Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 25 ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน
แม่ทัพเทพควันวายุเป็นสตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางหนึ่ง ส่วนแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเป็นบุรุษเกราะดำร่างบึกบึน พวกเขาทั้งสองคนเป็นพี่น้องคลานตามกันมาอย่างแท้จริง เป็นแม่ทัพเทพอันดับที่ห้าและแม่ทัพเทพคนอันดับที่ยี่สิบเก้าในบรรดาแม่ทัพเทพสามสิบหกนาย
ต้องรู้ไว้ว่า
จักรพรรดิเป่ยเหอคัดเลือกแม่ทัพเทพสามสิบหกนายมาจากยอดฝีมือระดับจักรพรรดิในโลกทั้งหลายที่เขาบัญชาการอยู่! แต่ละคนล้วนมีพลังอันแข็งแกร่ง อย่างผู้นำของห้าเผ่าซึ่งเพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดินั้น ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในแม่ทัพเทพสามสิบหกนายได้
“เชิญแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกหรือ” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและแม่ทัพเทพควันวายุสบตากัน พวกเขาทั้งสองไม่ค่อยคุ้นเคยกับแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกสักเท่าใดนัก
แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก
เป็น ‘แม่ทัพเทพอันดับสอง’ ในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนาย ด้วยสถานะของแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก จึงไม่มีทางทำหน้าที่แม่ทัพเทพอารักขาคอยติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอ แม้จะกล่าวว่าข้างกายจักรพรรดิเป่ยเหอมักจะมีแม่ทัพเทพเก้าท่านคอยคุ้มกัน แต่โดยทั่วไปแล้วก็มักจะเป็นผู้ที่มีอันดับค่อนข้างรั้งท้าย ส่วนผู้ที่อยู่ในห้าอันดับแรก…ก็คือผู้ที่จักรพรรดิเป่ยเหอทำให้พวกเขายินยอมมาติดสอยห้อยตามด้วยการเจรจาแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างกัน ตามปกติแล้วก็เป็นอิสระ มีเพียงยามสงครามเท่านั้นจึงให้พวกเขาลงมือ
“ไปเถิด พวกเจ้าไปพบแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกเถิด ให้เขานำพวกเจ้าไปยังโลกแสงดาว” จักรพรรดิเป่ยเหอออกคำสั่ง
เขาไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเป็นอันขาด!
จะต้องสะอาดหมดจด!
“ขอรับ!”
แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพควันวายุและผู้นำของทั้งห้าเผ่าพากันรับคำ
……
แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพควันวายุและผู้นำทั้งห้า โดยสารเรือใหญ่ลำนี้ออกจากโลกเป่ยเหอแล้วทะลุอากาศไป ไม่นานนักก็มาถึงโลกโครงกระดูก
“ฟิ้ว”
แม้โลกโครงกระดูกจะเป็นบริเวณที่จักรพรรดิเป่ยเหอปกครองเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากแม่ทัพเทพโครงกระดูกแข็งแกร่งพอ จึงค่อนข้างเป็นอิสระมาก ตลอดคืนวันอันยาวนาน ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ ถูกโยกย้ายแค่เพียงบางครั้งเท่านั้น เท่านั้น! เพราะถึงอย่างไรด้วยสถานะของจักรพรรดิเป่ยเหอ…ก็หาได้ยากนักที่จะโยกย้ายแม่ทัพเทพโครงกระดูก
ณ ตำหนักอันสูงตระหง่านซึ่งสร้างขึ้นจากโครงกระดูกสีขาว
‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ คือชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่ง บนร่างมีเกราะกระดูกขาวหุ้มอยู่ เขากำลังสวาปามกะดูกชนิดแล้วชนิดเล่าตรงหน้าคำโต กร๊อบๆๆ เขาเคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไปอย่างง่ายดาย
รอบด้านเขาก็มีทหารคุ้มกันซึ่งเป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าโครงกระดูกอยู่
เมื่อแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและคนอื่นๆ เข้ามาเยี่ยมเยียนนั้น
แม่ทัพเทพโครงกระดูกเพิ่งจะกินกระดูกในถาดขนาดมหึมาตรงหน้าลงไปจนเกลี้ยง แล้วเขาก็ยืนขึ้นมา พลางเอ่ยว่า “กินเสร็จพอดี ไปเถอะ ไปโลกแสงดาวกัน”
เรือใหญ่ทะยานออกจากโลกโครงกระดูกไป
“ทุกครั้งที่เห็นน้องควันวายุ ก็รู้สึกว่างามขึ้นทุกครั้งเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกพูดยิ้มๆ “น้องควันวายุ มาเป็นฮูหยินข้าเป็นอย่างไรเล่า เผ่าโครงกระดูกของข้ากำลังขาดประมุขหญิงพอดีน่ะ!”
“ทุกครั้งที่ได้พบพี่รอง พี่รองก็หยอกข้าเล่นอยู่เรื่อย” แม่ทัพเทพควันวายุพูดอย่างจนใจ
“น่าเสียดายที่ข้าชอบน้องควันวายุ แต่น้องควันวายุกลับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกทอดถอนใจ เขามองดูแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่อยู่ด้านข้าง “เขมือบเมฆา เจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมน้องสาวเจ้าทีสิ”
“ข้ากล่อมนางมิได้หรอก” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาพูดเสียงต่ำ “พี่รอง ท่านก็รู้ มีแต่น้องสาวข้าเท่านั้นที่ยุ่งเรื่องข้าได้ ข้าจะกล้าไปยุ่งกับนางเสียที่ไหนกันเล่า”
“ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!” แม่ทัพเทพโครงกระดูกแค่นเสียง “ข้าล่ะรู้สึกขายหน้าแทนเจ้าจริงๆ”
แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาต่างก็จนใจ
อันที่จริงแล้วพวกเขาก็มิได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับแม่ทัพเทพโครงกระดูกขนาดนั้น เพียงแต่ว่า ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ มีนิสัยพิกลอยู่อย่างหนึ่ง…ก็คือเมื่อได้พบแม่ทัพเทพหญิงไม่ว่าคนใดในบรรดาแม่ทัพเทพสามสิบหกนาย ก็ล้วนเสนอว่าจะให้ไปเป็นภรรยาของเขา! ทว่าสตรีที่สามารถสำเร็จเป็นแม่ทัพเทพได้ แต่ละคนก็ล้วนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง คิดจะให้พวกนางจิตใจหวั่นไหวจึงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
……
พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันอยู่บนเรือใหญ่ ไม่นานนักก็เข้าสู่โลกแสงดาวแล้วเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังนครแสงดาวทันที
ภายในนครแสงดาว
ชาวเผ่าแสงดาวกำลังเฉลิมฉลองอยู่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นชัยชนะเพียงชั่วคราว เพราะเบื้องหลังของศัตรูเป็นถึง ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้มีพลังอันแข็งแกร่ง! แต่พวกเขาทนอดสูใจมานานแสนนานแล้ว ท่ามกลางความสิ้นหวัง ก็มีความตื่นตระหนกอยู่ด้วย ยากนักที่จะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่สักครั้ง ทั้งยังจับเชลยมากลุ่มใหญ่อีกด้วย แต่ละคนล้วนเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ แม้แต่เหล่ายอดฝีมือระดับยอดของเผ่าแสงดาวก็เข้ารายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกับ ‘ประมุขแสงดาว’
พวกเขาร่ำสุราพลางหัวร่อต่อกระซิกไปพลางอย่างสุขสราญใจ
“พวกเขาไม่กล้าโจมตีง่ายๆ อีกแล้ว นอกเสียจากพวกเขาจะไม่แยแสชีวิตของเชลยเหล่านั้น”
“เฮอะๆ หากจะให้พวกเราตาย เชลยพวกนั้นก็ต้องตายเสียก่อน”
“จ้าวหิมะเหินจะต้องช่วยพวกเราแน่ พวกเขามิได้ชนะง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอก”
แต่ละคนพากันพูดเสียงสูง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างๆ ในใจกลับลอบรำพึงว่า ตอนที่เพิ่งมาถึง ผู้อาวุโสและแม่ทัพเหล่านี้ล้วนกล่าวว่า ‘หากศัตรูจะสังหารพวกเขา ก็คงจะต้องตายตกไปกว่าครึ่ง’ แม้แต่ผู้ที่มีความคิดว่าจะชี้เป็นชี้ตายกันไปข้างหนึ่ง ก็ไม่มีความคิดที่จะคว้าชัยได้เลย! แม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้าง และมองเห็นความหวังอยู่เล็กน้อยแล้ว แต่ในใจกลับไม่เป็นสุขนัก
ช่วยไม่ได้ ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจักรพรรดิเป่ยเหอได้ฝังรากลึกลงในจิตใจของชนพื้นเมืองทุกผู้เสียแล้ว
“ตอนนั้นประมุขแสงดาวมาช่วยข้า ครั้งนี้ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สำหรับเขาแล้ว
เขาไม่กลัวเผ่ามรณะทมิฬและชาวเผ่าชนพื้นเมืองเลยแม้แต่น้อย เผ่าที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นที่สุดนั้นมิอาจเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้! พวกเขาได้รับขีดจำกัดของกฎเกณฑ์ที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ และผู้ที่สามารถเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้ โดยทั่วไปก็เป็นผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ระดับนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมของตน ทันทีที่พบหน้าก็เกรงว่าคงจะต้องหลับใหลเสียแล้ว!
“ไม่ดีแล้ว” สีหน้าของประมุขแสงดาวพลันเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่
“เป็นอะไรไปหรือ” คนกลุ่มหนึ่งที่เฉลิมฉลองอยู่ภายในโถงตำหนักต่างก็มองไปทางประมุขแสงดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองมาเช่นกัน
สีหน้าของประมุขแสงดาวคล้ำเขียว ในฐานะที่เขาเป็นประมุขของโลกแสงดาวแห่งนี้ ในสายตาของ ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ เรือใหญ่ที่พวกเขาโดยสารอยู่นั้น เพิ่งจะเข้าสู่โลกแสงดาว ก็ถูกพบเข้าทันที
“ฟิ้ว”
ประมุขแสงดาวโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีภาพฉากหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นคือเรือใหญ่
บนเรือใหญ่มีเงาร่างทั้งหมดรวมแปดสาย ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ก็คือชายหนุ่มชุดเขียวซึ่งสวมเกราะกระดูกขาวเอาไว้และคนอื่นๆ รวมสามคน ได้แก่แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา ด้านหลังพวกเขาทั้งสามจึงจะเป็นผู้นำของทั้งห้าเผ่า
เพียงแปดคน มิได้พาผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ มาด้วย! เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมากว่า ผู้ที่มีพลังอ่อนแอ เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็ล้วนต้องถูกกวาดล้างทั้งสิ้น
“นี่มัน…”
ประมุขแสงดาว ผู้อาวุโสทั้งเก้าและบรรดายอดฝีมือทั้งหลายสีหน้าพลันเปลี่ยนแปรไปจนไม่น่ามอง ภรรยาและบุตรสาวของประมุขแสงดาวก็สีหน้าซีดขาวเช่นเดียวกัน
“แม่ทัพเทพควันวายุ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา และยังมี…แม่ทัพเทพโครงกระดูกด้วย! แม้แต่แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็ยังมาด้วย ช่างเห็นโลกแสงดาวของเราอยู่ในสายตาจริงๆ” ร่างของประมุขแสงดาวสั่นเครือ หากอยู่ภายนอก หากไม่มีพละกำลังของเผ่าแสงดาวคอยส่งเสริมตนเอง แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็คงจะสามารโจมตีเขาจนสลายไปได้อย่างง่ายดาย! แต่ต่อให้มีพละกำลังของเผ่าช่วยส่งเสริม เกรงว่าพลังของเขาก็คงจะแค่สามารถเทียบกับแม่ทัพเทพควันวายุที่อ่อนแอที่สุดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น
โจมตีอย่างไรเล่า
“รับศัตรู!!!” ประมุขแสงดาวขบกรามพลางคำรามเสียงต่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขัดขวางไว้
“อำมหิตใช้ได้ที จักรพรรดิเป่ยเหอก็อำมหิตใช้ได้เลยทีเดียว!”
“เห็นทีเขาจะไม่แยแสชีวิตของเชลยพวกนั้นเสียแล้ว”
“ให้แม่ทัพเทพโครงกระดูกมาจัดการโลกแสงดาวของเรา”
ผู้คนทั้งหลายรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งเก้าต่างก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา
สวบๆๆ…
พวกเขาต่างก็มาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว แล้วยืนอยู่กลางอากาศ ภายใต้แสงดาวที่สาดส่อง แต่ละคนต่างก็ทอดสายตามองออกไปไกล ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ข้างประมุขแสงดาวพลางมองดูทุกสิ่ง เขาได้รับรายงานที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้ แล้วก็รู้จักแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนายภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจใคร่รู้นัก
ก่อนหน้านี้ ท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขา ล้วนแต่เป็นการลงมือกับเหล่าจักรพรรดิของเกาะแต่ละแห่งของเผ่ามรณะทมิฬเท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อลงมือกับชนพื้นเมืองจะให้ผลเช่นไร! ทว่าเมื่อดูๆ แล้ว แม้ปัญญาของชนพื้นเมืองจะดีกว่าเผ่ามรณะทมิฬอยู่บ้าง แต่ทางด้านการฝึกจิตทิพย์นั้นก็ยังห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโขชนิดเทียบไม่ติด เพียงแต่อาศัยความพิเศษของสายเลือดและความพิเศษของวิญญาณจึงสามารถต้านทานได้เล็กน้อยก็เท่านั้นเอง
“มาแล้ว”
“เป็นแม่ทัพเทพโครงกระดูก”
“เตรียมตัวสู้ให้สุดชีวิตเถอะ หากสู้มิได้ ก็ค่อยหนีตายตามแผนสุดท้ายที่วางเอาไว้ก็แล้วกัน” ประมุขแสงดาวและเหล่าผู้อาวุโสถ่ายเสียงให้กันเบาๆ นัยน์ตาของแต่ละคนฉายแววคลุ้มคลั่งออกมา
ที่นี่คือบ้านเกิดของพวกเขา! พวกเขาจึงไม่มีทางถอดใจไปง่ายๆ จะสู้สุดชีวิตทั้งที ก็ต้องสู้จนถึงชั่วขณะ!
ฟิ้ว…
เรือใหญ่ลำนั้นทะลุผ่านอากาศ ก่อนจะปรากฏขึ้นนอกนครแสงดาวแล้วหยุดอยู่ไกลลิบตรงนั้น แรงกดดันอันไร้รูปร่างทำให้ชาวเผ่าแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกจิตใจไม่เป็นสุข แม้พวกเขาจะรู้ว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ น่าหวาดหวั่นมากก็จริง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะได้รับชัยชนะมายกหนึ่ง ก็ส่งแม่ทัพสามคนจากแม่ทัพเทพสามสิบหกนายมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้แล้ว
“อ้อ เผ่าแสงดาว ช่างกล้าดีนัก!” บนหัวเรือใหญ่ บุรุษสวมเกราะกระดูกสีขาวผู้นั้นกวาดตามองคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกมา แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าเองคือจ้าวหิมะเหิน!”
…………………………………..