Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 23 หนีหัวซุกหัวซุน
“ขอรับ ท่านประมุข”
ผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเก้าที่ตื่นขึ้นมาหยิบขวดหยกที่เปล่งประกายแสงดาว ขวดหนึ่งออกมาแล้วดึงจุกออก ทันใดนั้น พละกำลังที่ดูดกลืนลงไปก็ปกคลุมยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าที่อยู่ในห้วงนิทราเอาไว้ แต่ละคนล้วนถูกเก็บลงไปในขวด จากนั้นผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้ก็อุดจุกขวดกลับลงไปด้วยความตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก ก่อนจะรีบรายงานว่า “ท่านประมุข ยอดฝีมือของทั้งห้าเผ่ารวมสามสิบคนถูกจองจำเอาไว้จนสิ้นแล้ว และยังมิเคยทำร้ายพวกเขาเลยแม้แต่ชีวิตเดียว”
เสียงที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้พูดสะท้อนก้องเป็นพิเศษ มันแพร่ไปทั่วทั้งนครแสงดาว แม้แต่บรรดายอดฝีมือของทั้งห้าเผ่าซึ่งอยู่บนเรือใหญ่นอกเมืองหลายลำก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่ามองไปทาง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ตอนนี้ถูกห้อมล้อมอยู่ด้วยความแตกตื่นระคนหวาดหวั่น ประมุขแสงดาวก็ยังต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นหาใดเปรียบ
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน”
“ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดที่พวกเราห้าเผ่าคัดเลือกมากลับถูกกระบวนท่ากันหมดในพริบตา ดูเหมือนจะเป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณทั้งหมดเลยหรือ”
ศัตรูที่มองไม่เห็นลงมือขึ้นมา
ยอดฝีมือทั้งสามสิบคนทางฝ่ายตนอ่อนยวบไปกันหมด แล้วตกเข้าสู่ห้วงนิทรา นี่จะต้องเป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอย่างไร้ข้อกังขา กระบวนท่าระดับนี้ทำให้ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาวได้! เนื่องจากผู้ที่ส่งออกไป ก็คือเหล่าผู้แกร่งกล้าที่เป็นรองเพียงผู้นำทั้งห้าเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว พลังของทหารคุ้มกันทั้งหลายบนเรือรบก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว
เชื่อว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณซึ่งมีขอบเขตกว้างใหญ่เหมือนกัน ก็สามารถกวาดล้างพวกเขาได้ในกระบวนท่าเดียว
ไม่เห็นหรือว่าก่อนหน้านี้ แม้แต่ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของโลกแสงดาว ก็ล้มลงไปกันหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าเช่นนี้ จำนวนกลับไม่มีความหมายอันใดเลย!
“ทำเช่นไรดี”
“ผู้อาวุโสฟูเฉินยังถูกกระบวนท่าเข้าอย่างไร้ทางตอบโต้เสียแล้ว พวกเราหน้าไหนจะสามารถต้านทานได้เล่า”
“การโจมตีเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว”
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าตื่นตระหนก
ทางด้านผู้นำทั้งห้าก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน พวกเขามองสบตากันและกันอยู่ห่างๆ บนเรือใหญ่ของตนเอง แล้วถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ อย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ทั้งสี่ พวกผู้อาวุโสฟูเฉินถูกกระบวนท่าเข้าอย่างไร้ทางตอบโต้เสียแล้ว พวกเราทั้งห้าล้วนก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว! เมื่อเทียบกับพวกเขา ทางด้านวิญญาณของพวกเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้แล้ว เชื่อว่าคงไม่ถึงกับถูกกระบวนท่าและตกเข้าสู่ห้วงนิทราหรอก” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูในบรรดาผู้นำทั้งห้าถ่ายเสียงพูด “แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดในโลกจำนวนนับไม่ถ้วน รวมทั้งเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้น สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิตกเข้าสู่ห้วงนิทราได้เลย”
“ใช่ คิดจะทำให้พวกเราถูกกระบวนท่า เป็นไปไม่ได้หรอก”
“พวกเราก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว”
แต่ละคนพากันถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ระดับจักรพรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามรณะทมิฬ หรือว่าเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นระดับขั้นสูงที่สุดแล้ว ส่วนยอดเคารพในตำนาน พวกเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิที่ระดับขั้นครบสมบูรณ์เท่านั้น
อย่าง ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในตอนนั้นก็มิได้บรรลุถึงระดับจักรพรรดิ ดังนั้นในเกาะลอยคว้าง เขาจึงมิอาจใช้แรงต้าน ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ได้!
บรรลุถึง ‘ระดับจักรพรรดิ’ จึงจะมีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นผู้นำของเผ่าหนึ่งได้อย่างไร้ข้อกังขา
“ทว่ายอดฝีมือจำนวนมากถูกกระบวนท่าในพริบตาเดียว กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก แม้พวกเราจะสามารถต้านทานได้ แต่เกรงว่าพลังก็คงต้องลดลงสามสี่ส่วนเลยทีเดียว” สตรีหางงูถ่ายเสียงพูดต่อไป “ในโลกแสงดาว ประมุขแสงดาวอาศัยพละกำลังของเผ่า พลังจึงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก เพียงคนเดียวก็สามารถต้านทานพวกเราทั้งห้าคนได้แล้ว ด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว ทำให้ข้าและคนอื่นๆ พลังลดลงเป็นอย่างมาก เกรงว่าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขแสงดาวแล้ว”
“ตอนนี้พวกเราไม่มีข้อได้เปรียบมากพอแล้ว”
“ถอย”
“ถอยไปก่อน แล้วรายงานองค์จักรพรรดิ”
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง พวกเขาไม่มีจิตคิดต่อสู้เลย
ไม่นานนัก
สวบๆๆๆๆ…
เรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าทะลุอากาศจากไป
“ประมุขแสงดาว” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งหยุดอยู่กลางอากาศ เป็นร่างแปรของสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูผู้นั้นนั่นเอง นางเอ่ยปากพูดว่า “ข้าและคนอื่นๆ รับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอมาที่นี่ เจ้าปล่อยคนของพวกเราออกมาให้หมดจะดีที่สุด นั่น…”
“ไม่ต้องพูดมาก”
ประมุขแสงดาวกลับตัดบทขึ้นมา แล้วพูดตะคอกว่า “ในเมื่อถูกข้าและคนอื่นๆ จับมาทั้งเป็น ข้าก็ย่อมไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว! ช่วงที่ผ่านมาพวกเจ้าโจมตีโลกแสงดาวของข้า ชาวเผ่าแสงดาวเราสู้รบจนต้องตายไปมากมาย พวกเรามิได้สังหารเชลยทันทีก็ถือว่าเมตตามากแล้ว! หวังว่าพวกเจ้าจะถอยไปแต่โดยดี หากมาโจมตีอีก ก็อย่าโทษว่าพวกเราแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”
สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูจ้องประมุขแสงดาวเขม็ง
นางก็เข้าใจดีว่า ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาทั้งห้าเผ่าโจมตี วิธีการก็ดุเดือดยิ่งนัก ซึ่งล้วนแต่เป็นการทำตามบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอทั้งสิ้น…หมายจะทำลายเผ่าแสงดาวให้หมด! เมื่อจะล้างเผ่าพันธุ์ ขณะต่อสู้ก็ย่อมไม่ไว้น้ำใจอยู่แล้ว บัดนี้คิดจะทำให้อีกฝ่ายปล่อยเชลยคืนมา ก็ย่อมยากเสียยิ่งกว่ายาก
“ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขใด พวกเจ้าจึงจะยอมรับปากว่าจะปล่อยพวกเขากลับมา” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูเอ่ย
“ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอมีโองการลงมาด้วยตนเอง แล้วเจ้าส่งโองการมา โองการก็ต้องเขียนให้ชัดเจนว่านับแต่นี้ไป เผ่าแสงดาวของเราจะไม่ฟังการโยกย้ายจากจักรพรรดิเป่ยเหออีกต่อไปแล้ว และจะไม่มาโจมตีโลกแสงดาวของข้าอีก” ประมุขแสงดาวกล่าว ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอเขียนโองการด้วยมือตนเอง เพื่อรักษาหน้าตา เขาก็ย่อมไม่มีทางตระบัดสัตย์
“เงื่อนไขของเจ้านี่ช่างสูงเสียจริง” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูพูดเสียงต่ำ
จักรพรรดิเป่ยเหอมีนิสัยเช่นใดกัน แล้วจะยอมออกโองการเช่นนี้มาได้อย่างไร
“เงื่อนไขก็อยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน!” ประมุขแสงดาวตะคอก “ตอนนี้ เจ้าออกจากโลกแสงดาวไปเสียเถอะ”
ประมุขแสงดาวพูดพลางสะบัดชายเสื้อ
ฟิ้ว
ไกลออกไป อากาศกวาดออกไป ร่างแปรของสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูผู้นั้นก็หายวับไปทันที นางเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างเงียบเชียบ
……
พลังของประมุขแสงดาวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศัตรูได้จากโลกแสงดาวไปจนสิ้นแล้ว
“ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจากไปหมดแล้ว” ประมุขแสงดาวประกาศเสียงดังกังวาน “ศัตรูถอยไปหมดแล้ว”
“พวกเราชนะแล้ว”
“ถอยไปแล้ว พวกเขาถอยไปแล้ว”
“ในที่สุด ในที่สุดพวกเราก็ชนะแล้ว”
ชาวเผ่าแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนในนครแสงดาวโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น แม้พวกเขาจะรู้ว่าเป็นการแก้ไขวิกฤตเพียงชั่วคราว แต่ต่อให้ชนะเพียงชั่วคราว ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขารอคอยมานานแสนนานเกินไปแล้ว
นอกจากนี้ ครั้งนี้ในมือของพวกเขายังมีเชลยที่สำคัญ ซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับยอดกว่าครึ่งของฝ่ายศัตรูทั้งห้าเผ่าอยู่ด้วย เมื่อมีเชลยเช่นนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง ทั้งห้าเผ่าก็ต้องกลัวจะตีวัวกระทบคราด! ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ อาจจะไม่สนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ผู้นำของทั้งห้าเผ่าก็นับว่าเป็นบุคคลระดับสูงในบรรดาคนของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว พวกเขามีสหายมากมาย ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นของจักรพรรดิเป่ยเหอจึงต้องเห็นแก่หน้าอยู่บ้าง ไม่มีทางดันทุรังโจมตีต่อไปแล้วปล่อยให้เชลยเสี่ยงถูกสังหารตายเป็นแน่
นอกเสียจากจักรพรรดิเป่ยเหอจะมีบัญชาลงมา!
“พวกเราจับตัวเชลยเอาไว้ แล้วยังมีน้องหิมะเหินอยู่ด้วย” ประมุขแสงดาวมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง “น้องหิมะเหิน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนนั้นได้ทีช่วยเจ้าครั้งหนึ่งตามเรื่องตามราว เจ้ากลับช่วยทั้งเผ่าของข้าเอาไว้ในตอนนี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ว่า “สำหรับข้าแล้ว ก็แค่ใช้แรงเหมือนยกฝ่ามือเท่านั้นเอง”
ประมุขแสงดาวฟังแล้วก็ยิ้มขึ้นมา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว บุญคุณใหญ่ครั้งนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ อ้อ ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนที่เจ้าสำแดงกระบวนท่าออกมา แม้แต่ยอดฝีมือของเผ่าแสงดาวเราก็ยังถูกกระบวนท่ากันหมด สามารถแยกฝ่ายเราและศัตรูออกจากกันได้หรือไม่”
“ไม่ ไม่ แยกฝ่ายเราและศัตรูหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้ายิ้มๆ “กระบวนท่าที่ผู้บำเพ็ญเราสำแดงออกมานั้นวิจิตรพิสดารมาก ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดระดับนี้ได้อย่างแน่นอน ที่เมื่อครู่ถูกกระบวนท่ากันหมด ก็เพราะข้ากังวลว่า หากข้าลงมือกับยอดฝีมือทั้งห้าเผ่า แต่ยอดฝีมือเผ่าแสงดาวกลับมิอาจหยุดมือได้ทันทีแล้วสังหารยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจนเกลี้ยง เช่นนั้นก็จะน่าเสียดายแย่”
“ฮ่าฮ่า ถูกต้อง ขณะห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของท่านก็เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ยอดฝีมือของพวกเราเผ่าแสงดาก็คงหยุดมือไม่ได้จริงๆ” ประมุขแสงดาวกระจ่างแจ้งขึ้นมา “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เป็นเชลยให้หมดก็เป็นเรื่องดีต่อเผ่าแสงดาวเรา สามารถทำให้ศัตรูมิกล้าเปิดศึกขึ้นมาง่ายๆ อีก”
“ท่านประมุข” ผู้อาวุโสผมเงินด้านข้างคนหนึ่งพูดเสียงต่ำ “ชัยชนะครั้งใหญ่เช่นนี้ จ้าวหิมะเหินช่วยพวกเราทั้งเผ่าเอาไว้อีกแล้ว ยามนี้ ก็ควรเฉลิมฉลองให้ดีๆ สักตั้งหนึ่ง!”
“ใช่แล้ว ควรเฉลิมฉลอง ควรเฉลิมฉลอง” ประมุขแสงดาวหัวเราะดังลั่น เขายื่นมือออกไปจับมือตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ทันที “น้องหิมะเหิน นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าแสงดาวของเรา”
ส่วนไกลออกไป องค์หญิงแห่งเผ่าแสงดาวที่ยืนอยู่กับมารดาก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกายเจิดจ้า นางพึมพำกับตนเองว่า “หิมะเหิน…นี่คือพรหมลิขิตหรือ”
******
ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่ากลับโดยสารเรือลำใหญ่ ทะลุผ่านอากาศอันไกลโพ้นไปถึง ‘โลกเป่ยเหอ’
“ไม่ใช่แค่มิอาจโจมตีได้เท่านั้น ยอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้นกลับกลายเป็นเชลยไปหมดอีกด้วย ตอนนี้พวกเราอับจนหนทางแล้ว ได้แต่รายงานองค์จักรพรรดิเท่านั้น” ผู้นำทั้งห้าร้อนรนขึ้นมา ร้อนรนที่ยอดฝีมือของเผ่าตนกลายเป็นเชลยไป
…………………………………………