Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 3 การเชื้อเชิญของจอมกระบี่
ราตรีเยียบเย็นดั่งวารี
ณ ตำหนักใต้ดินอันเย็นเยียบ ตัวตำหนักกว้างใหญ่ ภายในกลับดูใหญ่โตยิ่งกว่าเมื่อผ่านค่ายกลมิติ
ตำหนักมีหกชั้นด้วยกัน
สามชั้นบนเป็นสถานที่พำนักของประมุขตำหนักและบรรดาศิษย์ของท่านประมุข
ส่วนสามชั้นล่างเป็นสถานที่ทดลอง
บัดนี้ ณ ชั้นล่างสุด ชั้นนี้มืดมน พื้นดินส่องเป็นแสงสีแดงเข้ม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด
“ในที่สุดก็รวบรวมตัวอย่างสำหรับทดลองได้ครบแล้ว” นัยน์ตาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำเต็มไปด้วยแววรอคอย เขาหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาแล้วดึงจุกขวดออก ทันใดนั้น เงาร่างคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมาเสียงดังพึ่บพั่บไปหมด ผู้บำเพ็ญนับล้านล้านคนถูกเคลื่อนย้ายออกมาจนหมด ผู้บำเพ็ญที่ถูกปล่อยออกมาเหล่านี้มองดูรอบด้านด้วยความแตกตื่น
ผืนดินอันแดงเข้มมืดมิด แผ่กลิ่นคาวโลหิตออกมา
ทำให้พวกเขาจิตใจไม่สงบมากยิ่งขึ้น
“จะต้องรวดเร็ว หากชักช้าอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงได้”
“มหาเคารพหิมะเหินที่สมควรตาย ยุ่งเรื่องคนอื่นดีนัก เหตุใดจึงต้องสนใจเรื่องความเป็นความตายของมดปลวกเหล่านี้อยู่ได้” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำลอบพึมพำ “ทำให้การทดลองของข้าต้องระมัดระวังมากขึ้น จนไม่กล้าทดลองตัวอย่างมากนัก ทว่าครั้งนี้สำคัญเกินไปแล้ว จะต้องมีตัวอย่างทดลองมากพอ! มัวแต่สนใจไม่ได้แล้วข้าต้องทดลองให้เร็วที่สุด”
ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็อดสูใจนัก
เดิมทีเขาก็ค้นคว้ากายหยาบและวิญญาณของผู้บำเพ็ญอยู่แล้ว ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อคลำทางสำหรับบำเพ็ญ
นับตั้งแต่ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผุดขึ้นมาในโลก เขาก็ระมัดระวังมากขึ้นทันที ตัวอย่างในการทดลองแต่ละครั้งก็น้อยลงเป็นอันมาก อย่างการเข่นฆ่าเล็กๆ น้อยๆ ในดินแดนจิตโลกาก็พบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก อย่างการฆ่าล้างแค้น ในดินแดนจิตโลกาก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตนับหมื่นที่ตายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจัดการก็ไม่ทัน! มีเพียงการล้างสังหารขนาดใหญ่เท่านั้น เขาจึงจะมาจัดการ
เพียงแค่มีบางการทดลองที่ต้องใช้ตัวทดลองมากมายอย่างยิ่งจริงๆ
“วัสดุอื่นๆ ที่ข้าเก็บรวบรวมมา เพียงพอสำหรับการทดลองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้จะต้องสำเร็จให้จงได้”
“ทำให้เต็มที่”
ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำพลันปรากฏกายขึ้นกลางอากาศในมิติชั้นนี้ เงารางของร่างกายขนาดมหึมาทำให้สิ่งมีชีวิตเบื้องล่างจำนวนนับไม่ถ้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ ร่างกายใหญ่โตของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำปกคลุมเบื้องล่าง ดวงตาเยียบเย็นกลับสำแดงเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นไปอีก “ข้าต้องการลูกมือเพียงสิบคนเท่านั้น คนที่ต้านทานไว้ไม่ไหวก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็สาดจุดแสงสีม่วงอันไร้ที่สิ้นสุดลงมา
จุดแสงสีม่วงยังคงร่อนลงมา
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ พลางมองดูประมุขตำหนักอาภรณ์ดำผู้นั้นด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
“มหาเคารพหิมะเหิน!” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำกลัวเสียจนแข้งขาอ่อนไปหมด
เขากลัวฉากนี้จะเกิดขึ้น แต่ต่อให้กลัวมากกว่านี้ ก็ยังคงถูกมหาเคารพหิมะเหินพบเข้าอยู่ดี!
ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำตะโกนขึ้นทันทีว่า “ท่านจะสังหารข้าไม่ได้ ข้าทำไปเพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น”
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง จุดแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปหมดตามระลอกคลื่นอากาศ
“เพื่อการบำเพ็ญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา
“ข้ากำลังฝึกกายหยาบสำหรับสายฝึกกาย และกำลังค้นคว้าวิญญาณ ข้าจำเป็นต้องทดลอง” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำตะโกน “ข้ามิใช่มารร้าย ข้าแค่ต้องการทดลองเท่านั้นเอง”
สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองไปยังเบื้องล่าง “ผู้บำเพ็ญสามหมื่นแปดล้านคนเพื่อการทดลองของเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ายังมิใช่มารร้ายอีกรึ”
“ข้าใช้พวกมดปลวกมาทดลอง นี่ก็มีความผิดด้วยหรือ”ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำคำรามเสียงต่ำ
“มดปลวกหรือ เช่นนั้นในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง บริเวณที่ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำอยู่ก็ถูกกดดันจนกลายเป็นภาพผืนหนึ่งทันที เมื่อภาพนี้สลายไป ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปจนสิ้น
จากนั้นสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปลี่ยนแปรไป “ไม่ดีแล้ว”
“ตู้ม!!!”
ทั้งวังพลันระเบิดออก
ท้ายที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควบคุมอากาศทันที เพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้งหมดเอาไว้ ต่อให้เป็นศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำผู้นั้น หากเป็นผู้ที่ ‘ความแค้น’ น้อย เขาก็ได้ปกป้องเอาไว้เช่นกัน ส่วนผู้ที่มีความแค้นอันน่าหวาดหวั่นอยู่กับตัว ก็สลายหายไปจนสิ้นตามการระเบิด
“สวบ”
เขาพาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนย้ายไปยังทุ่งร้างแห่งหนึ่งด้านข้าง
“ทิ้งลูกหลงเอาไว้ด้วยหรือนี่ หากตัวตายไป ทั้งคูหาก็จะทำลายตัวเองอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา สำหรับเทพจักรวาลทั่วไป การทำลายตัวเองอาจจะเป็นภัยคุกคามอยู่บ้าง แต่สำหรับเขาแล้ว บริเวณของเขาก็สามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตที่เขาต้องการจะปกป้องได้ทั้งหมด
“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตมากทีเดียว”
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป บนทุ่งร้างอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งได้รับการช่วยเหลือก็ซาบซึ้งใจขึ้นมา บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้นความมืดระลอกหนึ่งก็ร่อนลงมาในทันใด ความมืดระลอกนี้กวาดทุกสิ่งไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นถูกทำลายไปท่ามกลางความมืดอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยไป ปากกระอักเลือดออกมาก่อนจะหยุดอยู่กลางอากาศ
“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก” เสียงแผ่วเบายังคงสะท้อนก้องอยู่ข้างหูในตอนนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองออกไปไกล
ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า ซึ่งก็คือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองหรูหราที่สวมมงกุฎเอาไว้บนศีรษะนั่นเอง เขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วนสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตซึ่งตนอุตส่าห์ช่วนเอาไว้ต้องมาสลายไปในพริบตา ไม่สบายใจมากเลยใช่หรือไม่”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ำเขียว
แน่นอนว่าเขาโกรธแค้น!
สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเหล่านั้นถูกทำลายไปจนหมดเช่นนี้เอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ราชันย์อนธการอมตะกลับหัวเราะตามอำเภอใจ “ข้าพูดไว้ก่อนแล้วว่า ขอเพียงเจ้ากล้าไปจากเมืองหิมะเหิน หากพบเจ้าหนึ่งครั้ง ข้าก็จะทำลายหนึ่งครั้ง! เจ้าคิดจะช่วยเหลือพวกมดปลวกเหล่านั้น เช่นนั้นข้าก็จะทำลายพวกเขาทิ้งเสีย ฮ่าฮ่า หากเจ้าไม่ลงมือ อาจจะพวกเขามีบางคนที่เคราะห์ดีรอดชีวิตจากหายนะก็เป็นได้ แต่หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา เจ้าก็จะช่วยเอาไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว”
“ครั้งนี้เป็นข้าที่ประมาทเอง ครั้งหน้า เมื่อข้าช่วยคนแล้วก็จะรีบพากลับไปยังเมืองหิมะเหินทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“ฮ่าฮ่า พากลับเมืองหิมะเหินหรือ ง่ายดายมาก ข้าก็จะจงใจก่อการเข่นฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาเลย” ราชันย์อนธการอมตะพูดยิ้มๆ
“เข่นฆ่ามากเข้า ระวังหยวนจะลงมือสังหารเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา
“ฮ่าฮ่า วางใจเถิด ข้าคงไม่ลงมือเองหรอก ช้าจะให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มจนตาหยี
“เช่นนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็จะถูกสังหารไปจนหมดนะ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“งั้นรึ วางใจเถิด เรื่องก่อสงครามหรือสร้างหายนะ การเข่นฆ่าต่างๆ เป็นเรื่องที่ข้าถนัดมากอยู่แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ถึงตอนนั้นเมื่อสิ่งมีชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าตายไป ก็จะเจ็บปวดใจและเคืองแค้นมากใช่หรือไม่”
หากเป็นผู้ที่เห็นผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นมดปลวก แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจ
พวกคนที่เห็นแก่ตนอย่างยิ่งก็คงไม่แยแสเช่นกัน
ราชันย์อนธการอมตะจงใจยั่วยุนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็มีเพลิงโทสะสุมเต็มอกอย่างแท้จริง! ครั้งก่อนการบูชาถูกทำลาย ความเสียหายของเขาจึงใหญ่หลวงเกินไปแล้ว
“ตอนที่ข้าอ่อนแอ แม้ดินแดนจิตโลกาจะมีการบูชาโลหิต มีการเข่นฆ่า ข้าก็จะเผชิญหน้าอย่างเยียบเย็นเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “หากข้าสามารถลงมือได้ก็ย่อมต้องลงมือเป็นธรรมดา หากข้าช่วยไม่ไหว ข้าก็หมดหนทาง ถ้าทำสุดกำลังทั้งหมดก็จะไม่ละอายแก่ใจแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็หมุนกายจากไปทันที
“ไปรึ”
ราชันย์อนธการอมตะตะปบฝ่ามือหนึ่งลงไป ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเข้าปกคลุม
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ้มเย็นพลางทำให้ร่างแยกร่างนี้สลายไปเอง เขามีร่างแยกมากมายนัก ฝึกร่างแยกขึ้นมาก็รวดเร็วนัก เขาจึงไม่สนใจเลย
……
ราชันย์อนธการอมตะมิได้พูดปดจริงๆ
เขาเริ่มก่อความวุ่นวายขึ้นมา และนำมาซึ่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ แม้จะมิใช่เขาที่ลงมือด้วยตนเอง แต่กลับมีเขาที่คอยขับเคลื่อนไป
เคราะห์ดีก็คือ ผู้ที่พอจะมีเบื้องหลังหรือมีพลังอยู่บ้างต่างก็รู้ถึงภัยคุกคามของ ‘มหาเคารพหิมะเหิน’ กันทั้งนั้น จึงมิกล้าเข่นฆ่าครั้งใหญ่!
“สมควรตาย”
“เจ้าบ้า”
“เห็นทีราชันย์อนธการอมตะผู้นี้คงจะจงเกลียดจงชังข้ามากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองหิมะเหินก็เดือดแค้นเป็นอันมาก
สวบ
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น
“จอมกระบี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามอง จอมกระบี่ร่อนลงมาจากกลางฟากฟ้า แล้วนั่งลงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วหยิบไหสุราของตงป๋อเสวี่ยอิงมารินให้ตนเองอย่างคล่องไม้คล่องมือ เมื่อดื่มลงไปแก้วหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ราชันย์อนธการอมตะก่อความวุ่นวายทั้งหลายขึ้นมาและนำมาซึ่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่เจ้ากระมัง”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดเสียงเย็นชา “ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ทำเรื่องเหล่านี้เพียงเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น”
“นั่นเพราะเขารู้สึกว่าสูญเสียมากเกินไป นอกจากนี้ยังต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของเจ้าอีกด้วย จึงรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง” จอมกระบี่กล่าว “หากพลังของเจ้าแข็งแกร่งพอ สามารถคุกคามเขาได้ เกรงว่าเขาก็คงจะเตรียมการอย่างระมัดระวังกว่านี้มากทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เมื่อตนออกจากเมืองหิมะเหิน ก็ถูกราชันย์อนธการอมตะเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง!
ดังนั้นเขาจึงทำตามอำเภอใจเช่นนี้!
“เสวี่ยอิง แม้บ้านเกิดของพวกเราจะห่างจากการแตกสลายครั้งใหญ่อีกค่อนข้างนาน” จอมกระบี่กล่าว “แต่เจ้าก็ต้องพยายามบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด! แม้ข้าจะบรรลุถึงขีดสุดกก็จริง แต่ข้ากลับไม่รู้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เจ้าต้องบรรลุถึงขั้นสุด อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจึงสามารถพาคนจากไปได้”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาไม่เคยผ่อนคลายมาก่อนเลย
“เจ้าก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญอยู่ที่นี่ และติดอุปสรรคอยู่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะกับการออกไปเผชิญกับการเคี่ยวกรำด้วยความเป็นความตายเสียมากกว่า” จอมกระบี่กล่าว “ข้าก็วางแผนจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหักสักรอบหนึ่ง เจ้าไปด้วยกันกับข้าเถิด ยังมีบรรพชนแมลงด้วย หากเขายินดี ก็ไปด้วยกันให้หมด”
“ไปหุบเขาเขี้ยวหักหรือ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นประกาย
หุบเขาเขี้ยวหักอันตรายอย่างยิ่งโดยแท้ แม้แต่บุคคลผู้ไร้เทียมทานเข้าไปก็อาจจะต้องตายตกไป
ทว่าตนมีร่างแยก จึงไม่กลัวตาย
“อื้ม ข้าเพิ่งจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดจึงวางแผนเข้าไปสำรวจดูสักหน่อย นอกจากนี้ข้าก็มีจุดหมายปลายทางอยู่แห่งหนึ่งด้วย” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “สิ่งที่รัฐโบราณคิมหันตวายุรู้เกี่ยวกับหุบเขาเขี้ยวหักนั้นสูงกว่ารัฐเมฆทักษิณาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”
“ท่านมีจุดหมายปลายทางแล้วหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นข้าย่อมยินดีไปอย่างแน่นอน ส่วนปาถัวเฉิน ข้าจะไปถามเขาเสียหน่อย”
………………………………….