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง” ราชันย์มีดเอ่ยอย่างตกตะลึง ท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง บรรพชนห้วงอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์และคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างกายเขา เบื้องหน้าพวกเขามีภาพมากมายลอยล่องอยู่ ซึ่งได้แก่ภาพของโลกทิพย์ทั่งสี่ ในโลกทิพย์ทั้งสี่ แต่ละใบล้วนมีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวคนหนึ่งประจำการอยู่เหนือฟากฟ้า
ภาพการประมือของตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิจวินเมื่อครู่ พวกเขาได้เห็นหมดแล้ว
“ไม่ว่าจักรพรรดิจวินจะหนีไปที่ใด ก็มิอาจหนีพ้นจากบริเวณของเสวี่ยอิงได้! เขายังคงถูกเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ไล่ล่าอยู่ตลอดเวลา อาการบาดเจ็บก็สาหัสมากขึ้นทุกทีๆ ฮ่าฮ่า เขาหนีไปแล้ว คาดว่าคงจะหลบเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้ว! ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็มีเพียงทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้นที่เป็นสถานที่คุ้มกันสุดท้ายของฝูงมารผลาญทำลายอย่างพวกเขากระมัง” เจ้าศิลาก็ปรากฏกายขึ้นที่นี่
เทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าศิลาเอ่ยวาจาชุดหนึ่งออกมา ทำให้เทพจักรวาลในที่นั้นต่างก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง
อันตรายจากการแตกสลายครั้งใหญ่ได้รับการแก้ไขแล้ว!
“จอมกระบี่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว เสวี่ยอิงก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” บรรพชนห้วงอากาศส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ
“วังทวีสูญของข้ามีขั้นสุดยอดสองคนอย่างนั้นหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋กะพริบตาคราหนึ่ง
นี่ช่างเป็นการเข้าใจผิดอันงดงามโดยแท้
สายตาของพวกเขามีจำกัด เมื่อมองเพียงผิวเผินว่าตงป๋อเสวี่ยอิงห้ำหั่นกับเผ่ามารขั้นสุดยอดอย่าง ‘จักรพรรดิจวิน’ ด้วยพลังที่เท่าเทียมกัน ก็ย่อมคาดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
……
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เทพจักรวาลทั้งปวงต่างก็เบิกบานใจเป็นอย่างมาก เมื่อความตายเข้ามาประชิด จนบัดนี้สามารถหลบหลีกจากหายนะอันใหญ่หลวงได้ พวกเขาต่างก็โล่งใจและสุขสราญนัก
ณ อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ก็กำลังพูดคุยกัน
“ถูกต้อง ตอนที่ข้ายังมิได้เข้าไปในวังทวีสูญก็ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาแล้ว! เพียงแต่ข้ายังไม่อยากละทิ้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแล้วไปจุติยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อมาข้าได้บำเพ็ญเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณ และโชคดีสามารถบำเพ็ญร่างแยกร่างหนึ่งออกมาได้ ข้าจึงให้ร่างแยกกลับชาติไปจุติยังดินแดนจิตโลกาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย” จอมกระบี่ยิ้ม “ดังนั้น ดูเหมือนข้าจะเก็บตัวอยู่ตลอด และมิได้เผชิญอุปสรรคเพื่อเคี่ยวกรำตลอดมา แต่อันที่จริงแล้ว ข้าบุกฝ่าและเคี่ยวกรำอยู่ในดินแดนจิตโลกามาตลอด หากมิได้เผชิญอุปสรรคเพื่อเคี่ยวกรำเลย คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง หรือกระทั่งขั้นสุดยอดน่ะหรือ การบำเพ็ญไหนเลยจะผ่อนคลายและง่ายดายถึงเพียงนั้นได้เล่า!”
“แต่ความเร็วในการบำเพ็ญของท่านก็ยังคงรวดเร็วเกินไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “สามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้!”
……………………………………