Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 10 ช่วงชิง
วันนี้
ภายในเมืองเมฆาแดงของโลกทิพย์ มีเหล่าผู้บำเพ็ญมายังคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่อง
“โปรดเดินมาทางนี้”
“เชิญ”
ทหารคุ้มกันหุ่นเชิดตรงประตูคูหาชี้ทางให้ บนเส้นทางก็มีสาวใช้หุ่นเชิดทำหน้าที่นำทาง เพื่อการประมูลสมบัติในครั้งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจใช้จักรวาลโลกเทียมสร้างหุ่นเชิดสิบกว่าตนขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“น้องหิมะเหินคนนี้มีหุ่นเชิดไม่น้อยเลยทีเดียว”
“สามารถนำซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมาถึงโลกทิพย์ได้ เมื่อมาถึงก็ร่ำรวยขึ้นมาก แค่ซื้อหุ่นเชิดก็ย่อมไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”
เหล่าผู้บำเพ็ญเดินไปพลางวิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง ในเมืองเมฆาแดงนั้นมีผู้แกร่งกล้าจากโลกต่างๆ มากมายรวมตัวกันอยู่ แน่นอนว่าย่อมมีผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมหุ่นเชิดอยู่แล้ว! แค่การหลอมหุ่นเชิดที่มีพลังระดับเทพอากาศ…เกรงว่าผู้แกร่งกล้าในเมืองกว่าครึ่งก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่การเก็บรวบรวมวัสดุในโลกทิพย์ก็ออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง
“หยุดนะ!”
“หยุดนะ!”
ตรงประตูคูหา ทหารคุ้มกันหุ่นเชิดสองตนพลันตะคอกขึ้นมา พลางจับจ้องชายชราร่างเตี้ยเล็กที่ก้าวเข้ามาผู้นั้น
“ทำไมเล่า หิมะเหินพูดออกไปอย่างเปิดเผย ว่าให้ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายในเมืองเมฆาแดงเข้าร่วมการประมูลสมบัติ เหตุใดตอนนี้จึงไม่ให้ข้าเข้าไปเล่า” ชายชราร่างเตี้ยเล็ก ‘เสียฝาน’ หัวเราะเสียงเย็นชา
“เจ้านายกำชับไว้แล้วว่าห้ามเจ้าเข้าไป!” ทหารคุ้มกันหุ่นเชิดคนหนึ่งตะคอกด้วยเสียงเย็นชา
“เสียฝาน!”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งลอยออกมาจากภายในคูหาราวกับสายฟ้าฟาด “หากเจ้ากล้าสาวเท้าเข้ามาในคูหาของข้าแม้แต่ครึ่งก้าว ข้าก็จะโยนเจ้าออกไปทันที!”
เสียฝานสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ภายในเมืองเมฆาแดง จวนของผู้บำเพ็ญแต่ละคนล้วนเป็นสถานที่ต้องห้ามทั้งสิ้น! หากเจ้าของมิได้ยินยอม ก็มิอาจบุกรุกเข้าไปได้อย่างเด็ดขาด! การโยนออกไปนั้นเป็นเรื่องเล็ก หากยังกล้าต่อต้านอีก ก็สามารถสังหารได้ทันที! เนื่องจากคูหานั้นเป็นสถานที่เก็บตัวบำเพ็ญ ตามกฎของเมืองเมฆาแดง ก็ได้รับรองว่าผู้บำเพ็ญทุกคนจะได้บำเพ็ญอย่างสงบโดยไม่ถูกผู้อื่นรบกวน
“ดีมาก” เสียฝานหมุนกายจากไปด้วยสีหน้าเยียบเย็น
ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ที่เข้ามาในคูหาเห็นเข้าก็อดถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมิได้
“ก่อนหน้านี้มาบีบบังคับ ตอนนี้ยังกล้ามาถึงหน้าประตูอีก”
“เสียฝานผู้นี้ช่างไม่สนใจหน้าตนเองแม้แต่น้อยเลยจริงๆ”
“เขาคือเสียฝานเชียวนะ! หากพูดถึงความไร้ยางอายแล้ว ทั้งเมืองเขาจัดเป็นอันดับต้นๆ เลยนี่นา” ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ลอบพึมพำ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังต้อนรับแขกเหรื่อทั้งหลายอยู่ในสวน
สวนกินพื้นที่กว่าร้อยลี้ โต๊ะยาวและเบาะรองนั่งนับพันกระจายกันอยู่ทั่วสวน บ้างก็อยู่ข้างทะเลสาบ บ้างก็อยู่กึ่งกลางเขา! ผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่มาเข้าร่วมการประมูลสมบัติครั้งนี้ต่างก็เลือกที่นั่งกันตามใจชอบแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป ก่อนจะดื่มสุรารสเลิศที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมไว้ให้ รอคอยการประมูลสมบัติเริ่มต้น! สุรารสเลิศเหล่านี้ค่อนข้างธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาจากจักรวาลโลกเทียม จำนวนมากมาย พอกิน!
“น้องหิมะเหิน เจ้าไม่ไว้หน้าเสียฝานผู้นั้นขนาดนี้ เขาจะต้องจดจำความแค้นครั้งนี้เอาไว้แน่” ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งสนทนากับตงป๋อเสวี่ยอิง
“จดจำความแค้นหรือ ก่อนหน้านี้เขาบีบบังคับให้ข้าทำการแลกเปลี่ยนกับเขา ก็ได้ผูกใจเจ็บไว้อยู่แล้ว! ข้ายังจะกลัวเขาอีกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ก่อนหน้านี้ฉีกหน้าไปแล้ว วันนี้ยังคิดจะเข้ามาในจวนของข้าอีก น่าขันนัก”
ว่ากันตามจริงแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าผู้ที่มีนามว่า ‘เสียฝาน’ คนนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง!
เนื่องจากในบรรดาผู้แกร่งกล้า วามชั่วร้ายอำมหิตก็นับว่าเป็นเรื่องปกติมาก แต่เมื่อตนมิวิธีของมารร้ายตัวฉกาจ ทำการโดยไม่สนใจวิธี อำมหิตไร้หัวใจก็แล้วไปเถิด แต่ ‘เสียฝาน’ ผู้นี้กลับมีหลายด้านหลายคม ทำอะไรน่าขายหน้าโดยแท้ ต้องรู้ไว้ว่า ‘โม่ซู’ ผู้แกร่งกล้าหญิงอีกคนหนึ่งที่เคยบีบบังคับตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากบีบบังคับครั้งหนึ่งแล้ว ก็คร้านจะมายุ่มย่ามด้วยอีก และยิ่งไม่มีทางเข้าร่วมการประมูลสมบัติครั้งนี้เด็ดขาด!
ผู้แกร่งกล้าก็ต้องมีความหยิ่งผยองของผู้แกร่งกล้า
แต่เสียฝานนั้นจัดเป็นประเภทที่ไม่มีความหยิ่งผยองเอาเสียเลย เขาชั่วร้ายนัก!
ผู้บำเพ็ญผู้นั้นเห็นเข้าก็พูดยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังด้วยล่ะ เขารังแกไม่ได้ง่ายๆ”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณขอรับ พี่โยวหยา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
เวลาล่วงเลยไป
แขกคนแล้วคนเล่ามาถึง ตงป๋อเสวี่ยอิงต้อนรับอย่างเรียบง่าย และเอ่ยขึ้นมาสองสามประโยคเป็นบางครั้ง
“เอ๊ะ”
จู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หรี่ตาลง พลางมองดูคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
“เป่ยเหอรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจมาก
“จ้าวหิมะเหิน” จักรพรรดิเป่ยเหอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “เสียฝานผู้นั้นถูกเจ้าขวางไว้ที่หน้าประตู ข้าคิดว่าข้าก็จะเข้ามามิได้เสียอีก”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมา จึงมิได้แจ้งทหารคุ้มกันด้วยต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“เจ้ากับข้ามาจากโลกใบเดียวกัน ก็นับว่าเป็นวาสนา ไยเจ้ากับข้าจึงต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่เล่า” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว “เจ้ากับข้าล้วนใฝ่หาการกระโดดออกจากกรงขังสำเร็จขั้นคละถิ่น นอกจากนี้ภายในโลกทิพย์ อย่างน้อยในเมืองก็ห้ามห้ำหั่นกัน บุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า…ปล่อยมันไปก่อนจะดีหรือไม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอ
จักรพรรดิเป่ยเหอสวมอาภรณ์สีเขียวทั้งร่าง สายตาจริงใจเป็นอย่างมาก
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเข้าใจดีว่า…จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้จะต้องคิดคดเป็นแน่! ตอนนั้นที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก จู่ๆ จะแปรพักตร์เขาก็แปรพักตร์เสียอย่างนั้น
“ข้ายังจะกล้าเชื่อเจ้าอีกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มหยัน “เกรงว่าผลจากการเชื่อเจ้า ก็คือสักวันหนึ่งคงจะถูกเจ้าลอบทำร้ายอีกกระมัง”
“เจ้าไม่เชื่อข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” จักรพรรดิเป่ยเหอจนใจ
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเยาะ “จะให้ข้าเชื่อก็ง่ายมาก เจ้ามอบหยาดน้ำพันเนตรให้ข้าสิ”
ตอนนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอจากหุบเขาเขี้ยวหักไปเพราะถูกตนไล่สังหาร พละกำลังของหยาดน้ำพันเนตรนั้นจะต้องเผาผลาญยังไม่หมดเป็นแน่
“ไม่ได้หรอก” จักรพรรดิเป่ยเหอส่ายหน้า “นี่คือสมบัติล้ำค่าที่ล้ำค่าที่สุดในตัวข้า จะมอบให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”
หยาดน้ำพันเนตรเป็นสิ่งที่ ‘สิ่งมีชีวิตพันเนตร’ หนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งแปรเป็นหุบเขาเขี้ยวหักทิ้งเอาไว้ บัดนี้จักรพรรดิเป่ยเหอพบเห็นอะไรมากขึ้น จึงเข้าใจว่าระดับ ‘สิ่งมีชีวิตพันเนตร’ นั้นสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปเหล่านี้ตั้งไม่รู้มากมายเท่าไหร่ พลังก็สามารถบีบ ‘หยวน’ ได้โดยตรง ความล้ำค่าของหยาดน้ำพันเนตรนั้น…ไข่มุกเม็ดหนึ่งล้ำค่ากว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ตนหนึ่งไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
แล้วเขาจะมอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างไรกันเล่า
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยในโลกทิพย์แห่งนี้ บุญคุณความแค้นของข้ากับเจ้าสามารถปล่อยมันไปก่อนได้ เวลาทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ได้” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดพลางหัวเราะแล้วเดินไปข้างๆ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงไปบนที่นั่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก แล้วรินสุราดื่มเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ก็มิได้ตะเพิดเขาออกไปแต่อย่างใด
ไม่จำเป็น!
“ลองเดินดูดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เก็บมาใส่ใจในตอนนี้
……
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูสีท้องฟ้า มองดูเหล่าผู้แกร่งกล้าจากโลกทั้งหลายที่นั่งกันตามสบายไปทั่ว วันนี้มากันทั้งหมดหกร้อยกว่าคน ราวสองส่วนของจำนวนผู้แกร่งกล้าทั้งเมืองเมฆาแดง! อันที่จริงแล้วผู้ที่มาร่วมการประมูลสมบัติด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริงนั้นมีน้อยยิ่งกว่า
“ทุกท่าน”
เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่วทุกแห่งในเมือง “ข้าจะไม่ชักช้าแล้ว เริ่มการประมูลสมบัติเถิด การประมูลสมบัติครั้งนี้ก็เพื่อเจ้าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนี้นี่นา”
พูดจบก็โบกมือคราหนึ่ง
ก็มีซากขนาดสูงราวสองร้อยกว่าเมตรซึ่งดูเหมือนภูเขาเพลิงร่วงลงบนพื้นด้านข้าง มันดึงดูดสายตาของผู้บำเพ็ญหกร้อยกว่าคนเอาไว้ได้ในทันที ในจำนวนนั้นมีสายตาบางคู่ร้อนระอุขึ้นมา!
“ราคาต่ำสุดก็คือซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ทางสายอากาศสามร่าง แต่ละครั้งเพิ่มราคาเป็นอาหารอย่างต่ำหนึ่งหมื่นลูกบาศก์เมตร ตอนนี้ทุกท่านสามารถเสนอราคามาได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ซากสามร่าง” ผู้ที่เอ่ยปากคือสตรีอาภรณ์เขียวนางหนึ่ง น้ำเสียงของนางไพเราะเสนาะหู
“ซากสี่ร่าง!” บุรุษผมแดงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น กลิ่นอายของบุรุษผมแดงผู้นี้ยิ่งใหญ่ ต่อให้วันนี้ภายในสวนจะมีผู้แกร่งกล้ามากมาย กลิ่นอายของเขาก็ยังคงแข็งแกร่งเหิมเกริมเป็นอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่า เขาคือผู้ที่มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งในการประมูลสมบัติครั้งนี้ เขาเรียกตนเองว่า ‘จักรพรรดิชิงสวรรค์’ หากพูดถึงความแข็งแกร่งของพลังแล้ว ก็สามารถบีบบังคับเจ้าเมืองทั้งสามโดยตรงได้ เขาเคยประมือกับเจ้าเมืองทั้งสาม ก็แตกต่างกันไม่มากนัก
หากพูดถึงพลังแล้ว ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าสามารถจัดอยู่ในห้าอันดับแรกได้!
ส่วนทางสายเปลวเพลิง เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเมฆาแดง! เพราะยิ่งเป็นผู้ตระหนักวิถี จึงย่อมอยากได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งไม่มีอยู่ในโลกทิพย์มาเป็นธรรมดา
“ห้าซาก”
“ห้าซากบวกกับอาหารหนึ่งแสนลูกบาศก์เมตร”
“ห้าซากบวกกับอาหารสองแสนลูกบาศก์เมตร”
หลังจากราคาขึ้นไปถึงห้าซากแล้ว กลับทะยานขึ้นไปน้อยมากแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างเงียบๆ
“ห้าซากบวกกับอาหารหนึ่งล้านลูกบาศก์เมตร” ผู้เสนอราคาก็คือบุรุษชุดดำคนหนึ่ง เขาก็คือผู้แกร่งกล้าที่จัดอยู่ในไม่กี่สิบอันดับแรกของเมืองเมฆาแดงนามว่า ‘เหยียนหยาง’
“ห้าซากบวกกับอาหารสองล้านลูกบาศก์เมตร” จักรพรรดิชิงสวรรค์ผู้มีผมสีแดงพูดเสียงเย็นชา
“หกซาก” ‘เหยียนหยาง’ บุรุษชุดดำพูดเสียงเรียบต่อไป
จักรพรรดิชิงสวรรค์มองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “หกซากบวกกับอาหารหนึ่งล้านลูกบาศก์เมตร”
เหยียนหยางพลันเงียบงันไป
ทันใดนั้น ทั่วทุกหนแห่งก็ไม่มีผู้เสนอราคาอีกต่อไป
“ยังมีสูงกว่านี้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงแหลมสูงออกมาในที่สุด
………………………