Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 33 นกกระจาบเหลืองตามหลัง
“ซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไรให้มากความ ทุกท่านสามารถตรวจสอบทุกอย่างดูได้โดยตรงเลย ตอนนี้การประมูลสมบัติก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ราคาขั้นต่ำหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งหมื่นสองพันก้อน การเสนอราคาทุกครั้งต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น” จักรพรรดิเทพเยี่ยน ชายชราอาภรณ์เงินมองไปรอบทิศพลางพูดเสียงดัง สมบัติล้ำค่าอื่นๆ ทั้งหมดในงานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้รวมกันขึ้นมาแล้วจึงพอจะเทียบเคียงกับซากศพนี้ได้อย่างพอถูไถ ราคาขั้นต่ำนี้ก็ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายภายในสถานที่จัดงานชุมนุมแห่งนี้ตกตะลึงแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ทอดถอนใจเช่นกัน
หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งหมื่นสองพันก้อนอย่างนั้นหรือ
อ้างอิงจากความรู้ความเข้าใจของตน เกรงว่าผู้แกร่งกล้าระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ก็ยังจ่ายหยกแก้วคละถิ่นมากมายถึงเพียงนี้ออกมาไม่ไหวเลย ต้องเป็นบุคคลระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’! อย่าว่าแต่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเลย ตามปกติแล้วต่างก็สามารถมีชื่ออยู่ใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ แล้วด้วยซ้ำ!
“หนึ่งหมื่นสามพันหยกแก้วคละถิ่น” น้ำเสียงบาดหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้แกร่งกล้ามากมายในที่นั้นรวมถึงตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้วต่างก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบ นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นี่เพิ่งจะแค่เอ่ยปากพูดเท่านั้นเอง ถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาออกมาจริงๆ เกรงว่าตนเองคงต้านเอาไว้ไม่ไหวแม้แต่กระบวนท่าเดียวกระมัง
“หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น” เสียงของผู้เฒ่าอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
ผู้ที่ประมูลซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้หลักๆ ก็คือผู้แกร่งกล้าสามฝ่าย เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
ราคาสุดท้ายกำหนดอยู่ที่ ‘หนึ่งหมื่นเก้าพันแปดร้อยหยกแก้วคละถิ่น’ ราคานี้ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายตกตะลึง แต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทุกตนต่างก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง หากพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปตลอดกาล จะมีมูลค่าสูงจนชวนให้คนตื่นตกใจก็เป็นเรื่องปกติ
“เพียงแต่ว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำนี้แฝงไว้ด้วยพลังของวารีเพลิง ส่วนใหญ่ของร่างกายต่างก็เป็นการแสดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์วารีเพลิงในระดับขั้นอลวน ก็ย่อมมิได้มีประโยชน์อะไรมากมายต่อเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญวิถีอากาศและวิถีเขตลวงโลกเทียมคนหนึ่งอยู่แล้ว
******
งานชุมนุมประมูลสมบัติสิ้นสุดลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพำนักอยู่ที่หอจิตฟ้าแห่งนี้เป็นการชั่วคราวต่อไป
“หลังจากที่งานชุมนุมประมูลสมบัติของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว ก็ปลีกวิเวกอยู่ที่หอจิตฟ้าเลยก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่โรงสุราริมถนนแห่งหนึ่งในเมืองเจียงหยวน กินอาหารจานเด็ดและสุราชั้นเลิศที่โรงสุราแห่งนี้เชี่ยวชาญ เขาอาศัยเคล็ดการสะกดรอยก็ย่อมสามารถล่วงรู้ได้อยู่แล้วว่าผู้ที่ซื้อตำราไปก็คือจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา “จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก ในข้อมูลสาธารณะบันทึกเอาไว้ว่าเขาเคยสังหารจักรพรรดิเทพคนอื่นมาแล้วถึงสองครั้ง”
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น
จักรพรรดิเทพที่เขาเคยสังหาร ก็ย่อมเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นกันทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้ว ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ทั่วทั้งโลกเทพ ก็ปาเข้าไปร้อยละเก้าสิบเก้าของจักรพรรดิเทพทั้งหมดแล้ว อย่างเช่น ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ผู้ปกครองของเมืองจวิ้นซาน ก็เป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้น มาถึงขั้นนี้แล้ว การยกระดับทุกก้าวต่างก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
‘การปลิดชีพชิงสมบัติ’ ก็ย่อมทำกำไรได้รวดเร็วแน่นอนอยู่แล้ว
ถ้าหากเสาะหาสัตว์ถิ่นร้างอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้าง ข้อแรก ไม่มีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ตามปกติแล้วภายในอาณาเขตอันใหญ่โตผืนหนึ่งก็จะมีสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอยู่เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น จากอาณาเขตผืนหนึ่งไปยังอาณาเขตที่มีสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอีกแห่งนั้นจำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน ข้อสอง สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดจำนวนมากต่างก็มีการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่ง จักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ยังสังหารได้ยากนัก พวกเขามิได้เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ กวาดล้างสังหารได้อย่างง่ายดาย
สังหารสัตว์ถิ่นร้างอย่างยากลำบาก กินระยะเวลายาวนาน ทั้งยังลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง
แต่การปลิดชีพจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ น่ะหรือ
สังหารคนหนึ่งก็ได้กำไรงามแล้ว! กำไรที่ได้จากจักรพรรดิเทพที่ถูกสังหาร ก็แทบจะเป็นการสั่งสมมาทั้งชีวิต!
ที่โลกเทพก็มีผู้แกร่งกล้าอยู่มากพอสมควรที่ชอบทำเรื่องพรรค์นี้ ถึงอย่างไรบนเส้นทางของผู้แกร่งกล้า พวกเขาก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อทรัพยากร นี่คือวิธีการที่เป็นอันตรายแต่สามารถกอบโกยได้มากที่สุด
“จ่ายในราคาสูงพอ หอจิตฟ้าก็สามารถอารักขาความปลอดภัยหมื่นปีของผู้พำนักได้เป็นหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ระยะเวลาหมื่นปีผ่านไป หอจิตฟ้าก็มิอาจอารักขาต่อไปได้อีกแล้ว”
เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
หอจิตฟ้ากระจายตัวอยู่แทบทุกเมืองในโลกเทพ ลำพังแค่พลังของเมืองแห่งหนึ่งก็มิได้แข็งแกร่ง ผู้ที่พวกเขาพึ่งพาก็คือ ‘เผ่าจิตฟ้า’ หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่มีผู้แกร่งกล้าหน้าไหนกล้าไปยั่วยุกฎเกณฑ์ที่สามตระกูลราชันย์กำหนดเอาไว้ แต่เผ่าจิตฟ้าก็มิอาจทำอะไรมากเกินไปได้ อารักขาหมื่นปีก็เพียงพอแล้ว ถ้าหาก ‘อารักขาชั่วนิรันดร์’ ก็อาจจะบีบให้บรรดาจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งฉีกหน้าเอาได้!
ไม่ไว้หน้าอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าสามตระกูลราชันย์จะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากบรรพเทวะคละถิ่นไม่มาเยือน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรบุคคลที่น่าหวั่นเกรงที่สุดบางคนในบรรดาจักรพรรดิเทพได้เลย
เพียงแค่อารักขาหมื่นปีเท่านั้น ทุกคนยังอยากที่จะไว้หน้าหอจิตฟ้าอยู่
……
เพียงพริบตา งานชุมนุมประมูลสมบัติก็ผ่านพ้นไปแปดพันปีเศษแล้ว
ราตรีกาล
“สวบ”
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาห่อหุ้มร่างด้วยอาภรณ์สีดำแล้วจากหอจิตฟ้ามาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง เคลื่อนผ่านบนถนนภายใต้มุมมืดราวกับเงาสีดำสายหนึ่งก็มิปาน
“หึ ในที่สุดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ก็ไปจากหอจิตฟ้าแล้ว ยังคิดว่าเขาจะหลบซ่อนตัวไปจนถึงระยะเวลาหนึ่งหมื่นปีเต็มเสียอีก” บริเวณข้างหอจิตฟ้าห่างออกไปไม่ไกล เงาร่างสองสายปรากฏตัวกลางอากาศ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาที่ซ่อนเร้นร่องรอยระหว่างการหลบหนี ทว่ากลับสามารถรับสัมผัสถึงเขาได้อย่างง่ายดาย
“ตราคำสาปวิญญาณที่พวกเราทิ้งเอาไว้บนร่างของเขา ไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ไหน เขาก็ไม่มีทางหนีการล่าสังหารของพวกเราได้พ้นหรอก! สังหารน้องรองแล้วก็ไล่ล่าไปทั่วทั้งโลกเทพด้วยความแค้น ก็จะต้องทำให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตให้ได้” บุรุษโหดเหี้ยมร่างบึกบึนผู้หนึ่งขบกรามพูด ข้างกายเขาก็คือหนุ่มน้อยผู้เย็นชาคนหนึ่ง “ความแค้นของพี่รองต้องชำระอย่างแน่นอน ตามไปเร็ว”
“ตามไปเร็วเข้า”
เงาร่างสองสายนี้ไล่ตามไปอย่างรวดเร็วด้วยการรับสัมผัสตามรอยตราคำสาปวิญญาณ
ในขณะเดียวกันกับที่พวกเขาสองคนสะกดรอย
เงาร่างสายหนึ่งก็บินมาจากกลางหอจิตฟ้า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“ผู้ที่ไล่ตามติดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาไป ก็คือน้องโลหิตทมิฬกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ น้องสามโลหิตทมิฬก็คือสหายร่วมเป็นร่วมตาย เป็นพี่น้องที่สามารถเป็นตายพร้อมกันได้ นับตั้งแต่หลังจากที่พี่น้องรองของพวกเขาถูก ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ ลอบสังหารชิงสมบัติแล้ว สองคนที่น้องโลหิตทมิฬเหลือเอาไว้ ตลอดมาก็ยังไล่ตามมิได้ ไล่ตามจนจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาหนีหัวซุกหัวซุน
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วตามติดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงติดตามไปชั่วขณะหนึ่ง
“หืม ไม่มีคนแล้วหรือ”
สายลมอ่อนสายหนึ่งรวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง เขามองทิศทางที่น้องโลหิตทมิฬและตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามไปอยู่ห่างๆ “ฟังสิ่งที่กาเหว่าภูษาพูด น้องโลหิตทมิฬ และเบื้องหลังจ้าวเทพเมฆาเขียวน่าจะยังมีจักรพรรดิเทพคอยจับจ้องเขาอยู่ ข้าสังเกตการณ์อยู่ในความมืดมาเนิ่นนานพอสมควร จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เสียด้วย ทว่ากลับไม่เห็นจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังเขาเลยอย่างนั้นหรือ”
เงาร่างเลือนรางที่เกิดจากสายลมอ่อนรวมตัวกันขึ้นมาร่างนี้มีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง เขาออกจะไม่เชื่อสักเท่าใดนัก จ้าวเทพผู้หนึ่งถึงกับกล้าสะกดรอยจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง! ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพ จ้าวเทพช่วงสุดยอดก็เพียงแค่เทียบเคียงได้กับจักรพรรดิเทพช่วงต้นในบรรดาประชากรธรรมดาทั่วไปของโลกเทพเท่านั้น ย่อมไม่สามารถคุกคามไปถึงชีวิตของ ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลได้อยู่แล้ว
แต่เรื่องจริงเป็นเช่นนี้!
“ย่อมไม่มีอะไรสามารถหนีการตรวจสอบของข้าไปได้อยู่แล้ว รอบกายของจ้าวเทพเมฆาเขียวไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อยู่แล้วจริงๆ จักรพรรดิเทพผู้ยิ่งใหญ่ คงจะไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของจ้าวเทพผู้หนึ่งได้หรอกกระมัง” เงาร่างเลือนรางนี้ลอบบ่นพึมพำ จักรพรรดิเทพต่างก็มีความทะนงตนกันเป็นอย่างยิ่ง มิใคร่จะเห็นจ้าวเทพอยู่ในสายตากันสักเท่าใดนัก
แม่ทัพเทพไปถึงจ้าวเทพเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่
จ้าวเทพไปถึงจักรพรรดิเทพก็เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่เช่นเดียวกัน
“น้องโลหิตทมิฬนั้นยากยิ่งที่จะจัดการได้ รีบตามมาด้วยกันเร็วเข้า” วัตถุส่งสารได้รับข้อความที่ส่งมา เงาร่างเลือนรางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วถ่ายเสียงตอบกลับไปในทันที “กาเหว่าภูษา วางใจเถิด ข้าจะไป!”
พรึ่บ!
ร่างกายของเขากระจัดกระจายกลายเป็นสายลม ไล่ตามไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
………………………