Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 7 ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกองกำลัง
ใบหน้าหมอกดำขนาดมหึมานั้นกลับทะยานตรงไปทางท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่อารมณ์ดีมาตลอดผู้นั้น
“ตู้ม!” ผิวกายของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กลับมีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมา กลิ่นอายก็ปะทุขึ้น หมัดหนึ่งของเขาต่อยออกไป อากาศเบื้องหน้ากลับถูกแผดเผาจนบิดเบี้ยวไปหมด ใบหน้าหมอกดำกลับก่อตัวขึ้นเป็นสาวน้อยชุดดำคนหนึ่ง สาวน้อยชุดดำต้านทานการโจมตีของเปลวเพลิงเอาไว้แล้วบุกตรงไปเบื้องหน้าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ จากนั้นกรงเล็บหนึ่งก็ปกคลุมเข้าไปทันที
มือทั้งคู่ของสาวน้อยชุดดำคนนี้กลับดำทะมึนและใหญ่โต ทั้งยังคมกริบราวกับมีด
ยังมีเผ่ามรณะทมิฬอีกยี่สิบกว่าคนที่ล้อมโจมตีไปทางยอดฝีมือชนพื้นเมืองคนอื่นๆ ยอดฝีมือชนพื้นเมืองเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลรบอันหนึ่งเพื่อรับมือศัตรูทันที
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่สบายที่สุดในที่นั้น เขาไม่รีบร้อนลงมือ หากแต่มองดูสถานการณ์การต่อสู้อย่างสบายอกสบายใจ
“ท่านชายชนพื้นเมืองผู้นี้ หากพูดถึงอานุภาพแล้วสามารถบีบบังคับบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ ทว่ากระบวนท่ากลับหยาบกร้านกว่ามาก ห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโข” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์ อานุภาพของพละกำลังแข็งแกร่ง แต่ด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์กลับบกพร่องมากยิ่งนัก ควรจะเทียบกับพลังสองถึงสามส่วนของของบรรพชนราตรีนิรันดร์
ส่วนผู้ใตับังคับบัญชาคนอื่นๆ อีกสิบห้าคน แต่ละคนกลับไม่อ่อนแอเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลรบที่ทั้งสามคนร่วมกันสร้างขึ้นมา ค่ายกลรบที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังรบขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดก็บีบบังคับระดับท่านชายผู้นั้นได้โดยตรง
“มิน่าเล่าจึงกล้ามายังเกาะลอยคว้าง พลังของกองกำลังนี้แข็งแกร่งนัก ทว่าจอมกระบี่เพียงคนเดียวก็เพียงพอจะกดดันพวกเขาได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด
เผ่ามรณะทมิฬทั้งห้าตนบุกสังหารเข้ามาทางพวกตน
อาภรณ์สีดำของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นเอาไว้ เพียงแต่ครั้งนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ชายชราอาภรณ์ดำหน้าตาอัปลักษณ์เป็นผู้นำของเผ่ามรณะทมิฬ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปรเป็นศีรษะสีดำขนาดมหึมาอ้าปากกว้าง ปากมหึมากลืนแมลงอันแน่นขนัดทั้งหมดลงไปในคำเดียว
แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนดิ้นรนอีกครั้ง
หลังจากปากของศีรษะมหึมานั้นปิดลง ศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวไปอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วล้อมมฃ“เอ๊ะ” นัยน์ตาของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินมีแววเหี้ยมเกรียมกะพริบวาบขึ้นมาปีกทั้งสองขยับไหวแล้วบุกเข้าไปสังหาร
สวบๆๆๆ…
เงาร่างอีกสี่สายล้วนพุ่งตรงไปทางจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิง
“เฮอะ”
จอมกระบี่กลับส่ายศีรษะเบาๆ เขามองออกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬนี้ก็คือผู้ที่เซวี่ยเหยียนจี้ประมือด้วยนั่นเอง ทั้งห้าตนที่ล้อมโจมตีพวกเขาอยู่นี้ แม้จะนับว่าร้ายกาจนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ก็ยังคงไม่พอดูอยู่ดี
“ฟึ่บๆๆ…” ประกายกระบี่งดงามแพรวพราว ราวกับเส้นแสงสายแล้วสายเล่ากลางอากาศ กวาดผ่านเผ่ามรณะทมิฬแต่ละคนไป
ประกายกระบี่ของจอมกระบี่นุ่มนวลมาก
เหมือนเขาคิดจะอาศัยมันเพื่อให้รู้พลังของเผ่ามรณะแต่ละคนอย่างแน่ชัด
แต่ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ก็ยังคงถูกประกายกระบี่เชือดเฉือน บ้างก็กลายร่างเป็นไอหมอกหนีเข้าไปในผืนดินอย่างรวดเร็วด้วยความแตกตื่น บางตนที่อ่อนแอหน่อยก็หนีไม่ทันและต้องสูญสลายไปปอย่างแท้จริง
เพียงพริบตาเดียว เผ่ามรณะทมิฬทั้งสี่ตนก็สิ้นใจไปสอง และอีกสองคนก็อันตรธานหนีหายไป
ส่วนศีรษะขนาดมหึมาที่พันธนาการแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เห็นเข้าก็ตกใจเสียจนสะดุ้ง มันก็เริ่มทนไม่อยู่แล้ว จากนั้นก็สลายตัวไปเอง กลายเป็นหมอกดำแทรกซึมลงไปในผืนดิน หนีไปเองเลยหรือนี่!
“อ๊าก”
“ไม่ ไม่…
“ไปตายเสียเถอะ”
ขณะที่ทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงรับมืออย่างสบายๆ นั้น ทางด้านชนพื้นเมืองถูกเผ่ามรณะทมิฬโจมตีเป็นหลีก ภายใต้การล้อมโจมตีของเผ่ามรณะทมิฬยี่สิบกว่าตน ทางฝ่ายชนพื้นเมืองกลับมีค่ายกลรบสองแห่งที่ทลายลงแล้ว ค่ายกลรบสองแห่งก็คิดเป็นหกคน บ้างก็ได้รับบาดเจ็บจนบาดเจ็บสาหัสและสิ้นใจไป ส่วนบางคนก็ปะทุออกมาท่ามกลางความบ้าคลั่ง
“แตก” ชนพื้นเมืองคนหนึ่งกำลังตกอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่ง กลิ่นอายเหนือผิวกายพลันทะยานขึ้นเป็นอันมาก พลังที่ออกกระบวนท่าก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บรรลุถึงระดับขั้นขั้นสุดยอดทันที ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
“ฟิ้ว!”
จอมกระบี่เห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว ค่ายกลรบสองแห่งนั้นสลายตัวได้รวดเร็วเกินไปแล้ว เขายังช่วยไว้ไม่ทัน จากนั้นก็โบกมือแล้วนำกระบี่เทพออกมา
ประกายกระบี่วาดข้ามท้องฟ้า โจมตีเผ่ามรณะทมิฬตนแล้วตนเล่า
อานุภาพที่จอมกระบี่ออกกระบวนท่านั้นเหมือนจะอ่อนแอกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ อยู่บ้าง แต่กระบวนท่าพิสดารไม่เป็นสองรองใคร ผลที่ได้ก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า ตัวผู้บำเพ็ญเองมีข้อได้เปรียบมากเรื่องกระบวนท่าอันพิสดาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจอมกระบี่ยังฝึกฝนสมบัติลับอันสูงส่งอีกด้วย
“ถอย”
สาวน้อยชุดดำที่ห้ำหั่นกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเข้า ก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงทันที
ฟิ้วๆๆ…
เผ่ามรณะทมิฬท้้งหมดกลายเป็นหมอกดำแทรกตัวเข้าไปใต้ดินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว หากพูดถึงความสามารถในการหลบหนีแล้ว ผู้มาจากภายนอกไม่มีทางสู้สิ่งมีชีวิตภายในเกาะลอยคว้างอย่างเผ่ามรณะทมิฬ ได้เลย เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่นี่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้สบายๆ และทะลุพื้นดินไปได้ง่ายๆ อีกทั้งพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาหรือท่องผืนดินได้ นอกเสียจากพลังจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งจนสามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬได้ในระยะเวลาสั้นๆ มิเช่นนั้นแล้ว การจะสังหารเผ่ามรณะทมิฬคนหนึ่งก็ยากมากทีเดียว
“เผ่ามรณะทมิฬถอยแล้ว”
“พวกมันไปแล้ว”
ทางด้านชนพื้นเมืองถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เพียงแต่บรรยากาศกลับเศร้าโศกอยู่บ้าง
เนื่องจากภายในชั่วพริบตาสั้นๆ พวกเขาก็เสียสหายไปถึงสี่คนด้วยกัน
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ขอบคุณที่ท่านลงมือ มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้ความเสียหายคงจะมากกว่านี้อีก” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เดินเข้ามา เขาพูดด้วยความซาบซึ้งใจ ขณะเดียวกันสายตาที่มองไปทางจอมกระบี่ก็แตกต่างออกไปแล้ว สายตาของผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ของเขาที่มองไปยังจอมกระบี่แฝงไว้ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าปรองดองกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อว่า ระหว่างผู้ที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดทั้งสองคน อาจจะมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ก็เป็นได้
นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น!
บัดนี้เพิ่งผ่านไปเพียงศึกเดียวเท่านั้น…ให้พวกเซวี่ยเหยียนจี้ได้รู้เสียบ้างว่า พลังของผู้ที่มีนามว่า ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ผู้นั้น เหนือกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดในโลกเซวี่ยเหยียนเสียอีก เกรงว่าพลังคงจะเป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว
ผู้ช่วยระดับนี้ แน่นอนว่าพวกเขายิ่งต้องผูกสัมพันธ์ให้ดีเข้าไว้! เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่พวกเขาจะได้ผลวิญญาณทิพย์มาก็เพิ่มสูงขึ้นแล้ว
‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ เป็นระดับไร้ศัตรู บรรพชนแมลงผู้นั้นก็มีวิธีการแปลกประหลาด มิอาจรับมือได้ง่ายๆ ส่วนมหาเคารพหิมะเหิน หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้ที่สำเร็จเป็น ‘มหาเคารพ’ ในดินแดนจิตโลกาล้วนแต่เป็นเพียงเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเท่านั้น คงจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดากองกำลังทั้งสามคน
“ในเมื่อพวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันทั้งที เป็นสหายร่วมทาง ก็ย่อมต้องลงมือช่วยเหลือกัน เพียงแต่การลงมื่วยเหลือของข้าช้าไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” จอมกระบี่กล่าว
“พลังของพวกเขาไม่เพียงพอ ยังกล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกรึ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดพลางขมวดคิ้ว “สำหรับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แล้ว พลังของพวกเขาคงจะไม่มีส่วนช่วยท่านมากสักเท่าใดหรอกกระมัง ไยต้องให้พวกเขาเอาชีวิตไปมอบให้ด้วยเล่า”
“นี่มิใช่การเอาชีวิตไปมอบให้ นี่คือการเคี่ยวกรำ”
“แม้พวกเราจะสู้จนสังหารได้สี่ตน แต่เฟยอวิ๋นหลินก็ปลุกสายเลือดในตัวขึ้นมาได้สำเร็จ พลังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”
ชนพื้นเมืองเหล่านั้นกลับคัดค้าน
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้ว ก็อดสงสัยขึ้นมาในใจมิได้
พวกเขามิได้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชนพื้นเมืองเลย ด้วยการสำรวจ ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดคืนวันอันยาวนาน จึงเข้าใจชนพื้นเมืองมากทีเดียว ชนพื้นเมืองนั้นกระจัดกระจายกันอยู่ตามโลกอันเร้นลับแต่ละแห่ง ซึ่งโลกแต่ละใบ…ก็คือหนึ่งเผ่า! เนื่องจากพวกเราสามารถทำให้สายเลือดตื่นรู้แล้วยกระดับพลังได้ ว่ากันว่ามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่
วิธีการตื่นรู้ ในจำนวนนั้นก็มีการเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายด้วย!
ภายใต้วิกฤตความตายที่แท้จริงนั้น ความหวังในการตื่นรู้ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่า พลังก็จะสามารถยกระดับขึ้นได้ แต่ว่า ก็มีจำนวนมากที่ล้มลงตรงหน้าความตาย
ดังนั้น…
ผู้เข้าไปในเกาะลอยคว้างเพื่อสู้สุดชีวิตอย่างแท้จริง โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันทั้งสิ้น
เช่นกองกำลังทั้งกองที่เข้ามาพร้อมกันนี้ ที่มีพลังแข็งแกร่งก็แล้วไปเถิด ความหวังที่จะรอดชีวิตนั้นสูงมาก อย่างพวกที่พลังอ่อนแอ สามคนร่วมมือกันสำแดงค่ายกลรบ ออกมาก็มีพลังรบขั้นสุดยอดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อมายังเกาะลอยคว้างก็อันตรายอย่างยิ่งโดยแท้! เหล่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกามีร่างแยก ไม่กลัวร่างแยกเสียหายก็แล้วไปเถิด แต่โดยทั่วไปบรรดาชนพื้นเมืองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
“พวกเราเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดอย่างง่ายๆ ประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเลือกการฝึกฝน เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวตายเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้มีจอมเคารพกระบี่ปีศาจอยู่ ระดับความปลอดภัยก็สูงกว่ามากทีเดียว แต่ข้าก็ต้องเตือนพวกท่านเอาไว้! พลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจจะทำให้เผ่ามรณะทมิฬเกรงกลัว เผ่ามรณะทมิฬที่อ่อนแอคงไม่กล้ามาอีก แต่ว่าเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีเผ่ามรณะทมิฬอยู่หลายกลุ่ม ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร่ก็ยิ่งอาศัยอยู่ใกล้ใจกลางมากขึ้นเท่านั้น แม้พวกมันจะมีปัญญาธรรมดาสามัญ แต่ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้”
“พวกเขาล่วงรู้พลังของพวกเรา เช่นนั้นเมื่อมาครั้งหน้า ก็จะอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก เกรงว่าพลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจ คงจะมิอาจปกป้องพวกเราได้” เซวี่ยเหยียนจี้กล่าว “สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือมุ่งหน้าไปให้เร็วที่สุดก่อนหน้าที่พวกเขาจะส่งข้อมูลให้กันและลงมือโจมตีครั้งใหม่”
“ก็ดี ท่านชายพวกท่านเข้าใจเกาะลอยคว้างดีกว่า เช่นนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปเถิด” จอมกระบี่กล่าว
“เรื่องจะปล่อยให้เนิ่นช้าไปมิได้ ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ความเร็วต้องสูงกว่านี้อีก” ครั้งนี้เซวี่ยเหยียนจี้พาคนจำนวนมากทะยานไปด้วยความเร็วสูง เขาล่วงรู้พลังของทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิง จึงไม่กังวลว่าจะตามไม่ทัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนยังคงอยู่ด้านหลัง
“ได้ยินสิ่งที่ท่านชายผู้นั้นพูดแล้วหรือไม่ ครั้งนี้กระบี่ปีศาจสำแดงพลังออกมา ครั้งหน้าเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏขึ้น เกรงว่ากระบี่ปีศาจก็คงต้านทานเอาไว้มิได้แล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงบ้าง
“แต่ไหนแต่ไรพวกเราก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถอุกอาจในเผ่ามรณะทมิฬได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำ คือเอาชีวิตรอดได้ภายใต้การไล่สังหารในเผ่ามรณะทมิฬก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หากได้สมบัติล้ำค่ามาบ้างก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ
“เสวี่ยอิง เจ้าเป็นอาวุธลับของพวกเรา อีกประเดี๋ยวเมื่อข้าต้านทานเอาไว้ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยท่าไม้ตายของเจ้าแล้ว” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด
“ท่าไม้ตายนี้จะมีผลเช่นไร อีกประเดี่ยวจึงจะรู้กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“พี่ใหญ่หิมะเหิน ข้าว่ากองกำลังชนพื้นเมืองกองนี้ พวกเขาเหมือนจะเห็นว่าท่านเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน! พวกเขากลับไม่รู้เอาเสียเลยว่า ข้าต่างหากคือคนที่อ่อนแอที่สุด” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ พวกเขาอารมณ์ผ่อนคลายมาก
………………………………………….