Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 8 ดินแดนชนเผ่า
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตั้งของศูนย์กลางเกาะลอยคว้างพร้อมกับพลพรรคชนพื้นเมืองด้วยความเร็วสูงสุด มีชนพื้นเมืองนำทางก็ทำให้ราบรื่นตลอดทาง
และที่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ฟึ่บๆๆ…
หมอกดำกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเผ่ามรณะทมิฬคนแล้วคนเล่า พวกเขามีรูปลักษณ์ดุจสัตว์ประหลาด มีรูปร่างมนุษย์ โดยมีผู้นำคือหญิงสาวอาภรณ์ดำผู้นั้น
“ท่านอ๋อง ผู้บุกรุกเหล่านี้แกร่งกล้ายิ่งนัก”
“ลำพังอาศัยแค่พวกเราก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่หรอก!”
พวกเขาแต่ละคนต่างก็มองหญิงสาวอาภรณ์ดำ
กรงเล็บทั้งคู่ของหญิงสาวอาภรณ์ดำตวัดหมุนอย่างเอาแต่ใจ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเยียบเย็นพลางเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ผู้บุกรุกนี้เกินกว่าความสามารถในการต้านทานของพวกเราไปแล้ว พวกเจ้าก็ร่นถอยไปเสียเถิด จำเอาไว้ให้ดี หลีกเลี่ยงพวกเขา อย่าได้ส่งตัวเองไปตายล่ะ! คราวนี้พวกเราสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป ยกให้เหล่าผู้อาวุโสไปจัดการเถิด”
“ขอรับ ท่านอ๋อง” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดก้มศีรษะลงพลางเอ่ยอย่างเคารพ
หญิงสาวอาภรณ์ดำแปลงร่างเป็นหมอกดำในทันใดแล้วกะพริบร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นหมอกดำหนีเข้าไปใต้ดินจนหมดสิ้น
เกาะลอยคว้างก็เป็นสถานที่เกิดของพวกมัน อยู่ที่นี่ พวกมันก็สามารถครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์คิดจะสู้ก็สู้ คิดจะหนีก็หนี
……
ศูนย์กลางของเกาะลอยคว้างคือภูเขาใหญ่ที่คล้ายถูกขุดเจาะแห่งหนึ่ง ภายในของภูเขาใหญ่ถูกขุดเจาะเป็นโถงตำหนักอย่างหยาบๆ จำนวนหนึ่ง เผ่ามรณะทมิฬสามารถก่อสร้างโถงตำหนักเหล่านี้ออกมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว สติปัญญาของเผ่ามรณะทมิฬจำนวนหนึ่งมิได้แตกต่างจากสัตว์อสูรและเดรัจฉานสักเท่าใดนัก สติปัญญาของยอดฝีมือระดับสุดยอดในบรรดาพวกมันเหล่านั้นจึงจะสูงขึ้นมาสักหน่อย
ระดับบนที่เป็นหลักสำคัญอย่างที่สุด สติปัญญาก็สูงที่สุด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญและชนพื้นเมืองสักเผ่าหนึ่งแล้วก็แตกต่างกันอย่างมากมายเหลือเกิน
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกระเพื่อมไหว
หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าระลอกคลื่นที่กำลังกระเพื่อมไหวแล้วรวมตัวแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวอาภรณ์ดำ หญิงสาวอาภรณ์ดำยืนอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็งอยู่ที่นั่น
ท่ามกลางระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวมีใบหน้าสัตว์ประหลาดดำทะมึนใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้น จ้องมองหญิงสาวอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านนอก
“อ๋องฝูซา เหตุใดจึงมาที่ดินแดนชนเผ่าเล่าขอรับ” ใบหน้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์นั้นส่งเสียง
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานให้จักรพรรดิทราบ! รีบไปถ่ายทอดคำพูดเร็วเข้า” หญิงสาวอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงเย็นชา นางย่อมไม่สนใจที่จะพูดจามากความกับยามรักษาการณ์ผู้นี้อยู่แล้ว
“รายงานให้จักรพรรดิทราบหรือ” ใบหน้าสัตว์ประหลาดนั้นตื่นตกใจ “อ๋องฝูซา ท่านมีเรื่องต้องการรายงานให้จักรพรรดิทราบจริงๆ หรือขอรับ”
“เรื่องพรรค์นี้ข้าจะกล้าโป้ปดหรือไร” หญิงสาวอาภรณ์ดำตะคอก “อย่าทำให้เสียเวลา รีบไปเร็วเข้า”
ใบหน้าสัตว์ประหลาดลังเลเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเหล่าเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มนี้ของดินแดนชนเผ่าจะไม่เห็นเผ่ามรณะทมิฬที่อยู่ภายนอกอยู่ในสายตาเลย แต่ถึงขนาดที่มีข่าวกล้ารายงานขึ้นไปถึงจักรพรรดิ
หลอกลวงผู้อื่นได้ แต่เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดกล้าหลอกลวงจักรพรรดิ
พรึ่บ
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกระเพื่อมไหวแล้วแยกออกเป็นทางเดินเส้นหนึ่งในทันใด
“ขอเชิญไปรอที่ตำหนักผู้อาวุโสก่อน” สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่มีหัวสีแดงเพลิงร่างกายสีดำตนหนึ่งส่งเสียงคำรามต่ำอยู่ข้างๆ
“เฮอะ” หญิงสาวอาภรณ์ดำคร้านจะมองยามรักษาการณ์แล้วเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักผู้อาวุโส
ภูเขาใหญ่แห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวางอย่างที่สุด ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งของศูนย์กลางที่สำคัญอย่างที่สุดของเกาะลอยคว้าง
หญิงสาวอาภรณ์ดำก็มิได้เร่งรีบ เพราะมาถึงตำหนักผู้อาวุโสแล้ว
ตำหนักผู้อาวุโส…
คือโถงตำหนักใหญ่ที่มืดหม่นแห่งหนึ่ง ด้านบนของโถงตำหนักก็มีบัลลังก์อยู่สามอัน และตรงกลางของโถงตำหนักอันแสนหยาบแห่งนี้ก็มีแอ่งน้ำขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง ของเหลวภายในแอ่งน้ำเป็นสีดำขลับ แต่กลับมีต้นไม้ผลโค้งงออันแปลกประหลาดต้นหนึ่งอกออกมา บนต้นไม้ผลมีผลไม้สองผลเจริญอยู่ เปลือกผลไม้นั้นบางเป็นอย่างยิ่งจนสามารถมองเห็นได้ว่าภายในผลไม้นั้นมีประกายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโคจรอยู่
และต้นไม้ผลต้นนี้สูงราวๆ สิบจั้งเศษ ส่วนยอดสุดของต้นไม้ผลกลับมี ‘ดวงตาสีเทา’ อันแปลกประหลาดอยู่ดวงหนึ่ง
ดวงตาสีเทาแผ่แรงกดดันอันไร้รูปร่างกำจายออกมา ทั่วทั้งภายในโถงตำหนักต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน
“อ๋องฝูซา ได้โปรดรอสักครู่” ยามรักษาการณ์สองคนด้านนอกตำหนักผู้อาวุโสมองอ๋องฝูซาอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
อ๋องฝูซาส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งพลางยืนคอยอยู่ภายในตำหนักผู้อาวุโสเช่นนั้น
ด้วยอุปนิสัยของนาง หากมิใช่เพราะคราวนี้ผู้บุกรุกมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างที่สุด ต่อให้นางจำเป็นจะต้องรายงาน นางก็คร้านจะมายังดินแดนชนเผ่า พลังยุทธ์ของผู้บุกรุกนั้นสูงถึงระดับที่เพียงพอจะให้ดินแดนชนเผ่าต้องระแวดระวังแล้ว หากไม่รายงานข่าวคราวเช่นนี้แล้วเมื่อใดที่ถูกตรวจพบภายหลัง นางก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากใหญ่โตเสียแล้ว
“อ๋องฝูซา ที่แท้มันเรื่องอันใดกันแน่ เจ้าถึงกับต้องรายงานต่อจักรพรรดิ หรือเจ้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิกับเหล่าผู้อาวุโสต่างก็กำลังอยู่ในห้วงนิทรา” บุรุษผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีหางเรียวยาวเส้นหนึ่งทอดตัวอยู่บนพื้นดิน บุรุษผอมสูงพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “เจ้าคงจะรู้นะว่าการตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา จักรพรรดิและเหล่าผู้อาวุโสจะเดือดดาลสักเพียงใด หากไม่มีเรื่องที่สำคัญมากพอ เกรงว่ายังจะพาลให้ได้รับการลงโทษด้วย”
“ท่านอ๋องฉี่ตู้ ที่ดินแดนใต้อาณัติของข้าพบผู้บุกรุก” อ๋องฝูซากลับเอ่ยอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ผู้บุกรุกประกอบด้วยพลพรรคชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งกับผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลการ่วมมือกัน
หัวหน้าของพลพรรคชนพื้นเมืองนั้นมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย! และมีคนหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลกาที่พลังยุทธ์เหนือกว่าข้าเสียอีก อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋องแล้ว”
“หา” บุรุษผอมสูงเผยสีหน้าตื่นตระหนก “ผู้บุกรุก ยังมีดินแดนจิตโลกาด้วย แล้วอย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋องอย่างนั้นหรือ”
ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกานั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง
แม้จะบอกว่าเหล่าเทพจักรวาลของดินแดนจิตโลกามีร่างแยกแล้วอาจจะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหักเพื่อแสวงโชคอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรหุบเขาเขี้ยวหักก็ใหญ่โตเหลือเกิน ในประวัติศาสตร์ของเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เผชิญกับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาน้อยนัก ‘อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋อง’ ในอดีตก็เคยพบเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ที่พวกเขาประสบพบเจอบ่อยที่สุดก็คือเผ่าชนพื้นเมือง!
“รู้แล้วกระมังว่าผู้บุกรุกมีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา รีบไปรายงานโดยเร็วที่สุดเถิด” หญิงสาวอาภรณ์ดำพูด
“อย่าได้รีบร้อนนักเลย ไม่ว่าจะเป็นการปลุกผู้อาวุโสหรือว่าปลุกจักรพรรดิต่างก็มิใช่เรื่องธรรมดาทั้งสิ้น ข้ายังต้องปรึกษากับบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก่อน” บุรุษผอมสูงพูด
“ยังต้องปรึกษาอีกหรือ” หญิงสาวอาภรณ์ดำร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว “รอให้พวกเจ้าปรึกษากันเสร็จ ผู้บุกรุกก็คงใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ”
บุรุษผอมสูงเพียงแค่แค่นหัวเราะคราหนึ่ง
‘อ๋อง’ ที่มิใช่ดินแดนชนเผ่าคนหนึ่งย่อมไม่มีสิทธิ์คลางแคลงในการกระทำของดินแดนชนเผ่าอย่างพวกเขาอยู่แล้ว
ดินแดนชนเผ่าจึงจะเป็นผู้ปกครองของทั้งเกาะลอยคว้างแห่งนี้
“เฮอะ” หญิงสาวอาภรณ์ดำได้เห็นเหตุการณ์แล้วส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง “ข้าได้แจ้งข่าวให้ทราบแล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาแล้วจักรพรรดิตำหนิลงมาก็มิอาจโทษข้าได้นะ”
“วางใจเถิด” บุรุษผอมสูงพูดไปส่งๆ พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงส่งข่าวติดต่อกับบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ของดินแดนชนเผ่าด้วย
ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ยิบย่อยจำนวนหนึ่ง
ผ่านไปเป็นเวลาชั่วจิบชาหนึ่ง
“ผ่านการหารือกันแล้ว ในบรรดาผู้บุกรุกมีระดับอ๋องขั้นสุดยอดอยู่คนหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็นระดับไร้เทียมทานที่ดินแดนจิตโลกาเรียกกัน ปลุกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเดี๋ยวนี้! อย่าเพิ่งปลุกผู้อาวุโสใหญ่กับจักรพรรดิเป็นการชั่วคราวก่อน” บุรุษผอมสูงพูด
“บางทีพลังยุทธ์ของศัตรูยังอาจซ่อนเร้นเอาไว้อีกก็เป็นได้” หญิงสาวอาภรณ์ดำพูด
“ฮ่าฮ่า ก็มิใช่ว่ายังมีพวกเราเหล่าอ๋องอีกมากมายหรอกหรือ หึๆ พวกเราต่างก็ฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมาจากความตายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น และสายโลหิตคละถิ่นเหล่านั้นหลงเหลือเอาไว้… ในร่างกายก็แฝงเอาไว้ด้วยสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่น” บุรุษผอมสูงแค่นยิ้ม “เทียบกันกับสองชนเผ่า ผู้บำเพ็ญก็อ่อนแอกว่ามากแล้ว อีกทั้งยังอยู่ที่เกาะลอยคว้าง พวกเราถือครองอาณาเขตทั้งหมด ก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเขาแล้วล่ะ”
“ผู้บำเพ็ญนั้นค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาทีละก้าวๆ จากผู้อ่อนแอ การใช้พลังของพวกเขานั้นลึกลับเหลือเกิน ข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยก็ควรต้องปลุกผู้อาวุโสใหญ่นะ”
“ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างก็เป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด พวกเราดินแดนชนเผ่าระดับอ๋องกลุ่มหนึ่ง… ถ้าหากต้านไม่อยู่แล้วค่อยปลุกผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”
บุรุษผอมสูงพูดยิ้มๆ “เจ้าก็คอยอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปปลุกผู้อาวุโสทั้งสองท่าน”
ในเวลาเดียวกันกับที่บุรุษผอมสูงเดินออกจากตำหนักผู้อาวุโสนั้นเอง…
เงาร่างสายหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เร็วๆๆ มีผู้บุกรุก ผู้บุกรุกผ่านบริเวณรอบนอกเข้ามาแล้ว ช่างรวดเร็วยิ่งนัก มาถึงดินแดนชนเผ่าอย่างรวดเร็วเหลือเกิน” บุรุษเขาเดี่ยวที่สวมอาภรณ์ดำส่งเสียงคำราม เขาก็คือท่านอ๋องคนหนึ่งที่รับผิดชอบรักษาการณ์อยู่ที่รอบนอกสุดของดินแดนชนเผ่า “มีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาคนหนึ่งที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างที่สุด เป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด ระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสเลยทีเดียว”
“อะไรกัน รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บุรุษผอมสูงตกตะลึง
หญิงสาวอาภรณ์ดำภายในตำหนักผู้อาวุโสได้ยินแล้วก็ตะโกนขึ้นในทันใด “ท่านอ๋องฉี่ตู้ ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเร็วหน่อย ดูสิ ไล่สังหารมาจนจะถึงดินแดนชนเผ่าแล้ว”
ท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูงไม่พูดอะไรมากอีก แปลงเป็นหมอกดำแล้วไปพบผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว
ณ ส่วนลึกของชั้นล่างของภูเขาสูงแห่งนี้
ที่นี่มีแอ่งน้ำขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง ภายในแอ่งน้ำมีของเหลวสีเขียวเข้มอยู่ ร่างกายมหึมาดำขลับร่างหนึ่งเอนตัวอยู่ในของเหลวสีเขียวเข้ม เป็นเพราะร่างกายใหญ่โตเหลือเกินจึงมีบางส่วนที่โผล่พ้นผิวน้ำออกมา
และรอบๆ แอ่งน้ำนี้ยังมีแอ่งน้ำขนาดเล็กสามแอ่งเชื่อมต่อกันอยู่
ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กทั้งสาม แต่ละแอ่งก็มีร่างเอนอยู่ร่างหนึ่ง
“ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม”
ท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูงมาถึงที่นี่แล้วก็ถ่ายเสียงพูดในทันที ระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่าแทรกเข้าไปยังร่างที่เอนกายอยู่ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กสองแห่งในนั้นอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่นาน
แอ่งน้ำขนาดเล็กสองแอ่งนั้นก็กระเพื่อมไหว ร่างกายสองร่างต่างก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
พรึ่บ พรึ่บ
ร่างกายทั้งสองกลายเป็นหมอกดำหายลับไป จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูง
“อ๋องฉี่ตู้ มาปลุกพวกเราด้วยเรื่องอันใดกัน” ผู้อาวุโสทั้งสองท่านมองดูอ๋องฉี่ตู้
ท่านอ๋องฉี่ตู้ค้อมกายเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “มีผู้บุกรุก ผู้บุกรุกคือพลพรรคชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งกับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาสามคน ในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลกามียอดฝีมือที่ใช้กระบี่ผู้หนึ่ง พลังยุทธ์คาดว่าน่าจะเป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด ระดับขั้นของผู้บำเพ็ญสูงส่งยิ่งนัก พวกเรามิได้ห่วงตัวเอง แต่เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานพวกเขาได้ขอรับ”
……
และที่อีกด้านหนึ่ง
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนกับพลพรรคชนพื้นเมืองเพิ่งจะกำราบเผ่ามรณะทมิฬที่ลอบโจมตีเข้ามาราวกับไม้ไผ่หักๆ กลุ่มหนึ่งได้ เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มนี้คงจะไม่รู้ถึงพลังยุทธ์ของพวกเขากระจ่างสักเท่าใดนัก ด้วยพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ก็สามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬห้าคนได้อย่างง่ายดาย ทำให้ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬสิบสองคนแหลกสลาย เผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ที่มีอยู่ก็หลบหนีไปในทันที
“พวกเรารวดเร็วใช้ได้เลยทีเดียว น่าจะมีเผ่ามรณะทมิฬจำนวนมากที่ยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเรา เร็วเข้า ใกล้จะถึงดินแดนชนเผ่าที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬแล้ว” พลพรรคชนพื้นเมืองแต่ละคนรอคอยอย่างตื่นเต้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นก็ถ่ายเสียงพูดกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคน “พวกเราไล่ล่ามาถึงดินแดนชนเผ่าด้วยความเร็วสูงสุด พวกเจ้ามองเห็นสมบัติล้ำค่าที่พวกเจ้าต้องการแล้วก็คว้าเอามาโดยเร็ว เอามาได้แล้วพวกเราก็จะจากไปโดยเร็วที่สุด”
“เข้าใจแล้ว”
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดหวังรอคอยขึ้นมา ใกล้จะถึงดินแดนชนเผ่าที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดแล้วหรือ