Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 35 อาชาไร้หญ้าราตรีก็ไม่อ้วนพี
นัยน์ตาของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นหนาวเหน็บและชั่วร้าย แม้จะกำลังมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ แต่ก็สอดส่องรอบกายอย่างระมัดระวังไปด้วย จู่ๆ ก็มีจักรพรรดิเทพคนหนึ่งโผล่มาอย่างนั้นหรือ หรือว่าในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่จ้าวเทพเมฆาเขียวพกติดตัวจะมีจักรพรรดิเทพแอบซ่อนอยู่แล้ว
“เอ๊ะ สายตาของจ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้นี่มันอะไรกัน” เมื่อจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาปัดป่ายกรงเล็บ หมายจะตะปบชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าให้กลายเป็นผุยผงไปนั้น ก็พบว่า ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ที่เดิมทีควรจะเกรงกลัวนั้น กลับยืนอยู่เหนือผิวน้ำอย่างสงบ สายตาฉายแววสงสาร
สายตาที่น่าสงสาร มองตนอย่างนั้นหรือ
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามิอาจเข้าใจได้
“ตู้ม”
จากนั้นจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็สัมผัสได้ว่ารอบด้านทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กลายเป็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ภายในโลกใบนั้นมีดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ซ้ำยังมีบางคนที่เขาคุ้นเคยดีมากตลอดคืนวันอันยาวนานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา โลกใบนี้ฉุดรั้งวิญญาณของเขาด้วยแรงดึงดูดอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้เขาตกเข้ามา
ในฐานะผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ แม้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาจะมิอาจต้านทานได้ แต่ในใจกลับเข้าใจว่า หากปล่อยให้ถูกฉุดรั้งเข้าไปในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ก็คงต้องจบเห่
“ไม่…” เขาตื่นตระหนก จิตใจไม่สงบ เขาจะต้านทาน!
แต่เขาก็ต้านทานไม่ได้
ในโลกลวงใบนี้ ฟ้าดินมีแววอาฆาตครั้งใหญ่ร่อนลงมา พละกำลังอันไร้รูปร่างพุ่งตรงเข้าสู่วิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง วิญญาณของเขาถูกเชือดเฉือนเสียจนแหลกสลายเป็นผุยผงโดยไร้เรี่ยวแรงต้านทาน
ชั่วขณะที่สิ้นใจนั่นเอง จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานึกถึงสายตาของสายตาสงสารของจ้าวเทพเมฆาเขียวขึ้นมา
“จนตาย ก็ยังไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเป็นใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาซึ่งเดิมมีท่าทีสูงส่งเทียมฟ้าตรงหน้า กลิ่นอายดับวูบไปในชั่วพริบตา เหลือเพียงกายหยาบที่ทิ้งกลิ่นอายเอาไว้
ไม่ใช่แค่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาเท่านั้น
แม้แต่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เดิมทียังเตรียมพร้อมอยู่ ขณะเดียวกันก็ยิ้มเย็นพลางมองดูภาพที่ชายหนุ่มชุดดำนาม ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ถูกสังหาร แต่ว่า…โลกลวงที่น่าหวาดหวั่นแบบเดียวกันได้เข้าปกคลุมเขา
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดการกับจักรพรรดิเทพสองคนพร้อมกันในชั่วพริบตาเดียว
แม้แผนการเดิมจะเพียงแค่สังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ แต่ ‘จักรพรรดิเทพเฟิงเซียว’ ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองเจียงหยวน และเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงย่อมต้อง ‘ถือโอกาส’ สังหารไปด้วย! อันที่จริงหากจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวเกลียดความชั่วร้ายดุจศัตรูคู่แค้น ไม่ชอบเรื่องการเข่นฆ่าสังหารพรรค์นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาจจะไม่ถือโอกาสสังหารไปด้วย แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็คงไม่กล้าเรียกหาเขามาช่วยหรอก!
บัดนี้ ทั้งสองคนนี้ล้วนตายตกไปด้วยน้ำมือของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่เหนือผิวน้ำ เขาโบกมือคราหนึ่งก็เก็บซากของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวรวมทั้งสมบัติล้ำค่าที่ทิ้งเอาไว้ลงไป
“เมืองเจียงหยวนเป็นถึงหนึ่งในเมืองใหญ่ระดับยอดสุดของโลกเทพ เมืองใหญ่เช่นนี้ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน มีการรบราฆ่าฟันมากมายเกิดขึ้นทุกวัน การประมือกันลับๆ ครั้งนี้ คาดว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ล่วงรู้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ โลกใบนี้แตกต่างจากดินแดนจิตโลกา โลกใบนี้มิอาจสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาเพื่อสอดแนมได้ มิอาจสอดแนมจากระยะทางอันไกลโพ้นได้…
แม้แต่ขอบเขตบริเวณก็มีจำกัด!
ดังนั้นหากจะชมดู ก็ต้องเข้าไปค่อนข้างใกล้จึงจะสามารถชมดูได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า เรื่องที่ตนสังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียว ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
“ต่อให้เปิดเผยไปก็ไม่เป็นไร ตัวตนจ้าวเทพเมฆาเขียวนี้ ข้าปลอมแปลงมันขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ เขาโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศของราตรีอันมืดมิดมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่สะดุดตาอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็หายวับไปเสียแล้ว
******
พี่ใหญ่ของพี่น้องโลหิตทมิฬ กำลังหนีไปทางหอจิตฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด
“เจ้าสาม ข่มพิษเงาโลหิตเอาไว้ ข่มเอาไว้นะ” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬร้อนใจเป็นอันมาก ร่างแปรร่างหนึ่งของเขากำลังดูแลน้องสามอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ “หอจิตฟ้าเชี่ยวชาญด้านข้อมูลเป็นที่สุด จะต้องมีวิธีช่วยเจ้าขับพิษออกไปได้อย่างแน่นอน”
“เอ๊ะ”
พี่ใหญ่โลหิตทมิฬซึ่งกำลังเร่งเหินทะยานไปสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตราคำสาปวิญญาณสลายไปแล้วหรือ ตอนนั้นพวกเราได้ลงตราคำสาปวิญญาณเอาไว้บนร่างของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา ซึ่งตราประทับนี้ได้ประทับแน่นอยู่บนวิญญาณของเขา แทบจะไม่สามารถกำจัดออกไปได้เลย”
ตราคำสาปวิญญาณเองนั้น มิได้ทำให้บาดเจ็บอะไร เป็นเพียงตราประทับอย่างหนึ่งเท่านั้น
“หากวิญญาณไม่สลาย ตราประทับก็จะคงอยู่ตลอดกาล”
“ตอนนี้ตราคำสาปได้สลายไปแล้ว…หรือว่าวิญญาณของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาได้สลายไปแล้ว เขาตายไปแล้ว” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เมื่อครู่นี้เอง จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวยังร่วมมือกันทำให้พวกเขาพี่น้องโลหิตทมิฬเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงอยู่เลย บัดนี้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาได้ฝึก ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ อันแข็งแกร่งขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวกลับสิ้นใจเสียแล้วหรือนี่
“ช่วยเจ้าสามขับพิษเสียก่อน รอให้พิษเงาโลหิตภายในกายของเจ้าสามถูกข่มไว้จนสงบแล้วค่อยตรวจสอบดู ให้ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดรอยตรวจสอบดูสักรอบว่าจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นสิ้นใจไปแล้จริงหรือไม่” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬยังคงไม่ยอมเชื่อ
……
ณ เมืองอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองเจียงหยวนไปไกลลิบลับ
ตัวเมืองแห่งนี้ทัดเทียมกับเมืองจวิ้นซาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านจะสนใจชื่อของเมืองนี้ เขาเพียงแค่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมาครั้งหนึ่งเท่านั้น ก็บังเอิญมาอยู่ในตัวเมืองแห่งนี้พอดี ทั้งยังบังเอิญอยู่ในห้องเงียบที่ปิดผนึกของจวนแห่งหนึ่งอีกด้วย ภายในห้องเงียบที่ปิดผนึกนี้ยังมีสตรีนางหนึ่งกำลังบำเพ็ญอยู่ด้วย เมื่อสตรีนางนี้มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏขึ้นจากรอยแยกสีดำก็ตกใจใหญ่
“บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงลบความทรงจำช่วงที่อีกฝ่ายพบตนเองออกไปผ่านวิถีเขตลวงโลกเทียม
จากนั้นเขาก็จากจวนแห่งนี้ไปอย่างเงียบเชียบ
เขาตามหาโรงสุราแห่งหนึ่งซึ่งคึกคักอย่างยิ่งริมถนนสายหนึ่งภายในตัวเมืองแห่งนี้
“สามารถคึกคักถึงเพียงนี้ได้ แขกเหรื่อมากมายถึงเพียงนี้ อาหารและสุราชั้นยอดจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาลงแล้วเดินเข้าไปภายในโรงสุรา แล้วหาที่ว่างที่หนึ่งก่อนจะนั่งลง เขากำชับสาวใช้คนหนึ่งของโรงสุราว่า “นำอาหารรสเลิศที่มีชื่อเสียงที่สุดเก้าอย่างของพวกเจ้าและสุราชั้นเลิศที่พวกเจ้าเชี่ยวชาญที่สุดมาสองไห”
“เจ้าค่ะๆ”
สาวใช้รีบไปตระเตรียมสุราอาหารอย่างรวดเร็ว
ภายในโรงสุราแห่งนี้ ชาวโลกเทพส่วนใหญ่มีพลังระดับแม่ทัพเทพ และมีบางคนที่นับได้เพียงว่าเป็น ‘ระดับเทพกำเนิด’ เท่านั้น ระดับเทพกำเนิด…หมายถึง ‘เทพโดยกำเนิด’ เป็นระดับขั้นที่มีพลังอ่อนแอที่สุดในโลกเทพ ทารกที่เพิ่งเกิดมาในโลกเทพล้วนนับได้ว่าเป็นระดับเทพกำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาเติบโตขึ้นและฝึกฝน มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสำเร็จเป็นระดับแม่ทัพเทพได้
เมื่อสำเร็จเป็นระดับแม่ทัพเทพ จึงมีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งเป็นทหารรักษาการณ์และอื่นๆ ได้
“อื้ม พอไหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดี เขากินอาหารและสุราที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ขณะเดียวกันก็ใช้สติรับรู้แทรกเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ พลิกดูสิ่งที่ตนได้จากการชนะการต่อสู้!
เขาพลิกดูสมบัติล้ำค่าที่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาทิ้งเอาไว้ก่อน แล้วพบคัมภีร์สามเล่มนั้นเข้าอย่างรวดเร็ว
“ได้คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศมาอยู่ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ แล้วตรวจดูวัตถุอื่นๆ ต่อไป
“สหายเอ๋ย จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว จักรพรรดิเทพที่รู้กันไปทั่วว่าถูกเขาสังหารนั้นมีถึงสองคนด้วยกัน ส่วนที่มิได้รู้กันไปทั่วก็เกรงว่าคงจะมีกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หากจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาลอบคิดบัญชีกับจักรพรรดิเทพคนใดคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงจะไม่เปิดเผยออกไป เนื่องจากเขายิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเท่าไหร่ ผู้แกร่งกล้าที่จับตามองเขาก็คงยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
“เอ๊ะ”
ขณะที่ตรวจสอบซากของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั่นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ในหัวใจของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา มี ‘ไข่มุกทองคำดำ’ นั้นอยู่
“ไข่มุกทองคำดำหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ไข่มุกทองคำดำเม็ดนี้ ก็เป็นของชิ้นหนึ่งในงานชุมนุมประมูลสมบัติก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดราคาสูงถึงหยกแก้วคละถิ่นสามร้อยเก้าสิบก้อนเลยทีเดียว
“จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาซื้อมาหรือนี่ เขาวางไข่มุกทองคำดำเอาไว้ในหัวใจ มีวิธีใช้งานพิเศษอะไรหรือ” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา เขาคว้าจอกสุราแล้วดื่มลงไปคำหนึ่ง ช่างมันเถิด สำหรับเขาแล้วไข่มุกทองคำดำก็แค่สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วเท่านั้นเอง!
เขาตรวจดูสมบัติล้ำค่ามากมายทีละชิ้นๆ
ไม่ใช่แค่ของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาเท่านั้น แต่ยังมีของจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวด้วย เขาตรวจดูทั้งหมดรอบหนึ่ง
“กำไรมหาศาลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน
สังหารจักรพรรดิเทพระดับนี้ ได้กำไรรวดเร็วจริงๆ!
ไม่เสียทีที่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งสมบัติล้ำค่าของเขาและคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ เมื่อรวมๆ กันแล้ว มีมูลค่ากว่าหนึ่งพันสองร้อยหยกแก้วคละถิ่น ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง
แม้จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวจะมีวิธีการที่โหดร้ายอำมหิต แต่เนื่องจากไม่มีวัตถุสำหรับลอบสังหารอย่าง ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ เมื่อรวมกันแล้ว สมบัติล้ำค่าของเขาจึงมีมูลค่าไม่ถึงห้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น!
“ได้กำไรง่ายกว่าที่ข้าไปล่าสัตว์ถิ่นร้างด้วยความยากลำบากตั้งมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางทำเสียงฮึดฮัด การล่าสัตว์ถิ่นร้างนั้น สังหารได้ง่าย แต่จะหาให้พบก็ยากยิ่งนัก ตลอดหนึ่งพันสองร้อยปีนั้นของเขาก็ไม่เคยได้หยุดหย่อนเลย ขนาดที่ว่าเขามีศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา ไปตามหาแห่งแล้วแห่งเล่าด้วยความยากลำบาก ก็เพิ่งจะพบเพียงร้อยกว่าตัวเท่านั้น
เฉลี่ยสิบปีจึงจะพบสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพสักตัวหนึ่ง
ตามหาตลอดเวลา สิบปีจึงจะพบสักตัว ความรู้สึกในการหานั้นช่างรับไม่ได้เอาเสียเลย
แต่การสังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวนั้นสบายเพียงใด เพียงพริบตาเดียว ก็จัดการได้แล้ว! สมบัติล้ำค่าที่ได้มาก็ยังมากกว่าตั้งมากโข!
อาชาไร้หญ้าราตรีก็ไม่อ้วน!
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรก็ขีดเส้นจำกัดเอาไว้แล้ว อย่างจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา หากมิใช่คนที่ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพยายามแลกเปลี่ยนตามปกติ คงไม่มาสังหารหรอก!
ส่วนการสังหารมารร้ายภายในโลกเทพตามอำเภอใจน่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า ภายในโลกเทพที่มีบรรพเทวะคละถิ่นอยู่สามท่านนั้น ตนถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า! นอกจากนี้สำหรับตนแล้ว สมบัติล้ำค่าที่ได้มาในครั้งนี้ก็มากพอแล้ว
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงสุรา เขาดื่มสุราเพียงลำพังพลางครุ่นคิด “ครั้งนี้ได้สมบัติล้ำค่ามามากมายถึงเพียงนี้ ก็สามารถ ‘ใช้ของแลกของ’ ได้แล้ว นำสมบัติล้ำค่าไปที่ขุมอำนาจใหญ่แล้วแลกเปลี่ยนเอาคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญมา”
คัมภีร์ผู้เหินทะยานทางด้านวิถีอากาศระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ทั้งโลกเทพมีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น! ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกเด็ดขาด
สมบัติล้ำค่าน้อยนิดของตนนี้ ก็ไม่มีทางทำให้ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่งละเว้นให้ได้
“มีระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอยู่สองเล่มซึ่งล้วนแต่เผยแพร่ออกไปภายนอก ข้าอาจจะสามารถใช้ของแลกของได้ก็เป็นได้ แลกได้เล่มหนึ่ง ก็ถือว่าโชคดี สามารถแลกได้สองเล่มน่ะหรือ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอย
…………………………………