Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 10 อาวุธลับของตงป๋อเสวี่ยอิง
แต่ละฝ่ายในสนามรบห้ำหั่นกัน และกำลังจับตามองสถานการณ์ของทั้งสนามรบ
อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำ…สามารถเทียบเคียงกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซึ่งหน้าได้! ตอนนั้นผู้อาวุโสพ่ายแพ้แล้วจึงจากดินแดนชนเผ่าไป พลังรบไร้ข้อกังขา
ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่สอง เป็นผู้บำเพ็ญที่มีระดับการคุกคามต่ำที่สุด ส่วนเรื่องที่เทียบเคียงกับอ๋องฝูซาได้น่ะหรือ เรื่องนี้ทำให้แต่ละฝ่ายตื่นตระหนกกันไปหมด
“พวกเราต่อสู้ไปพลาง มุ่งหน้าไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ดีใจใหญ่ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงให้แต่ละฝ่าย
“ดี มุ่งหน้าไปยังใจกลางกันเถิด” จอมกระบี่ยังคงผ่อนคลายเป็นอย่างมาก แม้เขาจะมิอาจโจมตีผู้อาวุโสทั้งสองนี้ให้พ่ายแพ้ไปได้ แต่ก็ได้อาศัยกระบี่เล่มนี้พันธนาการผู้อาวุโสที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นทั้งสองคนนี้เอาไว้ได้ ไม่ให้พวกเขาทั้งสองไปลงมือกับคนอื่น
“พลังของเขารึ” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำออกกระบวนท่าต่อเนื่องกันด้วยความโมโห แต่ละกระบวนท่าของนางล้วนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย อานุภาพก็ยิ่งใหญ่พอ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรู้สึกว่าผ่อนคลายมาก เนื่องจากอีกฝ่ายแค่มีอานุภาพยิ่งใหญ่เกินไปเท่านั้น ความพิสดารที่แฝงเอาไว้กลับเรียบง่ายกว่ามากทีเดียว ตนถึงขั้นสามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้างเล็กน้อย
“มหาสมุทรคละถิ่น!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังแบ่งสมาธิไปสำแดงมหาสมุทรคละถิ่นออกมาอีกด้วย
โครมม…
บริเวณรอบด้านพลันโหมซัดและกดดันเข้ามา บวกกับ ‘พลังแห่งโลกา’ จากดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ นี่จึงจะเป็นกระบวนท่าที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้ ผู้อาวุโสที่มีพลังแข็งแกร่งพอสองคนนั้นก็แล้วไปเถิด แต่เมื่อบรรดา ‘อ๋อง’ คนอื่นๆ ของเผ่ามรณะทมิฬสัมผัสได้ว่าตนถูกกดดันและพันธนาการต่างๆ มากมาย แต่ละกระบวนท่าล้วนแต่ได้รับผลกระทบ พลังก็พลันลดลงเป็นอย่างมากทันที!
แม้มหาสมุทรคละถิ่นที่อยู่ในเกาะลอยคว้างจะมีขอบเขตไม่ใหญ่นัก แต่ปกคลุมทั่วทั้งสนามรบได้ก็เพียงพอแล้ว
ชาวเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้จะหนีออกจากขอบเขตบริเวณก็ง่ายดายมาก เพียงแต่ว่าพวกเขามาก็เพื่อสังหารผู้บุกรุกเหล่านี้! หนีหรือ แล้วจะสกัดกั้นบุกรุกได้อย่างไรกันเล่า
“เขายังอ่อนแออีกหรือ” ในขณะนี้ บรรดาอ๋องทั้งหลายรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งสองต่างก็ลอบก่นด่าในใจ
ผู้บำเพ็ญหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกทนรับได้ยากนัก
อย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นำชนพื้นเมืองออกจะมีกระบวนท่าตรงไปตรงมาอยู่บ้าง แต่กระบวนท่าของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนนี้กลับพิสดารกว่ามากทีเดียว ขณะที่คงบริเวณเอาไว้ ก็ยังคงสามารถจำกัดอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำได้อยู่ดี
“พวกเราไม่สามารถสกัดชนพื้นเมืองเหล่านี้เอาไว้ได้แล้ว”
“บริเวณนี้ทำให้พวกเราสำแดงพลังออกมาได้ไม่หมด”
อ๋องสิบคนที่ล้อมชนพื้นเมืองเอาไว้พากันร้อนใจขึ้นมา
พลพรรคของชนพื้นเมืองในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าที่บรรยายเอาไว้ในรายงานเสียอีก! ก่อนหน้านี้ ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ทำให้ศัตรูงุนงงและเพื่อเคี่ยวกรำคนในเผ่าเป็นหลัก บัดนี้ เผ่ามรณะทมิฬได้โผล่ออกจากรังแล้ว ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ก็ย่อมเรียกตัวยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าซึ่งแอบซ่อนไว้ออกมาอีกสี่คนแล้วสร้างค่ายกลรบขึ้นมาสี่แห่งโดยมียอดฝีมือทั้งสี่เป็นศูนย์กลาง
ค่ายกลรบทั้งสี่ และตัวเขาท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มีพลังรบแข็งแกร่งกว่าที่อยู่ในรายงานก่อนหน้านี้มากนัก
มนุษย์น้ำแข็งและชนพื้นเมืองยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพียงแต่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ และพยายามมุ่งหน้าไปทางดินแดนชนเผ่าได้
แต่ตอนนี้เมื่อสำแดง ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ออกไป ก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกันขึ้นมาทันที!
ทางฝ่ายชนพื้นเมืองมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นทันที!
“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่!” ผู้อาวุโสรอง ซึ่งมีร่างกายสูงตระหง่านหาใดเปรียบถ่ายเสียงพูดทันที
“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่”
“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่”
เนื่องจากเดิมทีที่นี่ก็อยู่ใกล้กับดินแดนชนเผ่ามากอยู่แล้ว เมื่อถ่ายเสียงสองครั้ง ก็ไปถึงหูของท่านอ๋องฉี่ตู้ซึ่งครองดินแดนชนเผ่าผู้นั้นแล้ว
ท่านอ๋องฉี่ตู้ไม่กล้าลังเลเลย เขารีบไปปลุกผู้อาวุโสใหญ่ให้ตื่นทันที
******
ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งจากสามแห่งรอบแอ่งน้ำขนาดมหึมา ผู้อาวุโสใหญ่กำลังหลับใหล
“ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่” ท่านอ๋องฉี่ตู้เรียกอยู่ที่นี่ เสียงระลอกคลื่นส่งถ่ายเข้าไปในกายของผู้อาวุโสใหญ่อย่างต่อเนื่อง
ผู้อาวุโสใหญ่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา
จากนั้นร่างกายของสลายไปราวกับหมอก ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นตรงหน้าท่านอ๋องฉี่ตู้
ผู้อาวุโสใหญ่จ้องมองท่านอ๋องฉี่ตู้ด้วยสายตาเยียบเย็น
“ผู้อาวุโสใหญ่” ท่านอ๋องฉี่ตู้ถ่ายเสียงรายงานรอบหนึ่ง “สถานการณ์ของศัตรูก็เป็นเช่นนี้เอง พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามนำอ๋องสิบเอ็ดคนรวมทั้งอ๋องฝูซาบุกเข้าไปสังหาร ทว่าบัดนี้กลับให้ให้ข้าปลุกผู้อาวุโสใหญ่ เกรงว่าสถานการณ์คงจะพลิกผันขึ้นมา ไม่ทราบว่าต้องปลุกจักรพรรดิด้วยหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ก็คงไม่ใช่แค่กำชับให้เจ้ามาปลุกข้าหรอก หากไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย ก็ยังไม่ต้องปลุกจักรพรรดิ มิเช่นนั้นแล้วหากจักรพรรดิพิโรธขึ้นมา เฮอะๆ”
“ขอรับ” ท่านอ๋องฉี่ตู้ขานรับ
ผู้อาวุโสใหญ่มองดูท่านอ๋องฉี่ตู้แวบหนึ่งด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง จากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศราวกับหมอก
ท่านอ๋องฉี่ตู้จึงถอนหายใจคราหนึ่ง
ผู้อาวุโสใหญ่…
หากกล่าวว่าผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามยังคงเป็นระดับอ๋อง เพียงแต่นับว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้บรรลุระดับอ๋องและไปถึงระดับที่สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งแล้ว!
เกรงว่าพลังของผู้อาวุโสใหญ่คงจะน่าหวาดหวั่นกว่าผู้อาวุโสทั้งสิบคนรวมกันเสียอีก
……
พวกชนพื้นเมืองห้ำหั่นกับอ๋องทั้งสิบอย่างสูสี ห้ำหั่นไปพลาง มุ่งหน้าไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง จนมาถึงบริเวณใกล้ๆ
“ใกล้แล้ว จะถึงแล้ว”
พวกชนพื้นเมืองต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ เดิมทีครั้งนี้พวกเขาห้ำหั่นอย่างสุดชีวิต หากล้มเหลว โอกาสที่คิดจะพลิกกระดานก็ต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำแล้ว เกรงว่าทั้งเผ่าเซวี่ยเหยียนก็คงจะล่มสลายไปในที่สุด เคราะห์ดี ระหว่างที่พวกเขาเคี่ยวกรำชาวเผ่าอยู่ภายนอก ก็ได้พบกับกองกำลังผู้บำเพ็ญกองหนึ่ง! พลังของกองกำลังผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งใช้ได้ทีเดียว
สวบ
จอมกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ยิ่งผ่อนคลายเข้าไปใหญ่
พลังของจอมกระบี่แข็งแกร่งยิ่งนัก กระบวนท่าก็พิสดารไม่เป็นสองรองใคร กระบี่เล่มหนึ่งต้านทานผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองได้ นอกจากนี้ยังมีหนึ่งหรือสองกระบี่ที่พลัดไปถูกอ๋องฝูซาเข้า ทำเอาอ๋องฝูซาอดสูใจเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ขับดอกบัวเพลิงสีแดงสดทะยานไปนั้นก็รับมือได้ยากมากทีเดียว ทั้งยังประสบกับการลอบโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ใช้กระบี่
“เฮอะ” ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังก้องขึ้นมา อุณหภูมิของฟ้าดินลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบ บนผืนดินมีเกล็ดน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนรู้สึกใจสะท้านไปหมด กลิ่นอายเยียบเย็นดุจน้ำแข็งระลอกหนึ่งได้รุกคืบเข้าไปในกายของพวกเขาแล้ว
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
เป็นชายชราอาภรณ์ดำซึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ผมของเขาสยายออกไป เขามองดูคนทั้งกลุ่มด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาอ้าปากขึ้นแล้วพ่นเมฆสีดำที่ม้วนตัวอยู่ออกมา…
ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
เขาจมเข้าไปในโลกดำมืด มหาสมุทรคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มแหลกสลาย กระจายตัวออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด
“แตก”
ต่อสู้มาจนบัดนี้ จอมกระบี่ที่ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง ประกายกระบี่อันโดดเด่นสะดุดตาสายหนึ่งเชือดเฉือนจนโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเกิดเป็นรอยแยกขึ้นมา ในที่สุดโลกดำมืดก็สลายไปตามประกายกระบี่
ชั่วขณะที่ความมืดสลายไปนั้น เบื้องหลังความดำมืดกลับมีเชือกหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาแล้วพันธนาการไปทางจอมกระบี่อย่างบ้าคลั่ง
“ข้าจะรั้งเขาเอาไว้เอง” จอมกระบี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเช่นกัน เขามีความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ เคราะห์ดีที่แม้อานุภาพของกระบวนท่าของผู้อาวุโสใหญ่จะน่าหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงหยาบเกินไป จอมกระบี่ยังสามารถพันธนาการได้อย่างพอถูไถ หากผู้ที่มาคือ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ หรือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ อานุภาพแข็งแกร่งพอ ระดับความลึกลับยังอาจเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียด้วย จอมกระบี่ทำมิได้แม้แต่พันธนาการเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสใหญ่และจอมกระบี่ ก็ทำได้เพียงพันธนาการเท่านั้น!
“ผู้อาวุโสใหญ่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรพชนแมลงตกใจใหญ่
“เฮอะ” ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสามและอ๋องอีกสิบเอ็ดคนกลับดีใจใหญ่ ขณะเดียวกันก็มั่นอกมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก
“ทิ้งผู้บำเพ็ญสองคนนี้ไปก่อนร่วมแรงสังหารชนพื้นเมืองเสียก่อน แล้วค่อยลงมือกับพวกเขา” ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามถ่ายเสียงบัญชา
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม และอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำบุกสังหารไปทางชนพื้นเมืองพร้อมกัน หมายจะร่วมมือกับอ๋องทั้งสิบท่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงกับบรรพชนแมลงต่างก็ร้อนใจขึ้นมา
บรรพชนแมลงนั้นช่วยไม่ได้ เขามีการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่ง วิธีการก็พิสดารกว่าอยู่บ้าง แต่พลังรบก็ยังคงอ่อนแอ!
ส่วนเหล่าผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองเหล่านั้น พวกเขาควบคุมท่านอ๋องทั้งสิบคนเอาไว้ ทันทีที่พวกเขาจบเห่ แล้วบรรดาอ๋องทั้งสิบคนร่วมมือกันลงมือขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองแล้วก็รู้สึกว่ามิอาจต้านรับได้!
“เสวี่ยอิง ปกป้องพวกเขาเอาไว้” จอมกระบี่ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เขาควบคุมผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นเอาไว้แล้วถ่ายเสียงด้วยความกระวนกระวาย
“พี่ใหญ่หิมะเหิน ได้แต่ดูอาวุธลับของท่านแล้ว” บรรพชนแมลงก็ถ่ายเสียงพูดเช่นกัน
“ได้สิ”
ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนดอกบัวเพลิงห้วงอากาศนัยน์ตาหนาวเหน็บ
ปัง…
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพลันปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ผู้อาวุโสทั้งสองและอ๋องทั้งสิบเอ็ดคนที่ล้อมโจมตีชนพื้นเมืองอยู่ต่างก็ร่างกายสั่นสะท้าน ในจำนวนนั้นมีอ๋องแปดคนที่ล้มลงไปจากกลางอากาศ แต่ละคนสิ้นสติรับรู้ไป
ผู้อาวุโสทั้งสองและท่านอ๋องทั้งสามที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันเผยสีหน้าเจ็บปวดและแตกตื่นออกมา สติรับรู้รางๆ สายหนึ่งทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ในพริบตาเสียงดังสวบๆๆๆๆ แล้วหนีหายไปหมดทันที…
ทันใดนั้น
ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นแล้ว! ผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งเดิมมีพลังสูงเทียมฟ้า พลังก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยามนี้กลับเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา แต่พลังของเขากลับลดลงตลอดอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของตอนที่เป็นระดับสุดยอกเท่านั้น ส่วนจอมกระบี่และบรรพชนแมลงก็พากันมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ผลของอาวุธลับดีขนาดนี้เชียวหรือนี่
เรียกได้ว่าหนึ่งกระบวนท่ากวาดล้างทั่วสารทิศจริงๆ!
…………………………………………………..