Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 9 ลงมือ!
ตำหนักผู้อาวุโสที่แสนหยาบและอึมครึม
ผู้อาวุโสทั้งสองนั่งอยู่ด้านบน พร้อมกันนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าก็เหินบินเข้ามาจากด้านนอกอย่างต่อเนื่อง เข้ามาภายในโถงตำหนัก บ้างก็เป็นร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นร่างสัตว์ แต่หญิงสาวอาภรณ์ดำ ‘อ๋องฝูซา’ กลับยืนมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเย็นชาอยู่ที่ริมห้อง
“มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว” ผู้อาวุโสสามที่มีรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดสีดำในร่างมนุษย์ นัยน์ตาสีเทามองลงไปเบื้องล่าง
“ผู้อาวุโส”
เงาร่างสิบเอ็ดสายค้อมศีรษะลงทำความเคารพ แม้กระทั่งอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านข้างก็ยังก้มศีรษะลงน้อยๆ เพื่อแสดงความเคารพ
ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามประสานสายตากันคราหนึ่ง
แล้วผู้อาวุโสสามก็เปิดปากเอ่ยว่า “ผู้บุกรุกในครั้งนี้ นอกจากชนพื้นเมืองเหล่านั้นแล้วยังมีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาด้วย ท่านอ๋องฉี่ตู้คอยอยู่ที่ดินแดนชนเผ่า ฟังบัญชาของข้าและผู้อาวุโสรอง เหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสิบคนรวมทั้งอ๋องฝูซาก็จะเคลื่อนไหวพร้อมกันกับพวกเรา อ๋องฝูซา… เจ้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง”
อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำแย้มยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ยินดีที่ได้รับใช้ดินแดนชนเผ่า”
“อืม”
ผู้อาวุโสสามพยักหน้าน้อยๆ
อ๋องฝูซาจัดเป็นระดับสุดยอดในบรรดา ‘อ๋อง’ ตอนนั้นผู้อาวุโสเจิงล้มเหลวในการจัดอันดับ แต่ก็ไม่ยอมจำนนรับการขับออกไป แล้วนำผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งตรงออกไปจากดินแดนชนเผ่า
ถึงอย่างไรอ๋องฝูซาก็เป็นผู้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่ง ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยังต้องใช้การ
“ในบรรดาผู้บุกรุกมีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอยู่ทั้งสิ้นสามคน ผู้ที่ใช้กระบี่ก็คือบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ข้ากับผู้อาวุโสรองจัดการพร้อมกัน! ผู้บำเพ็ญสองคนที่เหลือ คนหนึ่งน่าจะเป็นขั้นสุดยอด ส่วนอีกคนหนึ่งน่าจะเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว อ๋องฝูซาเจ้าก็มาจัดการสองคนนั้นเถิด
อ๋องคนอื่นๆ ทั้งหมด… รวมพลังกันผลาญทำลายพลพรรคของชนพื้นเมืองให้เร็วที่สุดแล้วค่อยไปช่วยเหลืออ๋องฝูซา!”
“ขอรับ”
รวมทั้งอ๋องฝูซาเข้าไปด้วย ‘อ๋อง’ ทั้งสิบเอ็ดคนก็รับบัญชา
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย ผลาญสังหารศัตรูเสียที่นอกดินแดนชนเผ่า! ไป!” ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสรองยืดกายลุกขึ้นพร้อมกัน
เหล่าอ๋องทั้งหมดหลีกทางออกเป็นสองฝั่งในทันใด
สวบๆ!
ผู้อาวุโสทั้งสองเหินออกไปจากโถงตำหนักในทันใด จากนั้นเหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสิบเอ็ดคนก็ติดตามไปในทันที
พวกเขาแต่ละคนแปลงกายเป็นหมอกดำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายแล้วหายลับไปในดินแดนชนเผ่า ตรงไปทำการล่าสังหาร เหลือเอาไว้เพียงแค่ท่านอ๋องฉี่ตู้ผู้นั้นอยู่รักษาดินแดนชนเผ่า
เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่เกาะลอยคว้างก็สามารถหลบหนีและเคลื่อนย้ายได้อย่างสบายๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนชนเผ่าเลย เพราะว่าพวกเขาสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา!
……
สวบ สวบ สวบ…
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังดินแดนชนเผ่าด้วยความเร็วสูงสุด
ระหว่างที่เดินทางอยู่ในเกาะลอยคว้างซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แห่งพลพรรคชนพื้นเมืองก็ถ่ายเสียงแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสถานที่อันตรายบางแห่ง
“ปัง”
ทันใดนั้นกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นพลันเคลื่อนเข้ามา
เงาร่างสิบสามสายปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดการเตือนภัยของบรรพชนแมลง การตรวจตราโลกเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง หรือว่าการระวังภัยของชนพื้นเมือง ต่างก็ค้นพบได้เมื่อศัตรูปรากฏตัวขึ้นแล้วเท่านั้น!
เงาร่างสิบสามสายนี้ทุกร่างต่างก็แผ่กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงต่างก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุกคามอันแรงกล้า
เงาร่างสองสายที่เป็นผู้นำ
คนหนึ่งมีลักษณะเป็นสัตว์ประหลาดที่ปกคลุมด้วยเกล็ดในร่างมนุษย์ ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายชราหลังค่อมที่มีหมอกเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบ พวกเขาสองคนมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ ล้ำเลิศไร้เทียมทานยิ่งกว่าความรู้สึกที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเสียอีก
และเงาร่างสิบเอ็ดสายด้านหลังพวกเขา บ้างก็เป็นรูปร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นรูปร่างสัตว์ กลิ่นอายของแต่ละคนยิ่งใหญ่เกรียงไกร หญิงสาวอาภรณ์ดำที่เคยมาโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มนี้เท่านั้นเอง
“ระวังด้วย! เป็นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแห่งดินแดนชนเผ่ากับอ๋องสิบเอ็ดท่าน!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงพลางถ่ายเสียงพูด
“ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ต่างก็หัวใจขมวดรัด
เพราะพลพรรคชนพื้นเมืองที่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาอย่างจริงใจเคยบอกพวกเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าผู้ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของดินแดนชนเผ่าแห่งเกาะลอยคว้างนี้ก็คือ ‘จักรพรรดิ’ และผู้อาวุโสทั้งสามที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา! ผู้อาวุโสใหญ่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด รองมาก็คือผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ถัดมาก็เป็น ‘อ๋อง’ แล้ว
“พี่กระบี่ปีศาจ พี่ใหญ่หิมะเหิน นอกจากจักรพรรดิผู้นั้นกับผู้อาวุโสใหญ่ ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของเผ่ามรณะทมิฬแห่งเกาะลอยคว้างนี้ดูเหมือนว่าจะแห่กันมาจนหมดสิ้นแล้วล่ะ” บรรพชนแมลงถ่ายเสียงพูด “พวกเราก็นับได้ว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมากแล้ว มุ่งหน้าตรงมายังดินแดนชนเผ่าพร้อมกับชนพื้นเมืองด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว ต่างก็มิได้ถูกสภาวะแวดล้อมที่เป็นอันตรายถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าเลย! แต่ก็ยังถูกขัดขวางเอาไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว พวกเรามาถึงเกาะลอยคว้าง แต่ก็มิได้ทรัพย์สมบัติอันใดเลย”
“สมบัติล้ำค่าภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็มิได้มาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“อ้างอิงตามแผนการ เสี่ยงเถิด” จอมกระบี่ถ่ายเสียง
แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าจะสามารถประจัญบานกับเผ่ามรณะทมิฬซึ่งๆ หน้าได้
เมื่อใดที่เผ่ามรณะทมิฬทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็ย่อมไม่มีทางต้านทานได้อยู่แล้ว! พวกเขาก็ได้แต่พยายามรักษาชีวิตเอาไว้ ลองเสี่ยงดูสักตั้งว่าจะสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่ามาได้หรือไม่ ตามปกติแล้วสมบัติล้ำค่าต่างก็อยู่ที่พื้นที่ศูนย์กลางของเกาะลอยคว้าง
“โชคดีนะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี
ต่างกันระดับขั้นเดียว โดยทั่วไปแล้วความแตกต่างก็มากมายมหาศาล อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงเอง ถึงแม้ว่าทุกร่างแยกต่างก็เป็นขั้นสุดยอด แต่ร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ก็ยังมีความแตกต่างกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ดี!
ถ้าหาก ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นมาเยือน แค่คนเดียวก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าผู้อาวุโสทั้งสองตรงหน้ารวมกับอ๋องทั้งสิบเอ็ดคนเป็นอย่างมาก
……
แต่เซวี่ยเหยียนจี้กลับโบกมือคราหนึ่งในทันใด
เพื่อนร่วมทางทั้งสามคนข้างกายเขาถูกเก็บตัวเข้าไปในทันที พร้อมกันนั้นก็มีเพื่อนร่วมทางสี่คนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
ชาวเผ่าที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่มีกลิ่นอายแกร่งกล้ากว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้อาวุโสทั้งสองก็ไล่สังหารลงมาแล้ว ถ้าหากยังต้านทานพวกเราเอาไว้มิได้ เกรงว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็จะต้องค้นพบแน่! คราวนี้พวกเราใช้พลังทั้งหมดทั้งมวลของเผ่าเซวี่ยเหยียน ก็ได้แต่ทำสำเร็จเท่านั้น” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียง “พวกเราคือผู้แกร่งกล้าที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเผ่าเซวี่ยเหยียนแล้ว ได้รับผลวิญญาณทิพย์มา พวกเรายังมีความหวังที่จะช่วงชิงบ้านเกิดของพวกเรากลับคืนมาได้ มิฉะนั้นเผ่าของพวกเราก็จะแหลกสลายสูญสิ้นไปเหมือนกับโลกแห่งอื่นๆ บางแห่งในประวัติศาสตร์หุบเขาเขี้ยวหัก”
“เสี่ยงชีวิตเต็มที่ก็จะต้องได้รับผลวิญญาณทิพย์มาครองแน่”
“เสี่ยงเลย”
ในดวงตาทั้งสองของบรรดาชนเผ่าเหล่านี้แต่ละคนมีจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้าลุกโชน
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ พวกเขาสามคนตกตะลึงอยู่บ้าง ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้เก็บตัวเพื่อนร่วมทางที่อ่อนแอสามคน แล้วปล่อยตัวคนที่แข็งแกร่งกว่าออกมาสี่คนอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้พกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ติดตัวเอาไว้ตลอด เกรงว่าภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์คงจะเก็บชาวเผ่าเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว! ดูจากกลิ่นอายของชนเผ่าเหล่านี้แล้ว แต่ละคนมีกลิ่นอายแกร่งกล้า ดูเหมือนว่าต่างก็มีพลังรบระดับขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น
นี่ทำให้พวกเขาทอดถอนใจ ขุมอำนาจชนพื้นเมืองในโลกเขี้ยวหักนั้นแข็งแกร่งน่าดูเลยทีเดียว พลังรบระดับจอมเคารพก็มีมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่านี่คือสุดยอดผู้แกร่งกล้าทั้งหมดที่หลบหนีมาได้ซึ่งเหลือรอดมาจากโลกแห่งหนึ่งในนั้นแล้ว
……
พูดไปก็ยืดยาว
ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏตัวขึ้น ทางด้านชนพื้นเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงในทันที
การต่อสู้ปะทุขึ้นในทันใด!
“โฮก…” เงาร่างของผู้อาวุโสรองแปรเปลี่ยนเป็นภาพลวง แปรกลายเป็นยักษ์ไอหมอกสีเขียวขนาดมหึมาหาใดเปรียบตนหนึ่ง ยักษ์ตนนี้ร่างกายสูงตระหง่าน เล็บเท่ายังมีขนาดใหญ่กว่าต้นไม้ในบริเวณรอบๆ เสียอีก เขาก้มหน้าลงมาพลันส่งเสียงคำราม ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างห้อมล้อมจอมกระบี่เอาไว้ในทันใด
ทว่าผู้อาวุโสสามกลับคำรามแล้วบุกสังหารเข้ามาในระยะประชิด เขาเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำตลอดร่าง หาง และกรงเล็บ ทุกส่วนล้วนเป็นอาวุธอันน่าหวาดหวั่นทั้งสิ้น
โบกมือคราหนึ่ง
ท่อนแขนก็ราวกับใบมีดกรีดผ่านห้วงอากาศ ลำแสงสีดำขลับสายหนึ่งฟาดฟันเข้าใส่จอมกระบี่
“เฮอะ”
จอมกระบี่ยืนอยู่กลางอากาศ ในมือถือกระบี่ยาว กระบี่ยาวกวัดแกว่งคราหนึ่ง
ทั่วทั้งฟ้าดินต่างก็หมุนโคจรขึ้นมาตามกระบี่ยาว ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสรองดูเหมือนว่าจะมีพลังคุกคามอันอำมหิตยิ่งกว่า แต่กลับได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว! ช่วยไม่ได้ นี่ก็เพราะระดับขั้นต่ำเกินไป!
ถึงแม้ว่าจะมีพละกำลังอันแกร่งกล้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ที่มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ก็ได้แต่แสดงออกมาอย่างหยาบๆ เสียแล้ว จอมกระบี่ตระหนักรู้สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ วิธีการก็ครอบคลุมอย่างยิ่ง
นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับนั้นล้ำค่า
อย่างเช่นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ขั้นสุดยอดก็ได้แต่อาศัยลูกไม้อันลึกลับที่แฝงอยู่ในสุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาสำแดงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีเคล็ดวิชาที่แฝงอยู่ก็ไม่มีทางสำแดงออกมาได้!
แต่สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ… สิ่งที่ถ่ายทอดก็คือ ‘วิถี’ ซึ่งครอบคลุมกว่ามาก ถึงขนาดที่สามารถอนุมานเชื่อมโยงไปยังสิ่งอื่นๆ ได้ ซึมซับเข้าไปสู่ร่างกายตน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกระบวนท่าที่เชี่ยวชาญก็มากกว่าอยู่มากนัก
“ตายเสีย” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำวางอำนาจบาตรใหญ่ ตวัดกรงเล็บคราหนึ่งก็ทำให้บรรพชนแมลลอยกระเด็นไป ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวกันออกไป
“พี่ใหญ่หิมะเหิน ศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ข้าต้านไม่ไหว” บรรพชนแมลงถ่ายเสียง
“ยกให้ข้าจัดการ”
หลังจากมาถึงเกาะลอยคว้างแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลงมือต่อสู้เป็นครั้งแรก
สวบๆๆๆๆๆ…
ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศดอกหนึ่งปรากฏขึ้น บนดอกบัวมีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นถึงเก้าคน
ทำให้อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำตกตะลึงแล้วยิ้มเย็นในทันใด “มีจำนวนมากแล้วมีประโยชน์อันใดกันเล่า ทำลายมันให้ข้าเสีย!” กรงเล็บของนางพลันเปลี่ยนเป็นขนาดมหึมา แผ่กลิ่นอายสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วตะปบตรงลงมา
“ปึง”
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเก้าคนต่อยหมัดออกมาพร้อมกัน
กำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนกลับปรากฏออกมารวมกัน รวมตัวกันเป็นกำปั้นขนาดมหึมาหลายอัน พลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนในกำปั้นพลุ่งพล่านพรั่งพรู ตามมาด้วยการปะทะ…กำปั้นปะทะเข้าด้วยกันกับกรงเล็บขนาดยักษ์นั้น
หญิงสาวอาภรณ์ดำสีหน้าแปรเปลี่ยน นางอดที่จะตระหนกจนร่างกายร่นถอยหลังไปหลายก้าวมิได้ พละกำลังอันแปลกประหลาดเจาะตรงเข้าไปในร่างกายของนาง
“ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนอย่างนั้นหรือ” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำยากที่จะเชื่อได้ “นี่ นี่คือผู้ที่อ่อนแอที่สุดแล้วหรือ เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในบรรดาผู้บุกรุกคราวนี้ ยากที่จะจัดการยิ่งกว่าหัวหน้าของชนพื้นเมืองนั่นเสียอีก!”
………………………………….