Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 11 พลังยุทธ์บรรลุ
บนลานเงียบสงบเช่นเดิม
“ถ้าหากไม่มีสูงกว่านี้แล้ว เช่นนั้นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายเปลวเพลิงซากนี้ก็กลับไปเป็นของจักรพรรดิชิงสวรรค์แล้ว…” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองไปรอบๆ แล้วหยุดลงเล็กน้อยอยู่หลายอึดใจก่อนจะเอ่ยว่า “เอาล่ะ การประมูลสมบัติสิ้นสุดลงแล้ว! ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากนี้ก็กลับไปเป็นของจักรพรรดิชิงสวรรค์แล้ว”
วาจาเพิ่งเอ่ยออกไป
จักรพรรดิชิงสวรรค์ผมแดงผู้นั้นก็ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ประกายสีแดงก็กะพริบวาบแล้วร่อนลงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ส่งมอบคลังเก็บสมบัติล้ำค่าให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง จากนั้นก็โบกมือเก็บเอาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสูงสองร้อยกว่าเมตรราวกับภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบดูในทันที เมื่อเห็นแล้วก็อดที่จะเผยสีหน้ายินดีมิได้
ภายในคลังสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์นี้ ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันใหญ่มหึมาซากแล้วซากเล่านั้นแต่ละซากล้วนมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งกว่าซากที่ตนขายไปซากนั้นอยู่มากมายนัก! และก็เป็นเพราะว่าภายในโลกทิพย์แห่งนี้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนมีจำนวนมากมายเหลือคณา บวกกับของตนนั้นเป็นซากที่ไม่มีในโลกทิพย์ จึงแลกเปลี่ยนมาได้มากมายเช่นนี้
……
“สมควรตาย!” ภายในคูหาของตน ‘เสียฝาน’ ชายชราร่างเล็กเตี้ยที่นั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าอึมครึมอยู่ได้รับข่าวคราวที่มิตรสหายจำนวนหนึ่งของตนส่งมาผ่านวัตถุส่งสารในทันใด
ถึงแม้ว่าเสียฝานจะมีชื่อเสียงย่ำแย่ อุปนิสัยชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง
แต่เหล่าผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ภายในเมืองเมฆาแดงแต่ละคนล้วนมิอาจรังแกได้โดยง่าย ย่อมมิได้ใส่ใจในอุปนิสัยของเสียฝาน ถึงแม้ว่าภายในใจจะยิ้มหยันอยู่บ้าง แต่ยามที่ผูกไมตรีก็ยังให้ความสำคัญกับเสียฝานกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเขามีพลังยุทธ์! จัดได้ว่าเป็นสิบลำดับแรกอย่างรางๆ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าของโลกต่างๆ ในเมืองเมฆาแดง แข็งแกร่งเพียงใด แม้กระทั่งเจ้าเมือง ‘ใบเมฆาวายุ’ ก็ยังเห็นเขาเป็นเหมือนแขนซ้ายขวา ก็ย่อมมีผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับเขาส่งข่าวการประมูลสมบัติให้กับเสียฝานทั้งหมด
“ซากระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หกร่าง ทั้งยังมีอาหารอีกหนึ่งล้านส่วนด้วย ชิงสวรรค์ลงมือได้สูงพอเลยทีเดียว” เสียฝานหัวเราะเสียงเย็น “ให้เจ้าเด็กหิมะเหินผู้นั้นได้กำไรก้อนโตเลยทีเดียว”
ในสายตาของเสียฝาน
ผู้บำเพ็ญแบ่งออกเป็นผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งและพลังยุทธ์อ่อนแอเท่านั้น!
เขาคิดว่า ‘หิมะเหิน’ มีพลังยุทธ์ธรรมดายิ่งนัก ย่อมไม่มีสิทธิ์ครอบครองความมั่งคั่งมหาศาลเช่นนั้นอยู่แล้ว! เขาเต็มใจจะใช้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สามซากไปเจรจาต่อรอง ก็นับว่าไว้หน้าเป็นอย่างมากแล้ว นี่ยังเห็นแก่คำสั่งห้ามของเมืองเมฆาแดง หากไม่มีคำสั่งห้าม เขาก็คงลงมือฆ่าคนชิงทรัพย์ไปนานแล้ว
“ก็ปล่อยให้เขาได้ใจไปเถิด หึๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางอยู่ในเมืองไปตลอดชั่วนิรันดร์หรอก” เสียฝานเอ่ยพึมพำ
……
“น้องหญิง การประมูลสมบัติสิ้นสุด ราคาเกินกว่าขีดจำกัดที่พวกเราจะยอมรับได้แล้ว จักรพรรดิชิงสวรรค์แย่งชิงเอาไปด้วยซากศพหกร่าง บวกกับอาหารหนึ่งล้านส่วนแล้ว”
“เจ้ากลับมาเถิด”
บนเตียงน้ำแข็งขนาดมหึมา
หญิงสาวงามล้ำเลิศในอาภรณ์ดำผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น นางก็คือ ‘โม่ซู’ อีกคนหนึ่งในผู้แกร่งกล้าสองคนที่ข่มขู่ตงป๋อเสวี่ยอิง ตัวนางเองมิได้ไปเข้าร่วมการประมูลสมบัติ แต่กลับให้สหายของนางไปทำการเสนอราคา
“สมควรตาย ก็ได้แต่คิดหาวิธีไปเจรจากับชิงสวรรค์ว่ารอให้ถึงเวลาที่เขารู้สึกไม่ต้องการซากศพนั้นแล้วก็ค่อยขายให้ข้าก็แล้วกัน” โม่ซูลืมตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา
ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์แบบร่างหนึ่ง จะหยั่งรู้เนิ่นนานสักเท่าใดกัน
พูดได้ยากจริงๆ!
เพราะขอเพียงแค่ไม่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ก็จะไม่มีทางหยั่งรู้กฎเกณฑ์ที่ปรากฏชัดอยู่ในซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากหนึ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่งไปตลอดกาล นี่ก็คือเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้นำเอาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศที่ได้รับมาจากคุณชายใหญ่เมืองมังกรเหล็กซากนั้นออกมาเจรจาต่อรอง ซากศพพรรค์นี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้รับอะไรจากมันมาน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่เขาก็มิอาจละทิ้งมันไปได้ง่ายๆ
เมื่อระดับขั้นของตนสูงขึ้นแล้วก็สามารถไปหยั่งรู้ได้อีก!
……
และที่คูหาของตงป๋อเสวี่ยอิง หลังการประมูลสมบัติสิ้นสุดลงแล้ว บรรดาผู้บำเพ็ญมากมายก็เริ่มที่จะแยกย้ายกันจากไป
จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งแล้วก็จากไปในทันที เพียงแต่ว่าในใจของเขากลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน “พรสวรรค์ของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้สูงส่งเป็นที่สุด ยามอยู่ที่ดินแดนจิตโลกา ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็แสนสั้นยิ่งนัก ความสามารถทางด้านวิถีอากาศของเขาในตอนนี้ก็แตกต่างจากข้าไม่เท่าไหร่แล้ว! เคล็ดวิชาวิญญาณของเขาก็ยิ่งโดดเด่นในโลกต่างๆ จนบัดนี้ข้าก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า…จะมีผู้ใดที่สามารถเทียบเคียงกับเขาทางด้านเคล็ดวิชาวิญญาณได้”
เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิเป่ยเหอก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างแท้จริง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
“ที่หุบเขาเขี้ยวหัก พลังยุทธ์ของเขายังห่างชั้นกับข้าอยู่มากนัก”
“ที่โลกอสนีบาต ก็บีบเสียจนข้าต้องหลบหนีเสียแล้ว”
“ที่โลกแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับเขาแล้ว ทรัพยากรในการบำเพ็ญก็ยิ่งมาก เกรงว่าเขาก็คงจะยิ่งก้าวหน้าไปอีกกระมัง ถ้าหากเขาสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แล้วยิ่งรวมกับเคล็ดวิชาวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นนั้นของเขา แล้วผู้ใดจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เล่า” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบทอดถอนใจ “ยังดีที่พวกเขาผู้ตระหนักวิถีเหล่านี้ สำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ยากเย็นยิ่ง!
ยากลำบากกว่าพวกเราที่บำเพ็ญพลังสายโลหิตเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
ในร่างกายมีสายโลหิตคละถิ่น ก็หมายความว่ามีพื้นฐานอยู่แล้ว
สิ่งที่ต้องการก็คือการขุดค้น!
แต่ผู้ตระหนักวิถี…กลับควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สร้างร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขึ้นมาจากความว่างเปล่า! จึงยากเย็นกว่ามากมายเหลือเกิน
“เสียฝานหรือ หึๆ เป็นอริกับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ เกรงว่าคงต้องอนาถเป็นอย่างยิ่งเลยกระมัง”
จักรพรรดิเป่ยเหอลอบยิ้มเย็น เขาตัดสินใจไว้ก่อนแล้วว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงตงป๋อเสวี่ยอิงที่โลกนี้อย่างสุดกำลัง อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถกระตุ้นกำไลรอยประทับส่งตัวไปยังโลกที่สามได้ตลอดเวลา “ที่โลกแห่งนี้ ขอเพียงแค่อยู่ในเมือง อิงซานเสวี่ยอิงก็คงมิกล้าลงมือ ขอเพียงแค่หลีกเลี่ยงเขายามที่ออกจากเมืองก็ใช้ได้แล้ว”
“ขอเพียงแค่สำเร็จเป็นคละถิ่นเท่านั้น เฮอะ อิงซานเสวี่ยอิงจะนับเป็นอะไรได้เล่า”
จักรพรรดิเป่ยเหอโยนความแค้นเคืองทิ้งไปเบื้องหลัง
สำหรับเขาแล้ว การสำเร็จเป็นคละถิ่นต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
******
หลังจากการประมูลสมบัติสิ้นสุดลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มต้นการบำเพ็ญอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อยู่ถึงหกร่าง หยั่งรู้ขึ้นมาก็ได้อะไรมามากมายเหลือเกิน! การตระหนักรู้ต่างๆ นานาสั่งสมอย่างต่อเนื่อง เพราะว่ามีอาหารเพียงพอ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้บำเพ็ญอย่างอดทนอยู่ในคูหา
หลังจากที่มาถึงยังโลกเทพหกหมื่นปีให้หลัง เขาก็ทำให้ร่างกายฟื้นฟูมาถึงระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ อย่างมั่นคงยิ่ง
แต่ต่อมา…
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเผชิญกับจุดคอขวด
ภายในร่างกาย ระดับความยากในการบรรลุจากระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ไปถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นยากเย็นเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าการตระหนักรู้ของตนกำลังสั่งสมอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีทางสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้เลย
“ไม่ต้องพูดถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเลย แม้กระทั่งการระเบิดพลังรบร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ยังทำมิได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เข้าใจถึงปัญหาที่มีอยู่
ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น
ก็หมายถึงร่างที่ต่ำกว่า ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ลงมาอันสมบูรณ์แบบ! ตามหลักการแล้วก็ใกล้จนมิอาจใกล้ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
อยากจะบรรลุอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นก็คงต้องใช้พลังทำลายกฎแล้ว! ก็จะสามารถสำเร็จเป็นระดับ ‘เจ้าดินแดน’ ที่สูงส่งไร้เทียมทานในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสูงส่งหาใดเปรียบแล้ว อาณาเขตกาลมิติจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนเป็นดินแดนใต้อาณัติของพวกเขา! รับการคุ้มครองของพวกเขา!
“ค่อยเป็นค่อยไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง
เขาหยั่งรู้วัสดุที่แตกกระจัดกระจายทั้งหมดอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก็สิ้นเปลืองเวลาไปนานแปดสิบล้านปี
หลังจากที่เริ่มต้นหยั่งรู้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากแล้วซากเล่านั้น หยั่งรู้ซากศพหกซากโดยละเอียดทั้งหมดรอบหนึ่ง ก็สิ้นเปลืองเวลาไปนานสามพันล้านปีเศษ
จากนั้นจึงค่อยวิเคราะห์ยืนยันอย่างละเอียดยิ่งขึ้น…
“ขั้นสมบูรณ์”
“ร่างของขั้นสมบูรณ์ระดับต่ำกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นลงมาอย่างนั้นหรือ”
เมื่อการสั่งสมแน่นหนายิ่งขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นตามมา
อ้างอิงจากความคิดบางอย่าง เขาก็เริ่มต้นทดลองบำเพ็ญ!
“ปัง”
ภายในโถงตำหนักใต้ดินอันใหญ่โตมโหฬารของคูหา ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงแล้วร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทันใด
ท่อนขาทั้งสองบึกบึนขึ้นมาเป็นอันมากในชั่วครู่เดียว แต่จากนั้นก็ แกร่กๆๆ ท่อนกระดูกมากมายของขาทั้งสองก็เริ่มต้นแหลกสลาย
……
“ไม่ได้”
“ปัง”
ผิวหนังทั่วร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดชั้นผิวหนังปกคลุมอย่างหนาแน่นขึ้นมาในทันใด แข็งแกร่งยิ่งใหญ่เป็นอันมาก แต่จากนั้นผิวหนังภายนอกก็เริ่มที่จะแหลกสลาย…
“ยังไม่ได้”
……
ถึงแม้ว่าจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า กับเส้นทางของร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น การทดสอบล้วนเกิดปัญหาทั้งสิ้น แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาเขาใจกระจ่างดีว่าการจะสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นในระยะเวลาอันสั้นนั้น…เดิมทีก็มิอาจเป็นไปได้โดยง่ายอยู่แล้ว เขาค่อยๆ เตรียมการทีละน้อยมาเป็นระยะเวลายาวนาน ตอนนี้ที่เขากล้าทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าก็ต้องยกความชอบให้กับซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านี้ การหยั่งรู้และสั่งสมอันแน่นหนาทำให้เขามีความมั่นใจในการไปทดสอบ
ในวันหนึ่งที่มาถึงโลกทิพย์ได้แปดพันแปดร้อยล้านปี
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำการทดสอบส่วนประกอบร่างกายใหม่อีกครั้ง นี่เป็นการทดสอบครั้งที่สิบเก้าของเขาแล้ว! เพราะว่าทุกครั้งที่ทดสอบล้วนจำเป็นต้องสั่งสมเป็นระยะเวลาอันยาวนานจึงจะสามารถวิวัฒน์เอาเคล็ดวิชาบำเพ็ญที่ทดสอบออกมาได้
“ปัง”
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลัน สูงราวๆ ร้อยเมตร ผิวหนังตลอดร่างเปล่งประกายสีเทาจางๆ กลิ่นอายองอาจเทียมฟ้า
ขณะนี้ส่วนประกอบอันละเอียดอ่อนของร่างกายล้วนกำลังแหลกสลาย
“ระดับการแหลกสลายยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้! ด้วยร่างกายของข้าก็ควรจะต้านทานได้เป็นระยะเวลาชั่วจิบชาหนึ่งจึงจะแหลกสลายไปอย่างสมบูรณ์กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี การทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านี้ เขาถึงกับไม่กล้าใช้ทั้งร่างกายทดสอบ สามารถใช้ทั้งร่างกายทดสอบได้ ครั้งที่ดีที่สุดก็สามารถต้านทานได้เป็นระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งอึดใจเท่านั้น ร่างกายก็แหลกสลายเสียแล้ว! ช่างแสนสั้นเหลือเกิน
สามารถต้านทานได้เป็นระยะเวลาชั่วจิบชาหนึ่ง!
ก็มีนัยสำคัญกับการต่อสู้แล้ว!
……………………………