Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 13 มาเยือน
พรึ่บ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงแค่ว่าตลอดทั้งร่างถูกกักเอาไว้ ติดกับอยู่ภายในฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนย้ายอยู่ภายในมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
“รวดเร็วเกินไปแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบทิศ มองผ่าน ‘ฟองวารี’ ก็สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ แต่ทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นรางเลือน ถึงขนาดที่ ‘โลกกำเนิด’ อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหายลับไปภายในทัศนวิสัยของตน ตนเองก็ยังไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของโลกกำเนิดแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็ พรึ่บๆๆ…
โลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่ากะพริบวาบผ่านไป
หรือแม้กระทั่งมองเห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาจำนวนหนึ่งอยู่เป็นครั้งคราว สามารถระบุรูปทรงได้อย่างคร่าวๆ อีกฝ่ายก็หายลับไปจากสายตาเสียแล้ว
“นั่นคือใครกัน เคลื่อนที่ภายในมิติคละถิ่นก็ยังร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” สัตว์ประหลาดหลายหัวขนาดมหึมาตนหนึ่ง ดวงตากว่าร้อยคู่มองดูทิศทางที่ร่องรอยสายนั้นกะพริบวาบผ่านแล้วก็อดที่จะลอบบ่นพึมพำมิได้ “ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ เกรงว่าคงจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ก็ยังหลบอยู่ไกลพอสมควร” สัตว์ประหลาดหลายหัวนี้เคลื่อนที่เตร็ดเตร่เปลี่ยนทิศทางไปในทันที
……
รวดเร็วยิ่งกว่าการอาศัยป้ายคำสั่งจิตโลกามาถึงดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นเสียอีก ทั้งยังรวดเร็วกว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาที่ตนสำแดงเป็นอย่างมาก
‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เป็นสิ่งที่ตนสร้างรอยแยกเส้นหนึ่งขึ้นมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตัดแยกพลังคละวิถีไปอย่างระมัดระวังแล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ในขณะนี้ก็ถูกฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มและส่งถ่าย เป็นการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา! พลังคละวิถีก็ไม่มีทางรบกวนได้ รวดเร็วถึงขนาดที่แม้กระทั่ง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ก็ได้แต่มองเห็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยได้อย่างทุลักทุเลเท่านั้น แล้วหายลับไปภายในอาณาบริเวณการรับสัมผัสของเขา
รวดเร็วเหลือเกิน
ฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ผ่านโลกกำเนิดมาสามร้อยกว่าแห่ง ทุกแห่งที่ผ่านไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้จดจำเอาไว้จนหมดแล้ว
“ครืน…”
บริเวณไกลออกไปมีโลกสีทองแห่งหนึ่ง
โลกสีทองแห่งนั้นแผ่สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนมาปะทะโจมตีกับ ‘พลังคละวิถี’ ของมิติคละถิ่นอย่างต่อเนื่อง! นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจและสงสัย “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน โลกกำเนิดที่ข้าเคยเห็นต่างก็อยู่ร่วมกันกับมิติคละถิ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น! ระลอกคลื่นที่โลกกำเนิดแผ่ออกมาทำให้พลังคละวิถีร่นถอยไปเล็กน้อย ทั้งสองมิได้มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงแต่อย่างใดเลย แต่เหตุใดโลกใบนี้จึงได้ขัดแย้งกับมิติคละถิ่นอย่างร้ายกาจเช่นนี้เล่า”
ในใจยังคงสงสัยอยู่
ฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ กะพริบวาบคราหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในโลกสายฟ้าสีทองแห่งนั้นแล้ว
รวดเร็วเกินไปแล้ว!
ฟองวารีสีแดงโลหิตเคลื่อนผ่านมิติคละถิ่น เหลือร่องรอยสีแดงโลหิตสายหนึ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าโลกสายฟ้าสีทองจะมีความรุนแรงไม่ธรรมดา แผ่สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีมิติคละถิ่นบริเวณรอบๆ แต่กลับมิอาจสั่นสะเทือนถึง ‘ฟองวารีสีแดงโลหิต’ นี้ได้เลยแม้แต่น้อย ฟองวารีสีแดงโลหิตกระแทกกับสายฟ้าทั้งหมดที่แผ่มาอย่างอุกอาจ อีกทั้งยังพุ่งเข้าไปภายในโลก ‘สายฟ้าสีทอง’ ในทันทีอีกด้วย
“หืม นี่มันเรื่องอันใดกัน”
“ผู้ใดกันที่มายังโลกของพวกเรา”
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ
หลังจากที่ฟองวารีสีแดงโลหิตที่ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงฝืนเข้าไปยังโลกแห่งนี้แล้ว เพียงไม่นานก็มีเงาร่างสามสายปรากฏขึ้นมาจากกลางโลกสายฟ้าสีทองอย่างต่อเนื่องกัน พวกเขาทั้งสามต่างก็แผ่กลิ่นอายของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นออกมา กลิ่นอายแผ่กระจายอย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ ถึงขนาดที่ทำให้สายฟ้าสีทองและพลังคละวิถีที่อยู่รอบๆ อ่อนลงไปเป็นอันมาก
พวกเขาทั้งสามมองไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างละเอียด ทำการสำรวจด้วยวิธีการสะกดรอยและย้อนเวลาต่างๆ
“ไม่มีหรือ”
“รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีวัตถุภายนอกพุ่งเข้ามาในโลกของพวกเรา! แต่เหตุใดจึงตรวจสอบไม่พบเล่า คราวก่อนก็รู้สึกได้ว่ามีวัตถุภายนอกเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถหาพบได้เช่นกัน”
“ประหลาดนัก”
หลังจากที่บุคคลสามท่านนี้ปรึกษากันแล้วก็สิ้นไร้หนทาง ได้แต่ล่าถอยไปชั่วคราวก่อน
******
“ปึงๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในฟองวารีสีแดงโลหิต รู้สึกได้เพียงว่าสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนอันบ้าคลั่งรุนแรงนั้นปะทะกับฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ไม่หยุดหย่อน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการคุกคามของความตาย แต่ทั้งหมดล้วนถูกฟองวารีสีแดงโลหิตต้านทานเอาไว้เสียแล้ว
“บ้าคลั่งและรุนแรงเช่นนี้ โลกที่รับสัมผัสได้ตอนที่ข้าอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงของทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นก่อนหน้านี้ ก็คงเป็นโลกแห่งนี้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา
พรึ่บ…
ฟองวารีสีแดงโลหิตพุ่งเข้าไปภายในโลกสายฟ้าสีทองแล้ว ถึงขนาดที่ตกลงไปที่ใดสักแห่งอย่างไร้ซึ่งสุ้มเสียง ปราศจากร่องรอย
“ความรวดเร็วนี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังยืนอยู่บนดินแดนรกร้างแห่งหนึ่งพลางเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเพิ่งผ่านด้านนอกโลกสายฟ้าสีทอง จากนั้นตนก็มาถึงบนดินแดนรกร้างแห่งนี้! เพราะว่ารวดเร็วเกินไปจริงๆ ตนเองมิอาจมองเห็นให้ชัดเจนได้เลย! แต่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อย่างเช่นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นของโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง เคลื่อนที่ผ่านได้ในพริบตาโดยอาศัยความเร็วของฟองวารีสีแดงโลหิต ก็รวดเร็วเสียจนตนเองก็ยังมองเห็นไม่ชัด
“ถ้าหากกระตุ้นจะสามารถมุ่งตรงไปยังโลกแห่งต่อไปได้หรือไม่หนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้าลงมองไปยังข้อมือ บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นรอยประทับก็เลือนหายไป เกิดการซ่อนเร้นขึ้นมา
พลังที่แฝงอยู่ในฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ก็กระตุ้นขึ้นมาอีกสองครั้ง
ทุกครั้งที่กระตุ้นก็ส่งตนมุ่งหน้าไปยังโลกแห่งหนึ่ง
โลกที่แหล่งอารยธรรมแตกต่างกันสามแห่ง…
นี่ก็คือโอกาสที่ ’หยวน’ มอบให้กับผู้แกร่งกล้าที่สามารถไปถึงส่วนลึกของทะเลแห่งการรับรู้ของทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้อย่างพวกเขา
“จักรพรรดิเป่ยเหอก็คงจะมาถึงโลกแห่งนี้แล้วเช่นเดียวกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด ทั่วทุกบริเวณของร่างกายตนค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ก็ราวกับก้อนอิฐก้อนแล้วก้อนเล่าของอาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แน่นอนว่าทั้งอาคารสูงเสียดฟ้าก็ค่อยๆ เข้าสู่ ‘การแตกสลาย’ อย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ร่างกายของข้า ร่างกายของข้า เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว
ร่างกายกำลังแตกสลาย!
นอกจากนี้ยังเริ่มแตกสลายจากทุกอนุภาคที่ละเอียดอ่อนที่สุดอีกด้วย
ไม่เพียงแต่เป็นเช่นนี้เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ว่าการรับสัมผัสต่อห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ก็กลายเป็นรางเลือนอีกด้วย เป็นถึงผู้แกร่งกล้า ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ เดิมทีการควบคุมห้วงอากาศของเขาก็ร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่แล้ว แต่ ‘ห้วงมิติ’ ของโลกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ฟังคำเอาเสียเลย ความเร้นลับของวิถีอากาศที่ตนควบคุม เมื่ออยู่ต่อหน้ามิติของโลกแห่งนี้ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใดเลย
“กลายเป็นอากาศธาตุ”
เมื่อทดลองกลายเป็นอากาศธาตุ ห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ร่างกายบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ว่าร่างกายกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงค่อยๆ แตกสลายต่อไปเช่นเดิม
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ข้าเป็นถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอด เหตุใดวิถีอากาศจึงไร้ผลเสียแล้วเล่า”
“โลกกำเนิดที่แตกต่างกัน กฎเกณฑ์ระดับล่างก็อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ แต่กฎเกณฑ์ที่เหล่าเทพจักรวาลสร้างขึ้นเอง วิถีของเทพจักรวาลก็ควรจะใช้ได้ด้วยกันในทุกโลกกำเนิดสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด “แต่ว่าถ้าหากสถานที่ที่ข้าเข้าไปมิใช่โลกกำเนิดเล่า”
เมื่อดูจากสถานการณ์ที่ตนส่งถ่ายตัวเข้ามา
โลกสายฟ้าสีทองนั้นโจมตีมิติคละถิ่นอยู่ตลอดเวลาอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง ทั้งสองมิได้เข้ากันอย่างสมบูรณ์
“นอกจากนี้ ดินแดนแห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มลงมองพื้นดินเบื้องล่างแล้วยื่นมือออกไปสัมผัสเบาๆ กรวดหินดินทรายบนพื้นนั้นหนาแน่นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีกลิ่นอายพลังคละวิถีอยู่อย่างหนาแน่นด้วย! คล้ายกับว่ากรวดหินดินทรายทุกก้อนต่างก็เป็นพลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน กรวดหินดินทรายทุกก้อนล้วนหนาแน่นหาใดเปรียบ เกรงว่าเทพแท้ทั่วไปก็คงไม่สามารถเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ! พลังดึงดูดก็ยิ่งใหญ่เหนือธรรมดา
กลิ่นอายอันบ้าคลั่งอันอลหม่านและรุนแรงที่ทั่วทั้งโลกแผ่ออกมา กฎเกณฑ์ก็เอนเอียงไปทางความอลหม่านและความรุนแรง
“นี่คงจะมิใช่โลกกำเนิดหรอก”
“โลกกำเนิด ฟูมฟักสรรพชีวิต ทะนุถนอมสรรพชีวิตให้เจริญเติบโต จะอลหม่านและรุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“วิถีของระดับเทพจักรวาลนั้นใช้ได้เหมือนกันในโลกกำเนิดต่างๆ แต่นี่คงจะมิใช่โลกกำเนิด แม้กระทั่งวิถีอากาศของข้าก็ยังได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “อ้างอิงจาก ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ที่วิถีอากาศสรรสร้างขึ้นก็คงจะเข้ากันไม่ได้กับโลกแห่งนี้จากพื้นฐานที่สุด ดังนั้นร่างกายนี้ของข้าจึงเริ่มแหลกสลายอย่างนั้นหรือ”
ถึงแม้ว่าร่างกายจะกำลังแหลกสลาย
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ตื่นตระหนก เพราะว่านอกจากเขาจะค้นพบข่าวร้ายมากมายแล้วก็ยังมีข่าวดีอยู่ข่าวหนึ่ง!
“วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดเลยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี
วิถีเขตลวงโลกเทียมก็คือวิถีวิญญาณ
สิ่งที่ต่อต้านก็คือวิญญาณ!
วิญญาณ…
ไม่ว่าจะเป็นที่โลกกำเนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่งโลกแห่งนี้ที่เข้ามาในตอนนี้ก็คงจะมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน สามารถสำแดงวิถีเขตลวงโลกเทียมได้เช่นเดียวกัน
“แต่ร่างกายของข้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว ร่างกายเริ่มต้นแหลกสลายจากภายในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุด หรือว่าตนจะทำได้เพียงแค่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกโดยอาศัย ‘วิญญาณ’ กันเล่า
“เมื่อครู่ข้าควบคุมวิถีอากาศ ค้นพบข้อบกพร่องมากมาย แต่กลับยังมีส่วนน้อยที่ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์อย่างรวดเร็ว วิญญาณของเขาแกร่งกล้าเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่สามารถเชื่อมต่อความทรงจำกับร่างแยกมากมายที่ดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่าน ทั้งสองโลกกำเนิดได้! เพียงชั่วครู่ร่างแยกมากมายต่างก็พากันวิวัฒน์เหตุการณ์ในตอนนี้กันอย่างสุดความสามารถเพื่อแก้ไขสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยเร็วที่สุด
ดีร้ายอย่างไรก็ต้องคงสภาพร่างกายเอาไว้ให้ได้!
……
ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนดินแดนรกร้าง ทางหนึ่งก็พยายามถ่วงเวลาที่ร่างกายแหลกสลายไปพลาง ทางหนึ่งก็พยายามวิวัฒน์หยั่งรู้ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากกลิ่นอายอันไม่มั่นคงของร่างกายเขากลับดึงดูดแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเสียแล้ว
“พรึ่บ!” ลำแสงสีดำที่อยู่ไกลออกไปสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ตรงมาหาตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมอง
นั่นคือสัตว์ปีกที่ปกคลุมด้วยขนนกสีดำตลอดร่างตนหนึ่ง มีนัยน์ตาดุร้ายสีเขียวมรกต ปีกทั้งสองกางออกยาวหลายพันเมตร ในขณะนี้สัตว์ปีกตนนี้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาหาร จึงพุ่งตรงลงมา!
………………………………………