Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 50 จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูข้อมูลที่บันทึกอยู่บนม้วนสาส์น หอจิตฟ้าสามารถสืบหามาได้ว่าผู้ที่ครอบครองใบไม้โลกเฉามีอยู่สิบห้าคน สิบห้าคนนี้ อ้างอิงจากบันทึกของหอจิตฟ้า ผู้ที่บาปกรรมหนาหนักที่สุดมีชื่อว่า ‘จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง’
จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง เป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ซึ่งเป็นศิษย์รักของ ‘ประมุขวังทะเลปีศาจ’ ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ ประมุขวังทะเลปีศาจนั้นนับได้ว่าเป็นพญามารระดับสุดยอด ส่วนจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งนั้นเป็นลูกศิษย์หนึ่งในสามคนของเขา มีอุปนิสัยชั่วร้ายเช่นเดียวกัน สังหารหมู่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีอาจารย์ที่แกร่งกล้า จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็นับได้ว่าไม่เลวในบรรดาจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้ว จัดอยู่ในลำดับรั้งท้ายในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ
“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง อ้างอิงจากบันทึกของหอจิตฟ้า ก็เป็นพญามารจริงๆ แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ไปดูด้วยตนเองเถิด ดูให้เห็นว่าที่แท้แล้วมีเหตุปัจจัยแค้นมากน้อยเท่าใดที่เกี่ยวพันกันอยู่”
ในใจเกิดความอาฆาตขึ้น
ย่อมต้องเกิดเหตุปัจจัยขึ้นอยู่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว แม้กระทั่งท่ามกลางเหตุปัจจัยมากมายของตน ก็ยังหาจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งพบได้อย่างง่ายดาย
“หืม เขาอยู่ที่เมืองเล็กอันห่างไกลแห่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองหลิงเฟิงกระมัง”
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงไปที่นั่น
*******
เมืองหลิงเฟิง
เป็นเมืองเล็กที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่ถึงอย่างไรก็มีพื้นที่หลายแสนลี้ ประชากรโลกเทพมากมายเป็นที่สุด ขุมอำนาจขนาดเล็กต่างๆ ก็มีอยู่มากมายเป็นอย่างยิ่ง หอจิตฟ้าก็มีสาขาย่อยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“เป็นคุณหนูใหญ่”
“คุณหนูใหญ่ออกมาแล้ว”
บนถนนแห่งหนึ่ง ผู้คนสัญจรไปมามากมาย พวกเขาต่างก็มองไปทางคนหลายคนที่อยู่ห่างออกไป
หญิงสาววัยเยาว์คู่หนึ่ง ด้านหลังมีองครักษ์สองคนติดตามอยู่ หญิงสาววัยเยาว์คู่นี้… คนหนึ่งเป็นเพียงแค่สาวใช้ ส่วนอีกคนหนึ่งจึงจะเป็น ‘หลิงเฟิงอวี๋หรง’ คุณหนูใหญ่ของเมืองหลิงเฟิงแห่งนี้ เจ้าเมืองหลิงเฟิงมีบุตรชายบุตรสาวทั้งสิ้นสี่คน บุตรชายสามคน มีบุตรสาวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น บุตรสาวผู้นี้เฉลียวฉลาดเป็นที่สุด พรสวรรค์ก็สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ก็เป็นระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดแล้ว
เพราะบำเพ็ญสายโลหิตเป็นเหตุ เมื่อพลังยุทธ์ยิ่งสูงส่ง ท่าทีของหลิงเฟิงอวี๋หรงก็ยิ่งดูราวกับมิใช่มนุษย์ เมื่อมองเห็นนางก็ราวกับมองเห็นสรรพสิ่งที่งดงามที่สุดในระหว่างฟ้าดิน
ทุกครั้งที่ออกมาล้วนดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายเสมอ
เจ้าเมืองหลิงเฟิงทราบถึงแรงดึงดูดของบุตรสาวของตนดี จึงได้มีคำสั่งเอาไว้นานแล้วว่าห้ามมิให้บุตรสาวของตนไปยังเมืองอื่น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
“คุณหนู สายตาของคนผู้นั้นช่างสามหาวยิ่งนัก ข้าจะไปสั่งสอนมันสักหน่อยนะเจ้าคะ” สาวใช้อาภรณ์เขียวมองเห็นคนผู้หนึ่งที่ริมหน้าต่างบนหอสุราไกลออกไปแล้วก็อดที่จะขบกรามเอ่ยขึ้นมิได้
“อย่าใจร้อนนักเลย!” หลิงเฟิงอวี๋หรงตกใจอยู่บ้าง สายตาสามหาวอย่างนั้นหรือ เหตุใดตนเองจึงไม่รู้สึกเลยเล่า ด้วย ‘จิตเขตน้ำแข็ง’ ของตนแล้วควรจะสามารถสัมผัสถึงสายตาที่มุ่งร้ายและละโมบได้จึงจะถูกต้อง แล้วนางก็มองกวาดไปทั่วทิศโดยละเอียดรอบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ค้นพบว่าตรงตำแหน่งริมหน้าต่างที่ชั้นสองของหอสุราแห่งหนึ่งห่างออกไปไม่ไกลทางด้านหน้าเยื้องไปทางซ้าย บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีที่ถือจอกสุราเอาไว้คนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น กำลังมองนางอย่างตื่นเต้นและละโมบ ราวกับมองเห็นเหยื่อที่สมบูรณ์แบบอย่างไรอย่างนั้น
แววตานี้ทำให้หลิงเฟิงอวี๋หรงรู้สึกไม่สบาย
ทว่าเหตุใด ‘จิตเขตน้ำแข็ง’ ของตนจึงไม่สามารถสัมผัสได้เล่า
“คุณหนูเจ้าคะ เขาทำเกินไปแล้ว จะปล่อยเขาไปง่ายๆ มิได้นะเจ้าคะ” สาวใช้อาภรณ์เขียวก็ร้อนรนขึ้นมา องครักษ์สองคนที่อยู่ด้านข้างก็ค้นพบแล้ว จึงอดที่จะสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้
“ฮ่าฮ่า ท่านนี้ก็คือคุณหนูใหญ่หลิงเฟิงอวี๋หรงอย่างนั้นหรือ” บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีตรงริมหน้าต่างหอสุราพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ขึ้นมาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสิ” พูดแล้วมือซ้ายของเขาก็ยื่นออกมา มือซ้ายพุ่งพรวดออกไปหลายร้อยเมตรผ่านระยะทางระหว่างคนทั้งสองในพริบตา หลิงเฟิงอวี๋หรงสีหน้าแปรเปลี่ยน แล้วหมายจะพาตัวสาวใช้ถอยหนีไป แต่พลังอันไร้รูปร่างก็ห่อหุ้มนางแล้วพันธนาการนางเอาไว้อย่างง่ายดาย
มือใหญ่นั้นคว้าเอวของหลิงเฟิงอวี๋หรงเอาไว้แล้วจับขึ้นไปบนหอสุราในทันใด
“คุณหนูใหญ่!”
“คุณหนูใหญ่!”
องครักษ์สองคนและสาวใช้อาภรณ์เขียวต่างก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นในใจก็หวาดหวั่นยิ่ง เพราะคุณหนูใหญ่หลิงเฟิงอวี๋หรงของพวกเขาเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด พลังยุทธ์ก็จัดเป็นสิบลำดับแรกในเมืองหลิงเฟิง สามารถจับตัวคุณหนูใหญ่ของพวกเขาได้ภายในกระบวนท่าเดียว ศัตรูจะต้องมีพลังยุทธ์เพียงใดกัน ระดับจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ
“รีบไปรายงานท่านเจ้าเมืองเร็วเข้า”
“เร็วเข้า”
พวกเขาต่างก็กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง สาวใช้อาภรณ์เขียวผู้นั้นอดที่จะพุ่งตัวไปยังหอสุราที่อยู่ห่างออกไปแห่งนั้นมิได้
“คุณหนูใหญ่ถูกจับตัวไปแล้ว”
“ถูกคนที่อยู่บนหอสุราผู้นั้นจับตัวไปแล้ว”
บรรดาผู้สัญจรไปมาบนถนนมากมายได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็พากันตกตะลึง หลิงเฟิงอวี๋หรงเป็นผู้ที่โดดเด่นจับตาที่สุดของพวกเขาเมืองหลิงเฟิง ยิ่งพลังยุทธ์ของนางแข็งแกร่งขึ้น ท่าทีก็ยิ่งดูราวกับมิใช่มนุษย์ ประชากรโลกเทพทุกคนได้เห็นแล้วก็มีเพียงแค่ความยกย่องเทิดทูนเท่านั้น ไม่มีใครกล้าเกิดความคิดหยามหมิ่นเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้คุณหนูใหญ่ถึงกับถูกบังคับฉุดลากตัวไป ก็ย่อมทำให้ผู้คนมากมายต่างพากันโกรธแค้นหาใดเปรียบ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าผู้ที่สามารถชิงตัวคุณหนูใหญ่ไปได้อย่างง่ายดายนั้น ศัตรูจะต้องน่าหวาดหวั่นสักเพียงใด
ถึงแม้ว่าจะโกรธแค้นแต่ก็ไร้ซึ่งกำลัง
……
ชั้นสองของหอสุรา บรรดาแขกเหรื่อบริเวณรอบๆ ต่างก็พากันตะลึงงันในพฤติกรรมที่เขาชิงตัวคุณหนูใหญ่แห่งเมืองหลิงเฟิง มีส่วนน้อยอยู่เพียงแค่สองคนที่ไถลตัวลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีโอบตัวหลิงเฟิงอวี๋หรงเอาไว้ในอ้อมแขน ฝ่ามือหนึ่งวางเอาไว้บนขาของตน สายตาของเขากวาดมองบริเวณรอบๆ คราหนึ่ง ปัง…
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแผ่กวาดออกไป แขกเหรื่อทั้งหมดที่มีอยู่รวมทั้งผู้ดูแลหอสุราสูญสลายไปจนหมดสิ้นในพริบตา ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
“นี่” หลิงเฟิงอวี๋หรงตกใจจนสีหน้าซีดขาวไปเสียแล้ว
นางทราบดีว่าศัตรูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
แต่การสังหารผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจก็ยังทำให้หัวใจของนางบีบรัด
“ที่แท้แล้วเขาเป็นใครกันแน่ ข้าเองก็มีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ไม่น่าจะจับตัวข้ามาอย่างง่ายดายภายในกระบวนท่าเดียวได้อยู่ดี หรือว่าเขาจะมีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางกันเล่า” หลิงเฟิงอวี๋หรงอดที่จะเอ่ยคาดเดามิได้ พลังยุทธ์กล้าแกร่งอีกทั้งยังใจคอโหดเหี้ยม หลิงเฟิงอวี๋หรงรู้สึกกระวนกระวายหาใดเปรียบ แต่พลังยุทธ์ของนางในตอนนี้ถูกผนึกเอาไว้โดยสมบูรณ์ ถึงขนาดที่ไม่สามารถควบคุมวัตถุส่งสารได้เลยเสียด้วยซ้ำ
“อย่าได้กลัวไปเลย”
บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าสังหารพวกเขา แต่มิอาจตัดใจสังหารเจ้าได้ลงคอหรอก! เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าเสียดีๆ ก่อนที่ข้าจะเบื่อหน่าย ก็ย่อมไม่มีทางสังหารเจ้าอยู่แล้ว” พูดแล้วก็ดอมดมบนใบหน้าของหลิงเฟิงอวี๋หรง “อืม กลิ่นอายช่างชวนให้คนหลงใหลยิ่งนัก”
“ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็คงจะมิได้ไม่มีชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อยหรอกกระมัง” หลิงเฟิงอวี๋หรงถูกคนดอมดมแนบชิดใบหน้า ก็อดที่จะเอ่ยขึ้นมิได้
“แน่นอนว่าข้าต้องเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อยู่แล้ว มิฉะนั้นก็ต้องถูกคนจำได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างแน่นอน พวกเจ้าทั่วทั้งเมืองหลิงเฟิงก็ไม่พากันตกใจแย่เลยหรือ” บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีหัวเราะ มือใหญ่ทั้งคู่ลูบคลำหลิงเฟิงอวี๋หรง เสียงแคว่กเสียงหนึ่ง ก็ฉีกทึ้งเสื้อผ้าบางส่วนของหลิงเฟิงอวี๋หรง ทำให้หลิงเฟิงอวี๋หรงยิ่งคับแค้นใจมากขึ้นไปอีก แต่พลังยุทธ์ของนางถูกผนึกเอาไว้ ก็ย่อมไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว
“หยุดมือนะ!”
หลังจากเสียงตะโกน
เงาร่างสายแล้วสายเล่าเหินบินเข้ามาที่ชั้นสองของหอสุราอย่างต่อเนื่อง ผู้นำก็คือบุรุษร่างบึกบึนผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าเมืองหลิงเฟิง ที่ติดตามมาด้านหลังก็คือผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดคนอื่นๆ
บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเหล่านี้ได้รวมตัวกันขึ้นมาเป็นค่ายกลรบเรียบร้อยแล้ว
“ปล่อยตัวบุตรสาวข้าเสีย” เจ้าเมืองหลิงเฟิงตะคอกอย่างเดือดดาล เพียงแต่ว่าในใจของเขาก็ยังคงหวาดหวั่นเช่นเดิม
“ปล่อยตัวหรือ” บุรุษจมูกงุ้มราวนกอินทรีหัวเราะ ใบหน้าของเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง บนหน้าผากของเขามีเส้นขนสัตว์สีขาวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น บนใบหน้ามีแผ่นเกล็ดสีทองน้อยๆ ปรากฏขึ้นรางๆ
“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งหรือ” เจ้าเมืองหลิงเฟิงสีหน้าซีดขาว
จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งผู้นี้สังหารหมู่มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังชมชอบสาวงามเป็นที่สุด
ที่เขาสังหารหมู่มามากมายนั้นก็ล้วนเป็นเพราะสาวงามทั้งสิ้น!
“ในภายหน้าบุตรสาวเจ้าก็คือหนึ่งในบรรดาของสะสมของข้าแล้วล่ะ” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเอ่ยอย่างเรียบเฉย “อย่างน้อยพวกเจ้าสกุลหลิงเฟิงก็ยังมีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรก ถูกข้าล้างผลาญเสียให้สิ้น ทางที่สอง เจ้า เจ้าเมืองหลิงเฟิงฆ่าตัวตายเสีย แล้วยอมให้ข้าเลือกเฟ้นหญิงงามหนึ่งร้อยคนจากในตระกูลหลิงเฟิงของพวกเจ้า ข้ายังมีเมตตายอมปล่อยให้คนอื่นๆ ในตระกูลหลิงเฟิงของเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้นะ”
“จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง นี่คือเมืองหลิงเฟิงของข้า เจ้าอย่าได้รังแกผู้อื่นให้มันมากเกินไปนักเลย” เจ้าเมืองหลิงเฟิงเดือดดาล
สองทางเลือก
ทางหนึ่งคือล้างผลาญทั้งตระกูล
อีกทางคือให้เขาฆ่าตัวตาย แล้วยังต้องยอมให้เลือกหญิงสาวหนึ่งร้อยคน นี่ก็คือความอัปยศของสกุลหลิงเฟิง!
“รีบเลือกเร็วเข้าเถิด ให้เวลาเจ้าสักสิบอึดใจ พอถึงเวลาหากเจ้ายังไม่เลือก ข้าก็จะเลือกแทนเจ้าเอง ล้างผลาญเผ่าพันธุ์สกุลหลิงเฟิงของพวกเจ้าเสียให้สิ้น” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งอยู่ตรงนั้นแล้วยื่นจอกสุราส่งมาถึงริมฝีปากหลิงเฟิงอวี๋หรง “มา ดื่มสุราด้วยกันดีกว่า”
แต่หลิงเฟิงอวี๋หรงกลับส่ายหน้า
แต่พลังอันไร้รูปร่างก็ควบคุมนาง ทำให้นางมิอาจดิ้นรนได้ แล้วอ้าปากดื่มสุราลงไปโดยไม่รู้ตัว
“ในเงื้อมมือข้า เจ้าไม่มีทางฆ่าตัวตายได้ ไม่มีทางต้านทานได้ ฟังคำข้าอย่างเชื่อฟังเสียดีกว่า หลอกให้ข้าเบิกบานใจสักหน่อยน่า มิฉะนั้น เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่า… มีบางทีที่ความตายเป็นเรื่องที่แสนเบิกบานใจยิ่งนัก” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งหัวเราะ เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนี้ทำให้หลิงเฟิงอวี๋หรงหนาวเหน็บไปทั้งใจ นางสิ้นหวังเสียแล้ว ไม่เพียงแต่เพื่อชะตาชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังเพื่อชะตาชีวิตของทั้งสกุลหลิงเฟิงอีกด้วย
“สิบ เก้า แปด…” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งพูดอย่างผ่อนคลาย
เจ้าเมืองหลิงเฟิงกำลังตัวสั่นงันงก
บรรดายอดฝีมือระดับจ้าวเทพภายใต้บังคับบัญชาของเขาต่างก็ตระหนกตกใจและสิ้นหวัง ถึงขนาดที่แต่ละคนพากันถ่ายเสียงอย่างกระวนกระวาย แล้วก็มีวัยเยาว์บางคนที่มองคุณหนูใหญ่ มองคุณหนูใหญ่ถูกดูหมิ่น พวกเขาก็คับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง
“ห้า สี่ สาม…” จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งเสพสุขกับสีหน้าของผู้คนรอบๆ
เจ้าเมืองหลิงเฟิงคิดอยากจะต่อสู้จนตายกันไปข้าง
แต่บันทึกการต่อสู้ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าผลลัพธ์ของการต่อต้านก็คือถูกล้างผลาญทั้งเผ่าพันธุ์
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ใครจะมาช่วยเหลือข้าได้ ใครจะมาช่วยเหลือตระกูลของข้าได้” หลิงเฟิงอวี๋หรงสิ้นหวังเสียแล้ว
ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งด้านนอกก็เหยียบย่างอากาศเข้ามายังชั้นสองของหอสุรา
ผู้มาก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพคนหนึ่ง
“ใครกัน”
ทุกคนหันหน้าไปมอง
จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็ขมวดคิ้วมองไป เวลานี้ยังมีผู้ที่กล้าเข้ามาอีกหรือ มารนหาที่ตายหรืออย่างไร
บุรุษอาภรณ์ขาวที่สะพายกระบี่เทพผู้นี้เดิมทีมีกลิ่นอายอันแสนธรรมดา ซึ่งก็คือระดับจักรพรรดิเทพ เขากวาดสายตาคราหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากพูดว่า “จักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง เจ้าฉุดคร่าหญิงสาวอีกแล้วหรือ เหตุปัจจัยแค้นรัดตัวมากมายถึงเพียงนี้ จริงๆ เลยนะ…” บุรุษอาภรณ์ขาวพูดแล้วกลิ่นอายก็ระเบิดออกมาในทันใด แกร่งกล้าจนทำให้คนตกอกตกใจและหวาดหวั่น กลิ่นอายนั้นทำให้จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง แต่บุรุษอาภรณ์ขาวกลับส่ายศีรษะเบาๆ แล้วอุทานเสียงหนึ่งพลางชี้นิ้วมือ
พรึ่บ!
จักรพรรดิเทพเฮ่อต้งร่างกายสั่นสะท้าน ห้วงอากาศโดยรอบต่างก็บิดเบี้ยวสั่นสะเทือน จากนั้นจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งก็แววตาริบหรี่แล้วร่วงหล่นลงเสียงดังพลั่กในทันใด ร่างกายร่วงหล่นลงสู่พื้น หลิงเฟิงอวี๋หรงที่อยู่ด้านข้างก็ยืนขึ้นมา มองร่างปราศจากชีวิตของจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งที่ร่วงหล่นลงมาอย่างยากที่จะเชื่อได้
……………………………………………