Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 62 กวาดล้าง
“แย่แล้ว! จักรพรรดิเทพหิมะเหินตกอยู่ในอันตรายเสียแล้วสิ!” อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจวิ้นซาน ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพสองท่านนี้มองปราดเดียวก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่นั้นอย่างชัดเจน
“เจ้าเมืองอูเจ๋อแปลงร่างเป็น ‘มังกรพิษไอหมอก’ ทำให้พลังยุทธ์ของผู้อาวุโสหิมะเหินอ่อนลงเล็กน้อย ประมุขพรรคเงามารวดเร็วอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสหิมะเหินอยากจะต้านทานนั้นเดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ขณะนี้อีกท่านหนึ่งก็คือชายอาภรณ์เขียวผู้เป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ พลังคุกคามของกระบี่เล่มนั้นก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น ถ้าหากอยากจะต้านทานกระบี่เล่มนี้อย่างสุดกำลัง เขาก็ไม่มีทางต้านทานประมุขพรรคเงามารได้แล้ว” อวี้เฟิงเหลยเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ต้านทานประมุขพรรคเงามาร ก็ไม่มีทางแบ่งจิตใจไปต้านทานกระบี่เล่มนั้นได้แล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็กระวนกระวายใจ
เพราะว่าหากจักรพรรดิเทพหิมะเหินตายไป เกรงว่าพวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็คงจะมิได้มีจุดจบที่ดีนัก!
ถึงแม้ว่าขณะนี้จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะสำแดงพลังรบที่เทียบเคียงได้กับ ‘ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ ออกมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการร่วมมือล้อมโจมตีของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่าน ก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แม้กระทั่งอวี้เฟิงจวิ้นซานและอวี้เฟิงเหลยทั้งสองคนต่างก็คิดไม่ออกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ยังมีวิธีการใดที่สามารถหลบหนีได้พ้น
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นประกายกระบี่ดุจน้ำที่ตัดแยกฟ้าดินนั้น มองเห็นชายอาภรณ์เขียวผู้นั้น ในใจก็ไม่มีความสับสนอีกต่อไป
“เป็นท่านจริงๆ เสียด้วย จักรพรรดิเป่ยเหอ! มิน่าเล่าประมุขพรรคเงามารจึงได้หาข้ออ้างมาจัดการข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ยังคงระมัดระวังตัวแจจริงๆ ตัวเองก็บรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์แล้ว ยังคิดหาวิธีไปเชื้อเชิญประมุขพรรคเงามารและเจ้าเมืองอูเจ๋อ ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองคนนี้ให้มาเคลื่อนไหวพร้อมกัน หมายจะสังหารข้าให้ตาย”
“โชคดีที่พลังยุทธ์ของข้ามิได้เท่ากับตอนอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาอีกต่อไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้ การล้อมโจมตีของระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามท่าน แต่ในใจกลับมิได้แยแสเลยแม้แต่น้อย
“ต้องสำแดงเสียแล้วสิ!”
“ปัง”
แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น
และในขณะนี้เองจักรพรรดิเป่ยเหอ เจ้าเมืองอูเจ๋อ และประมุขพรรคเงามารที่กำลังร่วมมือกันจัดการกับตงป๋อเสวี่ยอิง ในขณะเดียวกันนี้ก็รู้สึกได้ว่าโลกลวงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว อีกทั้งยังฉุดลากวิญญาณของพวกเขาอย่างบ้าคลั่งด้วย! นอกจากนี้โลกลวงแห่งนี้ยังมีการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับระลอกคลื่นที่โจมตีวิญญาณพวกเขาอย่างต่อเนื่องอย่างไรอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะกำลังจัดการกับจักรพรรดิเทพเฮ่อต้ง ประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็ก และเจ้าเมืองมังกรเหล็ก เป็นต้น เขาก็เคยสำแดงเคล็ดสังหารเขตลวงโลกเทียมมาก่อนทั้งสิ้น
แต่นั่นเป็นการซ่อนเร้นตัวตน! ผู้อื่นก็ย่อมไม่รู้ว่าเขาคือใครอยู่แล้ว
แต่ที่สำแดงในขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าตนเองก็จะอยู่ที่เมืองจวิ้นซานอย่างไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว เชื่อแน่ว่าข่าวที่ตนสามารถสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอันน่าหวั่นเกรงได้จะต้องแพร่ไปทั่วโลกเทพอย่างรวดเร็วแน่นอน เกรงว่า ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ ‘เจ้าเมืองเมฆาวายุ’ และคนอื่นๆ ก็คงจะตามหาตนเองมาเนิ่นนานแล้วกระมัง
“เปิดเผยก็เปิดเผยไปเถิด ด้วยพลังยุทธ์ของข้า หากสามบรรพเทวะคละถิ่นไม่ออกโรง ข้าก็ไม่กลัวเกรงใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งบรรพเทวะคละถิ่น ถึงอย่างไรก็เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่หนีออกจากกรงขังแล้วถึงขนาดที่เปิดโลกอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา สถานะเช่นนี้ก็คงจะไม่มาหาเรื่องห้ำหั่นกับข้าง่ายๆ กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดต่างๆ มากมาย
ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์คนอื่นๆ สามท่าน กลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเต็มหัวใจแล้ว
“ปัง!” “ปัง!” “ปัง!”
วิญญาณของประมุขพรรคเงามาร เจ้าเมืองอูเจ๋อ และจักรพรรดิเป่ยเหอต่างก็เผชิญกับการฉุดลากของโลกลวงอันน่าหวาดหวั่น แต่ละคนต่างก็หวาดกลัวกันเป็นอย่างยิ่ง พยายามต้านทายอย่างสุดกำลัง
‘พลังจิต’ ที่สามารถนำมาใช้ได้นั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ถึงขนาดที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายอันน่าหวาดหวั่นของตนได้ ระดับความหยาบกระด้างของกระบวนท่าก็พุ่งสูงขึ้น พลังคุกคามก็ย่อมลดต่ำลงอย่างมหาศาล
“เป็นไปได้อย่างไรกัน นี่ นี่คือเคล็ดวิชาวิญญาณอย่างนั้นหรือ” ประมุขพรรคเงามารตกตะลึงไปเสียแล้ว ถึงขนาดที่เขาร่นถอยหลังไปในทันทีทันใด แล้วหลบหนีออกไปไกลด้วยความเร็วถึงขีดสุด “เป่ยเหอที่สมควรตาย เขาดันไม่บอกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้มีเคล็ดวิชาวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ เคล็ดวิชาวิญญาณสามารถแข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้ พลังจิตของข้าเกือบเก้าส่วนก็ยังต้องต้านทานอย่างสุดกำลัง”
“เป่ยเหอ! เจ้าช่างอำมหิตเหลือเกิน อำมหิตเหลือเกิน! ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ของศัตรูเจ้าก็ไม่ยอมบอก ดีมาก ดีมาก!” ประมุขพรรคเงามารหนีไปพลางส่งสารไปพลาง กระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าหากบอกว่าประมุขพรรคเงามารตกใจจนหลบหนีไปในทันที
เช่นนั้นถึงแม้ว่าเจ้าเมืองอูเจ๋อจะหวั่นกลัวเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ก็มิได้ตื่นตระหนก เพราะร่างมังกรพิษไอหมอกของเขานั้นแทบจะเรียกได้ว่า ‘เป็นอมตะ’ แม้กระทั่งเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็ยังมิอาจทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“เกือบไปแล้ว วิญญาณของข้าเกือบจะต้านไม่อยู่แล้ว ถ้าหากวิญญาณต้านไม่อยู่ เช่นนั้นข้าก็อาจจะตายได้อย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองอูเจ๋อเต็มไปด้วยความเดือดดาลเต็มหัวใจอยู่ชั่วขณะ แล้วส่งสารให้กับจักรพรรดิเป่ยเหอ “เป่ยเหอ จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้มีเคล็ดวิชาวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ ข่าวเช่นนี้เจ้ากลับไม่บอกพวกข้า คราวนี้เจ้าไม่เพียงแต่ต้องทดแทนหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นเท่านั้น แต่ยังต้องชดเชยให้กับพวกเราอีกด้วย”
“ปัง…”
ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอยู่นั้นเอง หอกยาวในมือกลับชี้ไปยังประมุขพรรคเงามารที่กำลังหลบหนีอยู่ในทันใด
พรึ่บ…
ถึงแม้ว่าประมุขพรรคเงามารจะกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่ต่อให้หลบหนีอย่างรวดเร็วกว่านี้ จะสู้กับความกว้างของอาณาบริเวณของห้วงมิติได้อย่างไรกัน เห็นเพียงว่าฟองห้วงอากาศขนาดมหึมาฟองหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วห่อหุ้มประมุขพรรคเงามารเอาไว้ในทันใด! ผนังของฟองห้วงอากาศชั้นแล้วชั้นเล่า นี่ก็คือเคล็ดวิชาคุมขัง ประมุขพรรคเงามารที่ถูกคุมขังเอาไว้ในนั้นก็โจมตีอย่างสุดกำลังในทันใด
แต่ฟองห้วงอากาศนี้ถ่ายถอนพลังการโจมตีอย่างต่อเนื่อง พลังจิตที่ประมุขพรรคเงามารสามารถใช้ได้ในขณะนี้ก็มีเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะกล้าแกร่งเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่พลังจิตเพียงแค่ส่วนเดียวก็ยังคงสามารถแสดงพลังยุทธ์สามส่วนของก่อนหน้านี้ออกมาได้ แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น มิอาจทลายเปิดฟองห้วงอากาศได้ภายในชั่วพริบตา
“เป่ยเหอ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือกับประมุขพรรคเงามารอย่างส่งๆ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น
เขาแปลงร่างเป็นเงาอันรางเลือน พุ่งตรงเข้าใส่จักรพรรดิเป่ยเหอ!
นี่จึงจะเป็นเป้าหมายที่เขาต้องการสังหาร
“เคล็ดวิชาวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอตะลึงงันไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองอูเจ๋อและประมุขพรรคเงามารต่างก็ส่งสารให้กับเขา แต่จักรพรรดิเป่ยเหอก็คร้านที่จะสนใจคนทั้งสองนั้น สิ่งที่ในใจเขาเป็นกังวลก็คือเคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้ “ตอนอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ระดับแม่ทัพเทพจำนวนหนึ่งต่างก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ข้าต้องการพลังจิตถึงแปดส่วนจึงจะสามารถฝืนต้านทานโลกลวงนั่นได้อย่างนั้นหรือ”
“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกเข้ามา พร้อมกันนั้นหอกยาวก็ฟาดฟันลงมาอย่างดุดันคราหนึ่ง
พรึ่บ
ห้วงมิติโดยรอบราวกับก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมา ก่อตัวเป็นก้อนเต็มๆ ก้อนหนึ่ง นอกจากนี้ยังบีบอัดให้เล็กลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าในชั่วพริบตาก็จะบีบอัดให้บางลงราวกับใบมีดก็มิปาน
“แย่แล้วสิ พลังยุทธ์ของข้าเหลืออยู่เพียงแค่สามสี่ส่วนเท่านั้น เทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้นเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอกระวนกระวายขึ้นมาเสียแล้ว
ในบรรดาจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าจะขุดค้นพลังสายโลหิตจนถึงที่สุด สำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่สายโลหิตที่แตกต่างกันทำให้พลังยุทธ์ของพวกเขาแตกต่างกันไปด้วย อย่างเช่น ‘ประมุขพรรคเงามาร’ และ ‘เจ้าเมืองมังกรเหล็ก’ ทั้งสองคนนี้ต่างก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งจนเหนือธรรมดา ร่างกายเจ้าเมืองมังกรเหล็กแข็งแกร่งเหลือเกิน การต่อสู้ซึ่งหน้าก็เป็นรองเพียงแค่เจ้าเมืองหงส์เมฆาเท่านั้น! ร่างกายของประมุขพรรคเงามารแข็งแกร่งเหลือเกิน ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็เป็นอันดับสองของโลกเทพแล้ว
ผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งเป็นที่สุดพรรค์นี้ ถึงแม้ว่าพลังจิตจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ละกระบวนท่าก็ยังมีพลังคุกคามอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่ที่นั่นแล้วปล่อยให้ศัตรูโจมตี ศัตรูก็ยังยากที่จะทำร้ายพวกเขาได้
หรืออย่างเช่น ‘เจ้าเมืองอูเจ๋อ’ เจ้าเมืองอูเจ๋อสามารถแปลงร่างเป็นมังกรพิษไอหมอก เรียกได้ว่าเป็นร่างอมตะ ในด้านการพันธนาการศัตรูเขาก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของโลกเทพ แต่ในด้านอื่นๆ อย่างเช่นการสังหารซึ่งหน้านั้นก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง
แต่ละคนมีข้อได้เปรียบ
แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับเชี่ยวชาญการโจมตีในระยะประชิดเป็นที่สุด! ทว่าร่างกายกลับอ่อนแอกว่าเจ้าเมืองอูเจ๋อและเจ้าเมืองมังกรเหล็กเป็นอย่างมาก นับได้ว่าเป็นเพียงแค่ระดับธรรมดาสามัญในบรรดาจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์เท่านั้น
“เปรี๊ยะ” ห้วงมิติที่กดดันแตกสลายในที่สุด จักรพรรดิเป่ยเหอก็กระอักโลหิตออกมา หลายบริเวณของร่างกายต่างก็มีบาดแผลปรากฏขึ้น โลหิตสาดกระจาย
“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงแทงหอกเข้ามาอย่างดุดัน
ปลายหอกยังมาไม่ถึง
แต่กลับมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพุ่งตรงเข้าสู่ภายในร่างกายของจักรพรรดิเป่ยเหอ ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะต้านทานอย่างสุดความสามารถ แต่กลับมิอาจสกัดกั้นกระบวนท่านี้เอาไว้ได้ มันทะลุผ่านเข้าไปถึงด้านในของร่างกายในทันใด! เริ่มต้นก่อตัวเป็นระลอกคลื่นอันหนาแน่นภายในร่างกาย ในท้ายที่สุดระลอกคลื่นก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้จักรพรรดิเป่ยเหออดที่จะอ้าปากกระอักโลหิตออกมามิได้ ทั้งยังพ่นเอาชิ้นส่วนอวัยวะภายในออกมาด้วย
“แย่แล้ว ความเร้นลับของกระบวนท่าของข้าอ่อนแอกว่าเขาอยู่มากเลยทีเดียว ตอนนี้พลังจิตที่สามารถใช้ได้ก็น้อยลง กระบวนท่าที่ต้านทานก็ยิ่งหยาบกระด้าง” จักรพรรดิเป่ยเหอเข้าใจในจุดนี้ขึ้นมาทันที “ร่างกายของข้าก็มิได้แข็งแกร่งดังเช่นประมุขพรรคเงามาร หากต่อตีเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าเพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่า อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็คงผลาญสังหารข้าได้แล้ว”
สิบกว่ากระบวนท่า ด้วยความรวดเร็วในการลงมือระดับตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ก็รวดเร็วเป็นที่สุดแล้ว
จักรพรรดิเป่ยเหอสามารถมาถึงตรงจุดนี้ได้ ก็ย่อมมีความเด็ดเดี่ยวอยู่แล้ว
“ฆ่า” ฝีหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงอย่างรวดเร็ว
“ไป” จักรพรรดิเป่ยเหอกระตุ้นรอยประทับสีแดงโลหิตบนข้อมือโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
บุ๋ง
ฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่งล้อมรอบจักรพรรดิเป่ยเหอเอาไว้ ปลายหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงลงไปในครั้งนี้กลับแทงทะลุผ่านไปเหมือนแทงเข้าไปกลางความว่างเปล่า ฟองวารีสีแดงโลหิตมิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย หลังจากเสียงซ่า… ฟองวารีสีแดงโลหิตก็พาตัวจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ด้านในหายลับไปจากโลกเทพแห่งนี้ในทันทีโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ
“หนีเสียแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็อดที่จะขบกรามมิได้
เขาก็รู้ว่าการจะสังหารเป่ยเหอนั้นยากเย็นยิ่ง เพราะว่าตัวเขาเองก็มีเคล็ดวิชาที่สามารถไปจากโลกแห่งนี้ได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
“การฝึกกายคละถิ่นของข้าในตอนนี้ก็ไปถึงเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น พลังคุกคามไม่เพียงพอ ถ้าหากไปถึงระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ด้วยระดับความลึกลับของเคล็ดวิชาของข้า… ผนวกกับเคล็ดวิชาวิญญาณ เกรงว่าก็คงจะสังหารจักรพรรดิเป่ยเหอได้ภายในกระบวนท่าเดียวแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงแค่ว่าประมุขพรรคเงามารพุ่งออกไปจากฟองห้วงอากาศแล้ว และกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่งมุ่งหน้าออกไปยังที่ห่างไกล ส่วนมังกรพิษไอหมอกก็หลบหนีมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
……………………