Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 47 การคุกคามของมารอันน่าหวาดหวั่น
ความเคลื่อนไหวของราชันย์อนธการอมตะในครั้งนี้ใหญ่โตเกินไปแล้วจริงๆ ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศถึงสิบห้าแห่ง
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ จำนวนหนึ่งจะมิได้มีการรับสัมผัสอันเฉียบแหลมเทียบเคียงได้กับเหล่าขั้นอลวน แต่เมื่อค่ายกลขนาดใหญ่มหึมานั้นโคจรต่างก็รับสัมผัสได้แล้ว
แม้กระทั่งเหล่าขั้นอลวนที่อยู่ใกล้ๆ กับรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้นต่างก็สามารถรับสัมผัสกันได้แล้วทั้งสิ้น
“นี่มันอะไรกัน” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลาแต่ก็ผุดลุกขึ้นยืนในทันใดแล้วมองไปยังห้วงอากาศไกลออกไป
อาศัยการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา
เขาก็มองเห็นมหาภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้นที่ชายขอบของดินแดนจิตโลกา เขามองไปยังปราการเมืองแห่งหนึ่งแล้วก็มองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน มองไปยังปราการเมืองอีกแห่งหนึ่ง ก็เห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน วิญญาณมากมายเหลือคณา…กำลังเหินลอยปกคลุมแผ่นฟ้าบดบังดวงตะวัน
“จอมกระบี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารไปถามไถ่จอมกระบี่ แล้วก็ถามไถ่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไรการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาของเขาก็ได้แต่สอดแนมไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น
“หืม”
สอดแนมพบแล้ว
ตามกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นนั้นไปจนสอดแนมพบต้นตอแล้ว
นั่นก็คือซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดมหึมาร่างหนึ่ง ซากศพถูกโซ่ตรวนเสาสำริดสิบหกต้นพันธนาการเอาไว้ ด้านบนมีกระแสน้ำวนสีดำสีดำขนาดมหึมาสามแอ่ง ภายในกระแสน้ำวนมีวิญญาณกำลังร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา บริเวณรอบๆ ยังมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตรึงเอาไว้กลางอากาศอีกด้วย
จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎอีกคนหนึ่ง
“เป็นราชันย์อนธการอมตะ” ทางด้านจอมกระบี่ส่งสารมา “ดูเหมือนว่าราชันย์อนธการอมตะจะกำลังสำแดงเคล็ดการบูชาอะไรสักอย่างอยู่ ซากศพนั้นคือซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขาอาศัยวิญญาณทั้งหมดของรัฐประเทศสิบห้าแห่งรอบๆ รวมทั้งวิญญาณเทพจักรวาลของประมุขรัฐประเทศเหล่านั้นมาทำการบูชา! การบูชาเพิ่งเริ่มต้น พวกจักรพรรดิเซี่ยก็เข้าไปทำการขัดขวางแล้ว”
“บ้าคลั่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
บูชามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เปรียบเทียบกับวิธีการของราชันย์อนธการอมตะแล้ว การบูชาโลหิตเมืองสักแห่งหนึ่งก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย รัฐประเทศแห่งหนึ่งมีเมืองมากมายเพียงใด รัฐประเทศเกือบสิบห้าแห่งเลยทีเดียวนะ! น่าจะเป็นประชากรราวๆ หนึ่งหรือสองส่วนในร้อยส่วนของดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว! ดินแดนจิตโลกาเจริญรุ่งเรืองกว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดของตนเป็นอันมาก ด้านหนึ่งก็เพราะบ้านเกิดเคยผ่าน ‘การแหลกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ จนแหล่งต้นกำเนิดสูญสิ้นไปอย่างมหาศาล ส่งผลให้จำนวนประชากรน้อยกว่ายุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม สอง ดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่หยวนตั้งใจสรรสร้างและปกป้องดูแล จำนวนผู้บำเพ็ญก็ต้องเหนือกว่าโลกกำเนิดธรรมดาทั่วไปเป็นอันมากอยู่แล้ว
เพียงแค่หนึ่งหรือสองส่วนในร้อยส่วนของดินแดนจิตโลกาก็มากพอที่จะเทียบเคียงได้กับผู้คนราวๆ ส่วนหนึ่งของบ้านเกิดได้แล้ว
ตนเองจัดการกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านเกิด ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังช่วยเหลือได้เป็นอันมาก เขามิอาจลืมเลือนแรงปะทะที่เกิดขึ้นจากเสียงแซ่ซ้องตามสัญชาตญาณของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพรรค์นั้นได้เลย
“บูชาสิ่งมีชีวิตมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดดาลอย่างยากที่จะเชื่อได้
ต่างก็ว่ากันว่าราชันย์อนธการอมตะเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’
เพียงแต่เมื่อได้เห็นกับตาตนเองเขาก็ยังพรั่นพรึงอยู่ดี!
“เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโมโหเป็นอย่างยิ่ง
……
ภายใต้การติดตามของตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรวาลต่างๆ มากมาย เรื่องนี้ก็มีผลกระทบยิ่งใหญ่เหลือเกิน เหล่าผู้แกร่งกล้าส่งข่าวสื่อสารกัน แม้กระทั่งขั้นอลวนต่างก็ล่วงรู้กันทั้งสิ้น เพียงชั่วพริบตาผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็ให้ความสนใจกับภูเขาร้างไร้นามแห่งนั้นกันหมด! ให้ความสนใจว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยจะสามารถขัดขวาง ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ได้หรือไม่
“จักรพรรดิเซี่ย ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาในยุคปัจจุบันนี้อย่างนั้นหรือ” ราชันย์อนธการอมตะผู้หล่อเหลางดงามอมยิ้มน้อยๆ “สามารถบำเพ็ญวิถีสองสายไปจนถึงขั้นสุดยอดได้ ก็นับว่าเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ แต่ก็ยังไร้เดียงสาไปสักหน่อยอยู่ดี”
จักรพรรดิเซี่ยสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ ท่านถึงกับสำแดงเคล็ดวิชาลับดูดกลืนวิญญาณมากมายมหาศาลถึงเพียงนนี้ ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศสิบห้าแห่ง ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามีรัฐประเทศอยู่ทั้งหมดเพียงแค่เท่าไหร่เอง ท่านทำเกินไปแล้วนะ เรื่องพรรค์นี้เกรงว่า ‘หยวน’ ก็จะต้องมีบทลงโทษลงมาอย่างแน่นอน”
“ราชันย์อนธการ ท่านเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ก็อย่าทำอะไรให้มันมากเกินไปนักเลยดีกว่า สังหารสิ่งมีชีวิตมากมายเช่นนี้ นี่เป็นบาปมหันต์เลยทีเดียวนะ” เจ้าเมืองอนันต์ก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
ประมุขรัฐเสียดฟ้าก็เอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ ได้โปรดปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอเหล่านี้ด้วยจิตใจเมตตากรุณาสักหน่อยเถิดนะ”
ราชันย์อนธการอมตะแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เอาล่ะ อย่าได้สิ้นเปลืองวาจากันอีกเลย การบูชาในครั้งนี้มีความสำคัญต่อข้าเป็นอย่างมาก พวกเจ้าหน้าไหนก็อย่าได้มาขัดขวางข้า”
เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง
บนฝ่ามือก็มีเปลวเพลิงลุกโชน
เปลวเพลิงนั้นแฝงไว้ด้วยการทำลายล้างและความตาย
จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้าได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็หน้าถอดสี สามารถมองออกได้จากกระบวนท่านี้ว่าพลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะมิได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเซี่ยเลย!
“ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่หยวนปกป้องดูแลอยู่นะ” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยเสียงเย็น
“ข้ารู้จักอุปนิสัยของหยวนดียิ่งกว่าเจ้าเสียอีก” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน “ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น หยวนก็นับได้ว่าปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีทางมาขัดขวางแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก อย่างเช่นสถานที่ที่มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นคุ้มครองอยู่บางแห่ง ที่ให้สรรพชีวิตในโลกกำเนิดทั้งหมดตายไปเพียงเพื่อให้ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งได้ก้าวหน้าขึ้นก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ข้าก็เพียงแค่บูชาชีวิตในดินแดนจิตโลกาเพียงแค่ส่วนสองส่วนในร้อยส่วนเท่านั้นเอง นี่จะนับเป็นอะไรได้เล่า สำหรับทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว เพียงไม่นานก็ขยายพันธุ์มาทดแทนได้แล้วล่ะ”
“ดินแดนจิตโลกาในตอนนี้แย่ตรงที่ดินแดนไม่กว้างใหญ่พอ การขยายเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตไปถึงขีดสุดเสียแล้ว บูชาเพียงนิดเดียวก็ยังอาจทำให้ทั่วทั้งดินแดนเกิดระลอกคลื่นมากสักหน่อย มีความสนุกมากสักหน่อย”
ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยตามใจชอบ “ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบ หยวนก็ไม่มีทางมายุ่งวุ่นวายหรอก”
“ยังมีพวกเจ้าสามคนนี่อีก”
“รีบๆ จากไปเร็วๆ เสียจะดีกว่านะ” มุมปากของราชันย์อนธการอมตะผุดรอยยิ้มเย็นรอยหนึ่งขึ้นมา
จักรพรรดิเซี่ยกวาดตามองปราดหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นว่า “ราชันย์อนธการ เกรงว่าพลังยุทธ์ของท่านกับข้าจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่หรอกนะ ถึงจะคุกคามท่านมิได้ แต่การจะทำลายงานของท่าน ทำลายค่ายกลของท่านนั้นสามารถทำได้อย่างสบายๆ ข้าขอเตือนว่าท่านเบามือสักหน่อยจะดีกว่า”
“เจ้าช่างบังอาจนัก!”
ราชันย์อนธการอมตะเผยสีหน้าดุร้ายออกมา น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับลอยออกมาจากหุบเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด “ข้าใช้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ข้าใช้สิ่งล้ำค่ามากมาย ทุ่มเทอะไรไปมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อการบูชาในครั้งนี้! ผู้ใดบังอาจทำลายงานของข้า ข้าขอสาบานว่าจะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อให้มันต้องนึกเสียใจภายหลัง! ศิษย์รุ่นหลังของพวกเจ้า บรรดาเจ้านายของพวกเจ้า รัฐประเทศของพวกเจ้า เมืองของพวกเจ้า… ข้าจะฆ่า ฆ่า ฆ่า เสียให้สิ้น!”
จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้าได้ยินเสียงนี้แล้วต่างก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านคราหนึ่งมิได้
พวกเขาต่างก็รู้ว่าราชันย์อนธการอมตะมิได้โป้ปด
เพราะก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง เขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว! เขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’!
“เส้นทางการบำเพ็ญอื่นๆ ของข้าล้วนไม่มีหวังแล้วทั้งสิ้น ข้าคร้านจะต่อสู้กับพวกเจ้า! รอให้การบูชาสิ้นสุดลงแล้วข้าก็จะเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “พวกเจ้ารู้เอาไว้เสีย อย่าได้มารบกวนข้า มิฉะนั้น… พวกเจ้าก็คงรู้นะว่าข้าจะทำเช่นไร”
จักรพรรดิเซี่ยมีสีหน้าไม่น่าดู
คนบ้า
ราชันย์อนธการอมตะก็คือคนบ้าคนหนึ่ง! นอกจากนี้ยังเป็นคนบ้าที่ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ อีกด้วย เขาไม่มีรัฐประเทศ ไม่มีขุมอำนาจใต้บังคับบัญชาใดๆ ให้ต้องสนใจ ราชันย์อนธการอมตะเดือดดาลขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย
“เฮ้อ ราชันย์อนธการ ท่านวิปลาสเช่นนี้ ในที่สุดก็จะต้องนึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน” เจ้าเมืองอนันต์ถอนหายใจเสียงหนึ่งแล้วหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“ไปเถิด” ประมุขรัฐเสียดฟ้าก็ส่ายศีรษะ
จักรพรรดิเซี่ยมองราชันย์อนธการอมตะอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งแล้วก็หายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงจิตใจอันแน่วแน่ของราชันย์อนธการอมตะเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เรื่องนี้มีความสำคัญกับราชันย์อนธการอมตะเป็นอย่างยิ่ง ไปทำลายเรื่องของเขา เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อยากทนรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย
“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเย็น
ไม่มีการขัดขวางของพวกจักรพรรดิเซี่ยแล้ว
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศก็เหินลอยไปยังกลางกระแสน้ำวนสีดำสีดำขนาดมหึมาสามแอ่งอีกครั้ง
“ไม่นะ…”
“ช่วยพวกเราด้วย ช่วยพวกเราด้วย”
“ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย”
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก่อนหน้านี้หยุดค้างอยู่กลางอากาศได้เห็นพวกจักรพรรดิเซี่ย ผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นทั้งสามคนจากไปแล้วต่างก็กระวนกระวายกันขึ้นมาในทันใด แล้วพากันร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
……
ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายล้วนนิ่งเงียบ
พวกจักรพรรดิเซี่ยร่นถอยไปแล้ว
ทุกฝ่ายต่างก็ล่วงรู้ถึงการคุกคามของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ แล้ว แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่พินิจดูการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปากของพวกเขา พินิจดูกระแสอากาศระลอกคลื่นบริเวณรอบๆ ผ่านการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา ก็ยังสามารถล่วงรู้เนื้อความในคำพูดได้
สำหรับพวกจักรพรรดิเซี่ยแล้ว
ไปช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชายของของรัฐประเทศสิบห้าแห่ง เกรงว่ารัฐประเทศทางฝ่ายตนก็จะบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเซี่ยก็ยังสามารถคุ้มครองได้เพียงแค่ปราการเมืองไม่กี่แห่งเท่านั้น รัฐโบราณคิมหันตวายุใหญ่โตเกินไป ‘สกุลเซี่ย’ สืบเชื้อสายมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เชื้อสายก็กระจายไปทั่วปราการเมืองทุกแห่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ชีวิตที่ตายไปในรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้น กับการตายของเผ่าพันธุ์ตน… พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ได้ทำการเลือกเรียบร้อยแล้ว
แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามที่มีจิตใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอต่างก็ร่นถอยกันไปแล้ว
หรือกระทั่งประมุขรัฐจันทร์บุปผา บรรพชนราตรีนิรันดร์ อ๋องสัตว์โลกา และคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่สามารถขัดขวางได้แล้ว พวกเขาบางคนถึงขนาดที่ชมดูเรื่องวุ่นวายนี้อย่างสนุกสนาน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน”
ในบรรดาเทพจักรวาลก็มีบางคนที่มีใจเมตตาสงสาร ก็โมโหและกระวนกระวายขึ้นมา
“หรือว่าจะมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตาปริบๆ เช่นนี้เล่า”
“ใครจะกล้าไปกันเล่า ราชันย์อนธการอมตะสามารถหยิบเอาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาได้ตามใจชอบ ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง เขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เขามีพลังยุทธ์เช่นไรแล้ว ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งรัฐโบราณก็ยังไม่สามารถขัดขวางการแก้แค้นของเขาได้เลยเสียด้วยซ้ำ! แล้วใครจะกล้าไปขัดขวางเขากันเล่า”
“เฮ้อ…”
ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากโศกสลดอยู่ในใจ มองดูทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ
“มิใช่ว่าคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นจะขัดขวางมารทั้งหมดทั้งมวลหรือไร คราวนี้เขากล้าโผล่ออกมาหรือไม่เล่า”
“นี่คือราชันย์อนธการอมตะเชียวนะ! มารธรรมดาทั่วไปจะมาเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน แต่ว่าตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าเป็นความลับ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้” ทุกฝ่ายพากันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่กล้าออกมา
……
ภายในเมืองหิมะเหิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง ยามที่มองดูพวกจักรพรรดิเซี่ยร่นถอย สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเสียแล้ว
“เสวี่ยอิง เจ้าอย่าได้ปรากฏตัวเป็นอันขาดเชียวนะ ราชันย์อนธการเป็นคนบ้าคนหนึ่ง เขาเป็นร่างแปรของความตาย อย่าได้ไปยั่วยุเขาเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากำลังส่งสารให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาถ่ายเสียงอย่างกระวนกระวาย “เจ้าเคยบอกว่าหากพลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ต้องอดทน มีพลังยุทธ์ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยิ่งทำการใหญ่ได้มากเท่านั้น…พลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะล้ำลึกจนมิอาจคาดเดาได้เลยทีเดียวนะ”
“เสวี่ยอิง! เคล็ดวิชาลับของราชันย์อนธการยากคาดเดาได้ ฟังที่จักรพรรดิเซี่ยพูดเถิด ราชันย์อนธการเคยไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างลึกลับบางแห่งในห้วงมิติคละถิ่นมาแล้ว มีประสบการณ์มากมาย ถ้าหากเจ้าปรากฏตัวก็จะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู
การสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาของเขามองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ท้องฟ้าเบื้องบนของปราการเมืองแต่ละแห่งและอาณาบริเวณแห่งแล้วแห่งเล่าเหล่านั้น
มีพวกเขาบางคนที่ยังคงเป็นเพียงแค่วิญญาณเด็กเท่านั้น มีบางส่วนที่เป็นวิญญาณเยาว์วัยที่อ่อนแอ มีบางส่วนที่เป็นวิญญาณผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้า ทั้งชายหญิง ทั้งเด็กและคนชรา ผู้บำเพ็ญทุกเผ่าพันธุ์… จำนวนมากมายเหลือคณา แต่พวกเขาดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ ในขณะนี้ผู้ใดบนดินแดนจิตโลกาจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้กันเล่า
มองดูพวกเขาถูกดูดกลืนไปตาปริบๆ เช่นนี้น่ะหรือ
“ราชันย์อนธการอมตะ คงจะต้องเผชิญหน้ากับท่านจริงๆ เสียแล้วสินะ” ยามที่ห้ำหั่นกับมารจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกานั้นตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เคยคิดมาก่อนว่าอาจจะต้องเผชิญกับราชันย์อนธการอมตะ บุคคลที่ชั่วร้ายน่าหวาดหวั่นที่สุดในตำนานเล่าขานผู้นั้นเข้าสักวัน!
……
ณ ภูเขาร้างไร้นาม
ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมา กระแสน้ำวนสีดำขนาดยักษ์สามสายกำลังดูดกลืนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ราชันย์อนธการอมตะผู้หล่อเหลางดงามที่อยู่ด้านข้างยืนอยู่กลางอากาศ มองดูทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา เขาเชื่อว่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้!
“หืม” ราชันย์อนธการอมตะหันหน้าไปมอง “ยังมีผู้ที่บังอาจถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ”
รอยแยกสีดำปรากฏวาบขึ้นที่กลางอากาศ บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเดินออกมา ซึ่งก็คือรูปลักษณ์ของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ หลังจากที่เปลี่ยนแปลงกลิ่นอาย ดัดแปลงรูปลักษณ์แล้วนั่นเอง
“คนวิถีจิตฟ้า!”
“คนวิถีจิตฟ้าปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เสียแล้ว”
……………………………………….