Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 19 กระบวนสังหารแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียม (2)
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ตอนที่ 19 กระบวนสังหารแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียม (2)
ท่ามกลางการรู้แจ้ง แสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง เขตลวงพิเศษแห่งนี้ก็ถูกชดเชยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ความเร้นลับของกฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนซึมซาบเข้าไป เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยสำแดงในอดีต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยซับซ้อนเช่นนี้มาก่อนเลย! ทว่าในคราวนี้ การสั่งสมอันหนักแน่นและส่วนประกอบเขตลวงภายในดวงตาลึกลับที่ได้เห็นดวงแล้วดวงเล่าทำให้เขาติดเข้าไปสู่ความคลั่งไคล้ชนิดหนึ่ง…
สถานะรู้แจ้งชนิดนี้ต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งแสนปีแล้ว จนกระทั่งเขตลวงขนาดใหญ่มหึมาแห่งนั้นก่อรูปร่างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ที่จุดศูนย์กลาง
“พรึ่บ”
โลกลวงอันขมุกขมัวซึ่งมีรูปร่างคล้ายจานกลมปรากฏชัดขึ้นในห้วงทะเลแห่งการรับรู้
มันงดงามและสว่างไสว
ถึงขนาดที่การมีอยู่ของมันทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนเป็นเพิ่มการรวมตัวเป็นความจริงมากยิ่งขึ้นตามธรรมชาติ หลังจากที่ดูดซับ ‘โลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัส’ แล้ว วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความก้าวหน้าขึ้นมาอีกครั้งเป็นครั้งแรก
‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็เป็นวิถีชนิดหนึ่งของวิญญาณเช่นกัน!
การยกระดับของมันก็เป็นการยกระดับของความเข้าใจต่อพื้นฐานวิญญาณ การยกระดับย่อมสามารถทำให้วิญญาณแปลงสภาพไปได้อยู่แล้ว
“ข้า… ข้าถึงกับสร้างโลกลวงพรรค์นี้ขึ้นมาได้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองรู้สึกถึงโลกลวงที่กฎเกณฑ์ประกอบกันขึ้นมาในห้วงทะเลแห่งการรับรู้แล้วก็อดที่จะพรั่นพรึงอีกทั้งยังยากที่จะเชื่อมิได้ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าสรรสร้างขึ้นมาเองจริงๆ น่ะหรือ”
สมบูรณ์แบบ
ขณะนี้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับมีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่งอย่างเลือนราง วิญญาณและร่างกายหล่อเลี้ยงเติมเต็มซึ่งกันและกัน ร่างกายถึงกับมีความรู้สึกว่ากำลังยกระดับอย่างช้าๆ ชนิดหนึ่งขึ้นมา
“ในอดีตล้วนเป็นร่างกายหล่อเลี้ยงวิญญาณ ขณะนี้ข้าถึงกับรู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังส่งผลต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายของข้าทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนทำอย่างไรร่างกายของเขาก็ไม่มีทางที่จะยกระดับได้เลย แม้กระทั่งอาศัยปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น และอ้างอิงจากสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่ตนได้รับมา การฝึกกายคละถิ่นทำให้ร่างกายของตนเทียบเคียงได้กับสายฝึกกายระดับขั้นสุดยอดแล้ว
ตอนนี้ร่างกายก็ยกระดับแล้ว
คราวนี้เป็นเพราะวิญญาณนำทาง
“โลกลวงที่ข้าคิดค้นขึ้นในครั้งนี้ต่างก็มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์อยู่บางส่วนด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน แต่เขาก็เข้าใจว่านี่เพียงแค่มีความรู้สึกอันเลือนรางเท่านั้น
เป็นเพราะซึมซับเอาความวิเศษบางอย่างของโครงสร้างเขตลวง ใน ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ จึงคิดค้นโลกลวงเช่นนี้ออกมาได้
“ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นสุดยอด! เกรงว่าวิญญาณก็จะสามารถเต็มสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริงแล้ว ”ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความกระจ่างแจ้งอย่างหนึ่งว่าในตอนนี้เขามีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่งอย่างรางๆ ราวกับดอกไม้กลางไอหมอก เขาสามารถรู้สึกได้ถึงระดับขั้นนั้นอย่างรางๆ แล้ว เมื่อใดที่วิญญาณเต็มสมบูรณ์ เกรงว่าจะสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ออกมาได้มากมาย
……
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าหัวใจจะเกิดระลอกกระเพื่อมไหว มุ่งมาดปรารถนาต่อการเกิดขึ้นของ ‘วิญญาณเต็มสมบูรณ์’ แต่ก็ยังสงบเย็นเป็นอย่างยิ่ง “ทางด้านวิถีวิญญาณ ข้าก็เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดของทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว นอกจากนี้ข้ายังมองเห็นทิศทางอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วอีกด้วย ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงความเต็มสมบูรณ์ ขอเพียงแค่ใช้เวลามากเพียงพอก็จะต้องสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้อย่างแน่นอน แน่นอน!”
การช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้น ทำให้สรรพชีวิตหลุดพ้นจากการควบคุมของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณกลับคืนสู่อิสรภาพ คราวนั้นก็มองเห็นทิศทางแล้ว
คราวนี้ก็ยิ่งก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงความเต็มสมบูรณ์แล้ว
ถึงขนาดที่รวบรวมเอาสิ่งที่ได้จากดวงตาลึกลับ คิดค้นท่าไม้ตายเขตลวงที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาได้
“โลกแห่งนี้ช่างงดงามเหลือเกิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
‘จักรวาลโลกเทียม’ ภายในร่างกายของตนวิวัฒน์อย่างฉับพลัน อ้างอิงจากส่วนประกอบโลกลวงที่ตระหนักรู้ใหม่ มาใช้ปรับปรุงแก้ไขทั้งจักรวาลโลกเทียม เป็นถึงผู้คิดค้น การเปลี่ยนแปลงด้วยความนึกคิดเดียวก็ทำให้จักรวาลโลกเทียมเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด
ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลโลกเทียมก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วยิ่งขึ้น วิญญาณมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในก็กำลังขยายเผ่าพันธุ์ ดำรงชีวิต และบำเพ็ญ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็มีผู้ที่เลิศล้ำไร้เทียมทานปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“โลกลวงนี้ทำให้ข้ามีแรงกระตุ้นที่จะเข้าไปภายในนั้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
“เคล็ดวิชาโลกเขตลวงนี้ก็เรียกว่า…”
“โลกลวง…สว่างไสว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
โลกสว่างไสว มีทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น แม้กระทั่งเทพจักรวาลผู้สูงส่งก็ยังต้องการจมดิ่งเข้าไป
******
ณ เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินบินอยู่ในเกาะลอยคว้างตามลำพัง โลกลวงที่สว่างไสวอย่างยิ่งแห่งหนึ่งแผ่ไปทั่วบริเวณรอบๆ ปกคลุมพื้นที่ถึงสามร้อยล้านลี้ สามารถรักษาอาณาบริเวณอันใหญ่โตถึงเพียงนี้ภายใต้การกดดันของเกาะลอยคว้างได้ ก็สามารถเห็นได้ถึงพลานุภาพของเคล็ดวิชาเขตลวงนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในปัจจุบันแล้ว
ตนเองคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมา ที่แท้แล้วมีพลานุภาพมากเพียงใดกันแน่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังไม่รู้กระจ่างชัดนัก
เขาสามารถรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าน่าจะไปถึงพลังคุกคามระดับที่สามขั้นสุดยอดแล้ว
ถึงขนาดที่มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน! พลังคุกคามที่แท้จริงนั้นก็ยังต้องอาศัยการต่อสู้ที่แท้จริงมาพิสูจน์
“นั่นคือใครกัน เหตุใด เหตุใดจึงมีชนเผ่ามรณะทมิฬลอยคว้างอยู่รอบกายมากมายถึงเพียงนั้นเล่า” มีผู้แกร่งกล้าของเผ่ามรณะทมิฬมองเห็นชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทรากลุ่มหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่รอบกายหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งอยู่ห่างๆ
อาณาบริเวณสามร้อยล้านลี้ก็กว้างใหญ่อย่างยิ่งแล้ว
ผู้ที่อยู่ในห้วงนิทรารอบๆ กายตงป๋อเสวี่ยอิงเหล่านั้นล้วนถูกเขตลวงห่อหุ้มเอาไว้ทั้งสิ้น ก็ย่อมต้องอยู่ท่ามกลางการโจมตีอยู่แล้ว ถึงขนาดที่พวกมันต่างก็มิทันได้พบตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเลยด้วยซ้ำ
และผู้แกร่งกล้าคนนี้ยังปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย! มองเห็นจากที่ไกลๆ บนท้องฟ้า ห่างออกไปหลายร้อยล้านลี้
“พรึ่บ”
ชนเผ่ามรณะทมิฬที่มีปีกผู้นี้เคลื่อนที่ในพริบตาอย่างโกรธเคืองในทันใดแล้วไล่บี้ตงป๋อเสวี่ยอิง
จากนั้น… ผลุบ! ก็ตกลงสู่ห้วงนิทราเช่นกัน แล้วล่องลอยอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง
ก็เป็นเช่นนี้เอง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งตรงไปจนถึงดินแดนชนเผ่า!
“พรึ่บ!”
ทั่วทั้งอาณาบริเวณของดินแดนชนเผ่าก็มีพื้นที่ราวๆ หนึ่งพันล้านลี้ อาณาบริเวณเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปกคลุมไปเกือบครึ่งแล้ว เมื่อสัมผัสกับเขตลวง ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นต่างก็ตกลงสู่ห้วงนิทรากันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ละคนไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย เหล่าผู้แกร่งกล้าของชนเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ที่อยู่นอกอาณาบริเวณเขตลวง เมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตกลงสู่ห้วงนิทรากันไปคนแล้วคนเล่า ต่างก็ตกใจเสียจนต้องไปปลุก ‘จักรพรรดิ’ ของพวกเขาขึ้นมา
“ใครกัน! เป็นใครกันที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนชนเผ่า!” จักรพรรดิคือสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าที่มีปีกสีดำขนาดมหึมาตนหนึ่ง ดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของมันจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างกายใหญ่โตมโหฬารราวกับภูเขาขนาดย่อม ทรงพลังล้นฟ้า
ชนเผ่ามรณะทมิฬที่ลอยคว้างอยู่อย่างแน่นขนัดรอบๆ กายตงป๋อเสวี่ยอิง แน่นอนว่าเป็นเพราะลูกน้องของเขาออมมือ แม้กระทั่งชนเผ่ามรณะทมิฬที่มิได้มีเชาวน์ปัญญาใดๆ กลุ่มหนึ่ง เขาก็ยังแค่ให้พวกมันหลับใหลนิทราอยู่ในเขตลวงเท่านั้นเอง
“จักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬ ที่ข้ามานี้มิได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจงใจประวิงเวลา เขตพลังของเขากว้างใหญ่เหลือเกิน ก็ได้ค้นพบดวงตาสีเทาดวงนั้นบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว
ดวงตาสีเทาดวงนี้ก็อยู่บนเรือนยอดของต้นพืชประหลาดต้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
พินิจดูและจดจำ
“มิได้มีเจตนาร้าย แต่ทำให้ชนเผ่ามรณะทมิฬมากมายถึงเพียงนี้ถูกเจ้าควบคุมจนสิ้นอย่างนั้นหรือ” จักรพรรดิคำรามเสียงต่ำ แต่ก็มีความระมัดระวังอยู่บ้าง มันมองเจตนาที่แท้จริงของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ไม่ออก
ใช่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอดีต ดีร้ายอย่างไรบรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬก็สามารถรับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเทพจักรวาลชั้นที่สองของเขา
แต่ในขณะนี้ผู้ที่ควบคุมเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นนี้ในความรู้สึกของพวกเขา แม้กระทั่งตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวง ก็ย่อมมิอาจสังเกตกลิ่นอายใดๆ พบได้เลยแม้แต่น้อย
ชนเผ่ามรณะทมิฬกว่าหมื่นคนล่องลอยอยู่บริเวณรอบๆ อย่างแน่นขนัด แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิ’ ก็ยังตื่นตกใจอยู่บ้าง มันก็มิได้ไร้เทียมทานเสียหน่อย!
‘แปดผู้วิเศษ’ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น
ในบรรดากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็มีระดับ ‘ยอดเคารพ’อยู่ เป็นถึง ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เชาวน์ปัญญาของมันก็สูงมากแล้ว เมื่อมันเผชิญกับการวิงวอนของผู้อ่อนแอมันก็มิได้แยแสสนใจ แต่เผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าแล้วกลับหวาดหวั่น
“พวกมันต่างก็มิได้ตาย เพียงแต่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทราเท่านั้น ที่ข้ามาก็เพียงเพื่อเก็บรวบรวมวัสดุเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไปเรื่อยเปื่อย แล้วจดจำไปพลางๆ เพียงชั่วครู่ก็จดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาสีเทานั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนที่หนึ่งออกมาได้แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเขตลวงของดวงตาลึกลับแล้วก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
“ถูกต้องแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู ‘จักรพรรดิ’ ผู้อยู่ท่ามกลางความระแวดระวังที่อยู่ห่างออกไปตนนั้น “ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งด้วย”
จักรพรรดิเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าอนุญาตให้เจ้าเก็บเอาวัสดุชนิดหนึ่งแล้วจากไปได้แล้ว ยังมีเรื่องใดอีกเล่า”
“ประลองฝีมือกับท่าน ดูความแตกต่างระหว่างพลังยุทธ์ของท่านกับข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้ม
“ประลองฝีมือหรือ”
ในที่สุดจักรพรรดิที่อดทนอดกลั้นมาโดยตลอดก็โมโหขึ้นมาเสียแล้ว!
เผ่ามรณะทมิฬอารมณ์มิสู้ดีกันสักเท่าใดนัก เขาเพียงแค่หวาดกลัวผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งเท่านั้น จึงได้ยอมเสียสละวัสดุที่เขามิได้สนใจบางอย่าง ให้หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้ลึกลับผู้นี้จากไปเขาก็เต็มใจอยู่ ตอนนี้ยังจะมาต้องการประลองฝีมืออีกอย่างนั้นหรือ
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!!!” สัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าปีกสีดำขนาดมหึมาที่ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ตนนี้แผดเสียงคำรามออกมาในทันใดแล้วพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง
ปัง…
เขตลวงที่หดพื้นที่เล็กลงโดยเจตนา ขณะนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นในทันใด แล้วห่อหุ้ม ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นเอาไว้ภายใน
ดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของจักรพรรดิจ้องมองไปยังบริเวณรอบๆ ในทันทีพร้อมกับเผยสีหน้าดิ้นรน แต่พร้อมกันนั้นปีกของมันก็ยังอ่อนยวบแล้วห้อยตกลงมา แววตาก็ขมุกขมัว ร่างกายใหญ่มหึมาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตกลงสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจ “สำเร็จจริงๆ แล้วหรือ ถ้าหากไม่สำเร็จ แค่ฝ่ามือเดียวของเขาก็ฟาดข้าตายได้แล้วกระมัง!”
เพื่อพิสูจน์พลังยุทธ์ เขาได้เตรียมพร้อมให้ร่างแยกถูกผลาญทำลายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
และดูจากผลลัพธ์แล้ว… การมาที่นี่ เกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็ถูกเขากวาดล้างเรียบร้อยแล้ว! รวมถึงจักรพรรดิผู้นั้นด้วย!
……………………………………………