Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 36 สังหารกลับ
“ใช้ของแลกของ มีปัญหาอยู่สองอย่าง!”
“คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เป็นมรดกตกทอดที่สำคัญที่สุดของขุมอำนาจใหญ่ทางฝ่ายหนึ่ง ไม่มีทางเผยแพร่ออกไปภายนอกโดยง่าย! ปัญหาแรกก็คือ จะต้องทุ่มเทมากพอจะให้พวกเขายอมยกเว้นให้ได้ เมื่อกำจัดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียว สมบัติล้ำค่าของข้าก็มีมากพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ สมบัติล้ำค่ามูลค่าเทียบเท่าหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งพันกว่าก้อน น่าจะพอซื้อคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางได้สักสองเล่มแล้ว
“ปัญหาที่สองก็คือ เมื่อข้าคิดจะไปแลกเปลี่ยน แม้แต่คนโง่ก็คงจะเดาได้ว่าข้ามีสมบัติล้ำค่ามากพอจะไปแลก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ “เรื่องการฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้”
หากตนเป็นจักรพรรดิเทพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ลงมือง่ายๆ
สังหารจ้าวเทพคนหนึ่งเพื่อชิงทรัพย์อย่างนั้นหรือ
ยั่วยวนใจมากทีเดียว!
“เฮอะ ข้าใช้ของแลกของ ให้ได้มาอยู่ในมือโดยเร็วที่สุด เมื่อได้มาแล้วก็รีบจากไป หากมีผู้แกร่งกล้าจับตามองข้าจริงๆ เช่นนั้นก็คงทำเพียงนับว่าเขาโชคไม่ดีแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ในโลกเทพนี้มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นจำนวนมากที่ตนรับมือไม่ไหวจริงๆ แต่สิ่งมีชีวิตระดับนั้น ก็คงรังเกียจที่จะมาช่วงชิงสมบัติล้ำค่าน้อยนิดเท่านี้ของตนไป
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกินดื่มอยู่ในโรงสุราข้างทางแห่งนี้ และตัดสินใจได้ในที่สุด
******
เช้าตรู่วันต่อมา
บุรุษในอาภรณ์สีนวลดุจจันทราแบกกระบี่เทพเล่มหนึ่งเอาไว้บนหลัง มาถึงหน้าประตู ‘วังเมฆจรัส’ วังขนาดมหึมาซึ่งลอยล่องอยู่กลางฟากฟ้าของ ‘เมืองเมฆจรัส’ หนึ่งในเมืองใหญ่ระดับยอดสุดของโลกเทพ
คัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางทางด้านวิถีอากาศนั้นมีทั้งหมดสองชนิดด้วยกัน แม้จะมีการเผยแพร่สู่ภายนอกทั้งหมด แต่ผู้ที่สามารถเก็บสะสมต้นฉบับเอาไว้ได้ก็ล้วนแต่เป็นขุมอำนาจใหญ่ของโลกเทพทั้งสิ้น! ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บรวบรวมรายงานเกี่ยวกับคัมภีร์ จึงย่อมรู้ดีว่าคัมภีร์เหล่านี้อยู่แห่งหนใด เมื่อผ่านการคัดเลือก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำหนดจุดหมายแรกว่าเป็นวังเมฆจรัส
วังเมฆจรัสแห่งเมืองเมฆจรัสมีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกเทพ แม้พลังของประมุขวังเมฆจรัสจะเป็นเพียงจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น แต่ว่ากันว่าประมุขวังเมฆจรัสนั้นเป็นถึงหนึ่งในฮูหยินของบรรพเทวะคละถิ่นผู้อยู่เบื้องหลัง ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์! เมื่อมีสถานะเช่นนี้ สถานะของประมุขวังเมฆจรัสก็ย่อมไม่ธรรมดา
“ได้ยินมาว่า ประมุขวังเมฆจรัสผู้นี้ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นที่สุด ในวังของนาง ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือสังหารข้าเพื่อชิงทรัพย์หรอก ส่วนเมื่อออกจากวังไปแล้วน่ะหรือ ข้าสามารถหนีจากไปได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปถึงหน้าประตูวังเมฆจรัส สายตาของทหารรักษาการณ์หญิงตรงหน้าประคูวังเมฆจรัสกลุ่มนั้นหยุดลงที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงทันทีอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยจ้าวเทพชิงเฟิง ผู้เหินทะยานซึ่งบำเพ็ญทางด้านวิถีอากาศบนเส้นทางการบำเพ็ญอันแสนยากลำบาก ตั้งใจมาที่วังเมฆจรัสโดยเฉพาะ ข้ายินดีอุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าสามดอก ขอเพียงได้ยลคัมภีร์ฟ้าดินซึ่งเป็นคัมภีร์ของผู้เหินทะยานสักครั้ง”
“อุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าหรือ” ทหารรักษาการณ์หญิงเหล่านั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “จ้าวเทพท่านนี้ โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้แหละ”
แม้อันที่จริงแล้วจะเป็นการใช้ของแลกของ แต่ก็มิอาจพูดออกไปตรงๆ เช่นนี้ได้
ผู้แกร่งกล้าก็ต้องการหน้าเช่นเดียวกัน
“ท่านก็คือจ้าวเทพชิงเฟิงหรือ” ชั่วจอกชาให้หลัง ยายเฒ่าคนหนึ่งก็เดินออกมา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นวังเมฆจรัสซึ่งมีชื่อเสียงเกรียงไกรในโลกเทพ แม้ประมุขวังจะมีพลังอ่อนแออยู่บ้าง แต่ยอดฝีมือกลับมีไม่น้อย ภายในวังแห่งนี้มีระดับจักรพรรดิเทพกว่าร้อยคนเลยทีเดียว!
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ วางตนให้เป็นผู้เหินทะยานผู้นอบน้อมคนหนึ่ง
“ตามข้ามาเถิด” ยายเฒ่าหมุนกายเดินเข้าไปข้างใน
ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีอยู่ลึกๆ ในใจ เขารีบตามเข้าไปในวัง
“ภายในวังเมฆจรัสมิอาจเดินสะเปะสะปะได้ จำเอาไว้ เดินตามข้ามาให้ตลอดล่ะ” ยายเฒ่ากวาดตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง
“ขอรับๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเชื่อฟัง
“ได้ยินมาว่าเจ้าจะอุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าให้หรือ เพราะอยากจะดูคัมภีร์ผู้เหินทะยานอย่างคัมภีร์ฟ้าดินครั้งเดียวน่ะหรือ” ยายเฒ่าเอ่ยขึ้นอีก
“ข้าและผู้เหินทะยานคนอื่นๆไม่มีสายเลือดอย่างบรรพเทวะคละถิ่น บำเพ็ญอย่างยากลำบาก แม้ข้าจะอยากได้คัมภีร์ของบรรพชนมาโดยตลอด แต่ก็ลำบากที่ไม่มีสมบัติล้ำค่า พลังก็อ่อนแออยู่เล็กน้อย เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้เมื่อบุกฝ่าอยู่ท่ามกลางความรกร้างได้พบดอกจิ้นหลานเข้าสามดอก จึงกล้ามาที่นี่เพื่อวิงวอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ยายเฒ่าฟังแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “แม้ผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าจะมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่งกันทั้งนั้น แต่เมื่อไม่มีสายเลือดบรรพเทวะ ผู้ที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เจ้าสามารถมอบดอกจิ้นหลานให้ได้สามดอก ก็นับว่ามีความจริงใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ท่านรองประมุขวังของเราทราบเรื่องนี้แล้วก็ตอบตกลง หากได้คัมภีร์มา ความหวังที่เจ้าจะสำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพก็อาจจะเพิ่มขึ้นหลายส่วนกระมัง”
“ขอบคุณท่านรองประมุขวังที่เมตตา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
รองประมุขวังทั้งสามของวังเมฆจรัสล้วนแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น ได้ยินมาว่าเป็นคนที่บรรพเทวะคละถิ่นผู้นั้นจัดมาเพื่ออารักขาประมุขวังเมฆจรัส ตามปกติแล้ว ธุระต่างๆล้วนเป็นบรรดารองประมุขวังที่ตัดสินใจ
ทั้งสองเดินไปพลาง สนทนากันไปพลางด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้าหอแห่งหนึ่ง
“เทวทูตอิ่ง รองประมุขวังกำชัยมาว่า นี่คือคัมภีร์เจ้าค่ะ” มีทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเดินออกมาจากภายในหอทันที แล้วส่งคัมภีร์เล่มหนึ่งให้ยายเฒ่า
“เอ๊ะ” หลังจากยายเฒ่ารับคัมภีร์มาแล้วก็หันกลับมา แต่กลับมิได้มอบให้เขาทันที หากแต่มองมาที่ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจทันที จากนั้นเขาก็พลิกมือหยิบกล่องศิลาใบยาวกล่องหนึ่งออกมาแล้วเปิดออก ภายในก็คือดอกไม้ซึ่งเปล่งแสงสีฟ้ารำไรสามดอก จากนั้นเขาก็ปิดฝากล่องแล้วส่งให้ยายเฒ่าผู้นี้ “นี่ก็คือดอกจิ้นหลาน”
ยายเฒ่าจึงรับกล่องไป แล้วโยนคัมภีร์มาให้ตงป๋อเสวี่ยอิง “รีบอ่านอยู่ตรงนี้ให้เร็วๆ เถิด อ่านจบแล้วก็คืนมาให้ข้า”
“เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูทันที สติรับรู้แทรกซึมเข้าไป ด้วยวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขา ไม่นานนักก็จดจำเนื้อหาของคัมภีร์เล่มนี้ได้หมดแล้ว
เพียงอ่านครั้งแรก ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ
ไม่เสียทีที่เป็นคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง
ผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ขึ้นมามีผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศเหนือกว่าตนอย่างแท้จริง คัมภีร์ฟ้าดินเป็นคัมภีร์ทางด้านวิถีอากาศที่น่าพิศวงมาก ใจความสำคัญก็คือจะฝึกตนให้เป็น ‘ฟ้าดินของโลก’ กายหยาบก็คือโลกใบหนึ่ง ทุกกระบวนท่าจึงย่อมมีพละกำลังหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านจบแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า…ตามเส้นทางของเคล็ดวิชานี้ จุดสุดขั้วตามหลักการ กายหยาบนั้นสามารถเป็นดั่ง ‘โลกกำเนิด’ ใบหนึ่งได้ เช่นนั้นพลังก็ย่อมแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว
แน่นอนว่าบัดนี้เคล็ดวิชานี้ มีขีดจำกัดพลังอยู่ที่จักรพรรดิเทพช่วงกลาง ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว! อย่างเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นที่ตนคิดค้นขึ้นในดินแดนจิตโลกา ท้ายที่สุดก็มีพลังแค่ระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ เท่านั้น ทั้งยังไม่เสถียรอีกด้วย! แน่นอนว่าระยะเวลาในการบำเพ็ญของตนยังสั้นนัก หากนานเข้า เคล็ดวิชาของตนจะต้องเหนือกว่าของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
เพียงแต่โลกใบนี้ทำให้การรับรู้มากมายของตนต้องถูกต้านทาน
การศึกษาคัมภีร์เหล่านี้ สามารถทำให้ตนเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“ได้มาอยู่ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจ
……
หลังจากอ่านคัมภีร์จบแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อำลาจากวังเมฆจรัสมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่อยู่แล้วรึ”
เงาร่างสายหนึ่งทะยานออกจากวังเมฆจรัส เป็นสตรีอาภรณ์สีเทานางหนึ่ง นางกวาดตามองรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา “หนีได้เร็วจริงๆ”
อุทิศดอกจิ้นหลานให้ถึงสามดอก เพียงเพื่อได้เห็นคัมภีร์ครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อบุคคลระดับสูงของวังเมฆจรัสได้ทราบแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีคนที่รู้สึก ‘ใจสั่น’ เพราะถึงอย่างไรการสังหารจ้าวเทพคนหนึ่งก็ง่ายดายยิ่งนัก! พวกนางมิกล้าทำตามอำเภอใจเมื่ออยู่ในวังเมฆจรัส แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปก็มีบางคนที่ตามออกมาทันที น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจากไปอย่างเงียบๆ ก่อนแล้ว
******
ครั้งนี้ วังเมฆจรัสนั้นสบายที่สุด
จากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปลอมแปลงตัวตนอีกครั้ง จำแลงกายเป็นมือสังหารไปยัง ‘เมืองฝ่าหมาน’ อีกแห่งหนึ่ง ไหนเลยจะไปคิดว่าเพิ่งจะเข้ามายังจวนท่านเจ้าเมือง ภายในจวนท่านเจ้าเมืองก็มีจักรพรรดิเทพลงมือลอบสังหารตนเสียแล้ว! ช่วยไม่ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียง ‘ถือโอกาส’ สังหารอีกฝ่ายเท่านั้น ขณะเดียวกับที่สังหารอีกฝ่าย ก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาจากมาทันที!
ต่อมา เขาทำได้เพียงแปลงกายไปยัง ‘เมืองหลินเฟิง’ อีกแม้ครั้งนี้จะถูกลอบสังหารเช่นกัน แต่นั่นก็เกิดขึ้นเมื่อเขาศึกษาคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะออกจากจวนท่านเจ้าเมือง ตนยังมิทันได้หาพื้นที่ลับสักแห่งเพื่อสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาเลย ศัตรูก็ลงมือเสียแล้ว! ครั้งนี้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นสองคนที่ร่วมมือกันจะมาสังหารเขา
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียง ‘ถือโอกาส’ จัดการไปเท่านั้น จากนั้นก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาหนีไปทันที
……
ภายในห้องลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวอยู่ในเมืองจวิ้นซาน บุรุษอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นที่นี่ ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่แปลงกายไปนั่นเอง
“ดิ้นรนไปยกหนึ่ง ก็มีแต่ครั้งที่ไปยังวังเมฆจรัสเท่านั้นที่นับว่าดีหน่อย อีกสองครั้งที่เหลือล้วนต้องลงมือทั้งสิ้น เมื่อนับรวมครั้งที่ไปยังเมืองเจียงหยวนด้วยแล้ว ข้าได้สังหารยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นไปทั้งหมดห้าคนตามลำดับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เพราะถึงอย่างไร แม้ตนจะไม่รู้ข้อมูลของสามคนหลัง แต่ก็เป็นผู้ที่มาสังหารตนเพื่อชิงทรัพย์เอง ก็ย่อมต้องสังหารกลับโดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย
………………………………