Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 14 ผู้เหินทะยาน
สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ทะยานลงมา พายุคลั่งที่เกิดจากปีกคู่นั้นก่อให้เกิดคมวายุจำนวนนับไม่ถ้วนตัดเฉือนผ่านอากาศไป มันเชือดเฉือนผืนดินส่วนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เสียงดังฉึบฉับ เมื่อคมวายุตัดเฉือนเข้ามา รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งปรากฏขึ้น ดอกไม้สีดำหุบเข้าหากันแล้วปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ คมวายุเหล่านั้นเชือดเฉือนลงบนดอกไม้สีดำทำให้ดอกไม้สั่นสะท้าน เหมือนจะถล่มทลายลงไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ตกใจเพราะเรื่องนี้ แต่กลับยินดีเสียด้วยซ้ำ “เป็นสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจนัก วิถีเขตลวงโลกเทียม ‘ภาพลวงร่อนลงสู่ความจริง’ ของข้า มิได้ทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับด้านการห้ำหั่นซึ่งหน้าสักเท่าไหร่นัก แต่กระบวนท่าเหล่านี้ก็มีพลังระดับเทพจักรวาลทั่วไปแล้ว ลำพังแค่คมวายุที่ปีกทั้งคู่ของสัตว์ปีกตัวนี้เหนี่ยวนำขึ้นมาก็มีอานุภาพเช่นนี้แล้ว เกรงว่าการห้ำหั่นซึ่งหน้าคงจะมีพลังระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วกระมัง”
กระบวนท่าภาพลวงร่อนลงสู่ความจริง
เขาเคยค้นคว้าตอนที่ยังเป็นขั้นอลวน ต่อมาหลังจากวิถีอากาศก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทพจักรวาลแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ค้นคว้ากระบวนท่าจำพวกนี้อีก เพราะต่อให้ทุ่มเทจิตใจมากกว่านี้ก็เกรงว่าคงจะอยู่ที่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรวิถีเขตลวงโลกเทียมก็ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการห้ำหั่นซึ่งหน้าอยู่แล้ว ทำเช่นนี้ก็ออกจะเปลืองเวลาอยู่บ้าง
“มาถึงโลกใบนี้ในที่สุดก็ได้พบสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
วิ้ง!
เพียงชั่วความคิดเดียว
เขตลวงโลกเทียมก็เข้าปกคลุมสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนั้นเอาไว้ เดิมทีมันยังมุทะลุดุดันผิดธรรมดา จากนั้นสายตาก็หม่นลง ร่างกายโจมตีลงบนผืนดินเสียงดังโครมครามตามความเคยชิน ก่อให้เกิดก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วน ก้อนกรวดเหล่านี้หนักอึ้งหาใดเปรียบ สามารถก่อตัวขึ้นมาได้มากมายเช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่งแล้ว
“น่าแปลก” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สติรับรู้ของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตัวนี้ถูกลากดึงเข้าไปในเขตลวงโลกเทียม สติรับรู้ของมันกลับแค่ดีกว่าสัตว์ป่าทั่วไปอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ในชีวิตของมันเคยได้พบกับผู้แกร่งกล้าที่มีรูปร่างเป็น ‘มนุษย์’ อยู่บ้าง บางตนก็ถูกมันกินลงไปทันที! บางตนมันก็มองเห็นอยู่ไกลๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย มันก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กล้าเยื้องกรายเข้าใกล้
ในความทรงจำตลอดชีวิตอันยาวนานของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหด มีข้อมูลที่มีประโยชน์น้อยมาก ทว่ากลับมีภาพของผู้แกร่งกล้าชาวมนุษย์มากมายซึ่งถูกมันโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือก่อนจะถูกมันกลืนกินแล้วตะคอกและพูดจาด้วยความโมโห เมื่อรวมๆ กันแล้วก็มีวาจาหลายพันประโยค ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยสิ่งเหล่านี้วิเคราะห์ภาษาของโลกใบนี้อย่างรวดเร็ว
วาจาหลายพันประโยคนี้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้น้อยเสียจนน่าสงสาร
“มันรู้อะไรน้อยมากจริงๆ”
“ช่างเถิด ปล่อยมันไปก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง สำหรับยอดฝีมือชั้นเอกผู้ไร้เทียมทานทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมอย่างเขาแล้ว ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสติรับรู้ของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ได้ง่ายดายยิ่งนัก
สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดที่กระแทกลงกับพื้นตนนั้นฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างงุนงง มันมองดูรอบกาย เมื่อมองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิง กลับทำท่าเหมือนเห็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นบางอย่าง มันกระพือปีกทันที แล้วกลายเป็นลำแสงทะยานไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายวับไปยังขอบฟ้าไกลออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปไกลพลางครุ่นคิด “ในความทรงจำของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าชาวมนุษย์ที่มันพบนั้น เหมือนจะไม่เคยพบผู้ที่เคลื่อนที่ในพริบตาเลย ในโลกใบนี้ การเคลื่อนที่ในพริบตายากนักหรือไร”
เขาเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ สำหรับเขาแล้ว การเคลื่อนที่ในพริบตานั้นเหมือนกับสัญชาตญาณ แต่บัดนี้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศมากมายเข้ากับโลกใบนี้ไม่ได้สักเท่าใดนัก แม้แต่กายหยาบอันแข็งแกร่งที่เขาสร้างขึ้นด้วยการฝึกกายคละถิ่นก็กำลังถล่มทลายลง
“ไม่คิดมากแล้ว”
“ทำให้กายหยาบมั่นคงก่อนดีกว่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามทำให้กายหยาบมั่นคง
ร่างแยกทั้งหลายของเขาที่อยู่ในโลกกำเนิดทั้งสองคือดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านรับรู้พร้อมกันจนมีทิศทางอยู่ก่อนแล้ว! แม้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์หลายอย่างของ ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ จะไม่เข้ากับโลกใบนี้นัก แต่ก็มีบางอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ วิธีการในตอนนี้ก็คือ…อาศัยความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เหล่านี้เป็นพื้นฐาน แล้วพยายามผลักดันความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับโลกใบนี้มากกว่าขึ้นมา
นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงเคล็ดวิชา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ใหม่ ให้ง่ายดายขึ้นบ้าง
ยิ่งง่ายเท่าไหร่ ก็ยิ่งขัดแย้งกับโลกใบนี้น้อยลงเท่านั้น!
หากเป็นเคล็ดวิชาที่เกิดขึ้นจากความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สามารถหลอมรวมกับโลกใบนี้ได้ทั้งหมด แล้วสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ เชื่อว่าก็จะไม่มีความขัดแย้งแล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้น กายหยาบก็อ่อนแอยิ่งนัก! ดังนั้นจึงพยายามสร้างความสมดุลทางด้าน ‘ความแข็งแกร่ง’ และ ‘ความมั่นคง’ ให้ได้มากที่สุด
แต่เรื่องนี้ต้องการเวลา!
……
เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังบินไปท่ามกลางชั้นเมฆด้วยความเร็วสูง เรือลำใหญ่หรูหราบนระเบียงมีพลทหารยืนอยู่มากมาย คอยดูแลรอบด้าน
สตรีวัยกำดัดรูปโฉมงดงามคู่หนึ่งอยู่บนดาดฟ้า เกาะราวระเบียงพลางเหลือบมองลงไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง ไกลออกไปก็มีทะเลสาบสะท้อนประกายแวววับ เมื่อทอดสายตามองไป ภายในทะเลสาบอันกว้างใหญ่นั้นก็มี ‘สัตว์ถิ่นร้าง’ ตัวเขื่องกำลังดื่มน้ำอยู่
“ภาพของความรกร้างนี่ช่างงดงามจริงๆ” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนนางหนึ่งพูดยิ้มๆ พลางมองภาพความรกร้างใต้แสงตะวันที่สาดส่อง “อยากจะเหมือนกับพี่ใหญ่ในตอนนั้น ที่ท่องไปในความรกร้างเพียงลำพัง”
“คุณหนู ความรกร้างนั้นอันตรายนัก” สาวใช้ชุดเขียวด้านข้างเอ่ยขึ้น “ชนเผ่าที่มีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางความรกร้างนั้นมีน้อยเสียจนน่าสงสาร นอกจากนี้แต่ละคนล้วนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะต้องห้ำหั่นกับสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น! หากคุณหนูพาองครักษ์กลุ่มใหญ่ไปด้วยก็ยังดีหน่อย หากไปบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังคนเดียวน่ะหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังระดับจ้าวเทพกระมัง บัดนี้คุณชายใหญ่มีพลังขั้นจ้าวเทพระดับยอดแล้ว”
“ซีเอ๋อร์ ความหมายของเจ้าคือพลังของคุณหนูบ้านเจ้าเช่นข้าไม่เพียงพอหรือไร” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนมองไปทางสาวใช้พลางแค่นเสียงเฮอะ
“สายเลือดของคุณหนูสูงส่ง มีท่านเจ้าเมืองคอยชี้แนะด้วยตนเอง แน่นอนว่าต้องสำเร็จเป็นจ้าวเทพได้อย่างง่ายดายอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่าตอนนี้น่ะหรือ ยังคงด้อยไปหน่อยจริงๆ” สาวใช้ชุดเขียวพูดพลางหัวเราะคิกคัก
“เจ้านี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ แม้แต่คุณหนูบ้านเจ้าเช่นข้า ก็ยังกล้ามาหัวเราะล้อเลียนอีก” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนแค่นเสียงเย็นชา ทว่าจากนั้นก็หัวเราะออกมา นางรู้จักกับสาวใช้มาเนิ่นนาน ตั้งแต่เล็กก็อยู่เคียงข้างมาจวบจนบัดนี้ จึงสนิทสนมกันดั่งพี่น้องเป็นธรรมดา สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนมองดูภาพความรักร้างอันไร้ขอบเขตนี้ด้วยสายตาดื่มด่ำ
ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่บนเรือ สัตว์ถิ่นร้างท่ามกลางความรกร้างเหล่านั้นล้วนมิกล้ามาล่วงเกิน
“เอ๊ะ” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนพลันนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด นางรีบชี้ออกไปไกล “รีบดูเร็ว รีบดูเร็วเข้า ตรงนั้นมีคนด้วย”
“โอ๊ะ” สาวใช้ชุดเขียวด้านข้างก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “มีคนจริงๆ ด้วยหรือนี่”
…
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนทุ่งร้าง เขาก็สัมผัสได้ว่าเรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังทะยานเข้ามาจากกลางอากาศไกลออกไป อานุภาพของเรือใหญ่เกรียงไกร และไม่มีสัตว์ถิ่นร้างเช่นพวก ‘สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหด’ กล้าเข้าไปล่วงเกิน
“วิเคราะห์ตั้งนมนาน ก็สามารถทำให้กายหยาบนี้สามารถครองพลังรบได้ที่ระดับขั้นสุดยอดอย่างพอถูไถเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง เขาใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศที่ทำให้โลกใบนี้ไม่ต่อต้านเป็นพื้นฐาน แล้วทำให้เคล็ดวิชา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ เรียบง่ายขึ้น! แม้จะทำให้เรียบง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีหลายความเร้นลับที่ยังคงมีการต่อต้านอยู่
มิเช่นนั้นแล้วลำพังแค่อาศัยความเร้นลับจำนวนน้อยนิดเหล่านั้น ภายในระยะเวลาสั้นๆ มิอาจผลักดันเคล็ดวิชาฝึกกายที่แข็งแกร่งพอขึ้นมาได้แน่
เคล็ดวิชาอ่อนแอเกินไปอย่างนั้นหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรังเกียจว่าอ่อนแอไป
“บัดนี้ก็พอจะทำให้กายหยาบมั่นคงขึ้นมาได้แล้ว”
“แม้ภายในจะยังมีการถล่มลงเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา แต่การฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกาย สามารถชดเชยการถล่มทลายเล็กน้อยนี่ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ร่างกายของเขาอยู่ระหว่างการ ‘ได้รับบาดเจ็บ’ และ ‘ฟื้นฟู’ มาตลอดเวลา บัดนี้ความเร็วในการฟื้นฟูนั้นรวดเร็วกว่าการได้รับบาดเจ็บแล้ว จึงสามารถรักษาร่างกายให้มั่นคงได้!
ดีร้ายอย่างไร กายหยาบก็คงพลังรบระดับขั้นสุดยอดเอาไว้
ต้องรู้ไว้ว่า…ก่อนหน้านี้ฉบับแรกของฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สามก็เป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว! ฉบับที่สองที่เขาขัดเกลาขึ้นมาก็ถึงขั้นเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว
บัดนี้ เพียงครู่เดียวก็ลดลงมาถึงขีดจำกัดขั้นสุดยอด! ทั้งยังต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้ตลอดเวลา
“ต่อไปก็ต้องใช้เวลา ค่อยๆ ขัดเกลาไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ฟิ้ว…
เรือใหญ่ลำนั้นกลับบินมาถึงเหนือร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตรงหัวเรือ สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้นั้นเหลือบมองลงมาเบื้องล่างพลางสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสนใจใคร่รู้ อีกด้านหนึ่งกลับมีชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ชายชราท่าทางเยียบเย็นเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูสามระวังหน่อยนะขอรับ แต่ละคนที่บุกฝ่าอยู่ท่ามกลางความรกร้างเช่นนี้ล้วนแต่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คุณหนูสามต้องรักษาระยะห่างกับเขาหน่อย”
“พ่อบ้านอวิ๋น เขาเป็นอะไรไปแล้ว เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยชอบมาพากลนัก” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนถาม
ชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นี้ยืนอยู่ที่หัวเรือ ทันใดนั้นก็ลืมตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วขึ้นมา ตาดวงที่สามนี้เปล่งแสงสีเขียวมรกตเรืองรองออกมา มันเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง เมื่อมองดูแล้วชายชราท่าทางเยียบเย็นก็ยิ้มหยัน “พลังของคนผู้นี้บรรลุถึงระดับจ้าวเทพได้อย่างพอถูไถ แต่อาการบาดเจ็บของร่างกายสาหัสยิ่งนัก เขากำลังพยายามเยียวยาอาการบาดเจ็บของร่างกาย ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจ้าวเทพคนหนึ่งก็กล้าบุกฝ่าท่ามกลางความรกร้างด้วย เฮอะๆ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”
“เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว พวกเราไปช่วยเขากันเถอะ ท่ามกลางความรกร้าง อาจจะมีสัตว์ถิ่นร้างที่แข็งแกร่งโผล่มาโจมตีเขาได้ตลอดเวลา” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกล่าว
“คุณหนูสามเมตตาเกินไปแล้ว” ชายชราท่าทางเยียบเย็นส่ายหน้า “ผู้ที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ยังคง…โอ๊ะ”
ทันใดนั้นชายชราท่าทางเยียบเย็นก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“เป็นอะไรไปน่ะ”
“พ่อบ้านอวิ๋น”
รอบด้านยังมีแม้ทัพหลายนายและคนอื่นๆ อยู่ด้วย ทุกคนพากันมองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น พ่อบ้านอวิ๋นคือผู้ควบคุมเรือลำนี้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าผู้นำในนามก็คือคุณหนูสาม
แสงสีเขียวมรกตสาดส่องจากตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วของชายชราท่าทางเยียบเย็นอย่างไม่ขาดสาย เขาเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างแล้วสำรวจโดยละเอียด “เขามิได้ก่อจิตเทพขึ้นมาหรือนี่ ไม่ได้ก่อจิตเทพ ก็บำเพ็ญถึงระดับขั้นจ้าวเทพได้ ดูท่าแล้วคงจะฝึกกายล้วนๆ ฝึกกายหยาบเพียงอย่างเดียวก็บรรลุถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือนี่ นอกจากนี้เมื่อข้าอยู่เหนือร่างเขา ก็สัมผัสรับรู้กลิ่นอายสายเลือดของเขามิได้เลยแม้แต่น้อย เขามิใช่ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกเทพ แต่เป็นผู้เหินทะยานจากโลกล่าง!”
“เป็นผู้เหินทะยานหรือ”
“ได้ยินมาว่าโลกล่างมีมิติมากมาย ผู้ที่สามารถเหินทะยานขึ้นมาถึงโลกเทพของพวกเราได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”
บนเรือพลันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
มีผู้เหินทะยานอยู่ในโลกเทพน้อยมาก
“ผู้เหินทะยานคนหนึ่ง มิได้ก่อจิตเทพขึ้นมา ทางด้านฝึกกายสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นจ้าวเทพได้” ชายชราท่าทางเยียบเย็นเหลือบมองลงไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “คุณหนูสาม บ่าวเฒ่ารู้สึกว่าคุณหนูสามพูดได้มีเหตุผล ผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้ ควรไปช่วยเหลือเสียหน่อย!”
………………………………………