Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 14 แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญของตนเอง
“นี่มันพลังอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสบริเวณรอบๆ กองล่าสังหารผู้บำเพ็ญห้าสิบเอ็ดคนทางฝ่ายตนนี้บินทะยานอยู่กลางท้องฟ้าระดับต่ำ บริเวณรอบๆ กลับเต็มไปด้วยพลังอันไร้รูปร่าง ชนิดหนึ่งคือการควบคุมกาลมิติ อีกชนิดหนึ่งนั้นแปลกประหลาดกว่ามาก ดูกล้ายว่าจะตัดแยกภายในและภายนอก ทำให้โลกภายนอกยากที่จะค้นพบกองกำลังนี้ของฝ่ายตนได้
“พี่โยวหยา สำแดงเขตพลังออกไปแล้ว”
“อืม”
นักพรตโยวหยาควบคุมสถานการณ์โดยรวม เขาก็มองไปทางผู้บำเพ็ญคนอื่นอีกสองคน คนชุดเทาคนหนึ่งกับบุรุษเกราะทองผู้เย็นชาคนหนึ่ง “ฉงหมาน พวกเจ้าสองคนก็ลงมือเถิด”
คนชุดเทาพยักหน้าน้อยๆ พลางสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นแมลงตัวน้อยแน่นขนัดก็บินออกมาแล้วบินออกไปจากกองกำลัง มุ่งหน้าไปยังทุกทิศทุกทาง
และบุรุษเกราะทองผู้เย็นชาผู้นั้น บนเกราะสีทองที่หุ้มกายก็แบ่งตัวออกมาเป้นสิ่งมีชีวิตจักรกลแน่นขนัดในทันใด แล้วก็บินมุ่งหน้าไปยังทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอยู่ข้างๆ พลางลอบพยักหน้า “สมกับที่เป็นกองกำลังของนักพรตโยวหยา ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญเขตพลัง หรือว่าเชี่ยวชาญการตรวจตราระยะไกล ต่างก็มีฝีมือกันทั้งสิ้น”
แมลงและสิ่งมีชีวิตจักรกลเหล่านั้นต่างก็สามารถทำการตรวจตราเป็นระยะทางไกลในบริเวณรอบๆ กองกำลังได้
“ฟิ้ว”
กองกำลังเหินทะยานอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนต่างก็มิได้ทำการสำแดงพละกำลังแต่อย่างใด อาศัย ‘ฉงหมาน’ คนชุดเทาผู้นั้นควบคุมทั้งกองกำลัง นำทางทุกคนมุ่งหน้าไปเพียงอย่างเดียว
……
ตลอดทางที่เหินทะยานก็ตรวจตราพบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ไกลๆ กองกำลังของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลีกเลี่ยงเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ความเร็วในการเหินทะยานของกองกำลังนั้นบางทีก็รวดเร็วอย่างยิ่ง บางทีก็เนิบช้า และอ้อมเส้นทางบ้างเป็นครั้งคราว
ครึ่งชั่วยามแรกที่เริ่มต้นก็มิได้ประสบภยันตรายใดๆ เลย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมีความรู้สึกผ่อนคลายชนิดหนึ่ง “ตอนแรกที่ข้าเพิ่งมาถึงโลกทิพย์แห่งนี้ ถูกส่งตัวไปยังบริเวณที่ไม่ไกลจากนอกเมืองเมฆาแดงนัก ข้าสำแดงเคล็ดวิชาห้วงอากาศเหินทะยานอย่างระมัดระวัง แต่เพียงไม่นานก็เผชิญกับการโจมตี! ตอนนั้นที่ตำหนักชี้นำ ข้าก็เห็นแผนที่แล้วเช่นกัน การกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบนแผนที่นั้นช่างมีอยู่อย่างแน่นขนัดจริงๆ กระจายตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แต่เวลาผ่านมาเนิ่นนานเช่นนี้พวกเราก็ยังไม่พบเลยสักตนเดียว
ลูกน้องของนักพรตโยวหยานั้นจะต้องผ่านการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันจริงๆ”
แต่ละคนล้วนมีสิ่งที่ตนถนัด
ผู้แกร่งกล้าที่มาจากโลกต่างๆ มากมาย แต่ละคนต่างก็มีความเชี่ยวชาญของตนเอง อย่างเช่นลูกน้องของนักพรตโยวหยาและเสียฝาน อย่างต่ำสุดก็ต้องเป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! ถึงอย่างไรผู้ที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็ปาไปแปดส่วนของทั้งเมืองเมฆาแดงแล้ว
สามารถไปถึงพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ได้ ต่างก็ไปถึงระดับอันมิอาจคาดคิดจินตนาการได้บนเส้นทางของแต่ละคนแล้วทั้งสิ้น
พวกเขาถึงขนาดที่ล้ำเลิศในด้านใดสักด้านมากกว่าเจ้าเมืองสามท่านเสียอีก!
“พี่ใหญ่เสียฝาน คราวนี้เป็นกองล่าสังหารที่นักพรตโยวหยาจัดตั้งขึ้น มีลูกน้องของเขากับพวกเราอยู่ ภยันตรายโดยทั่วไปก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสำหรับพวกเราเลย! คิดอยากจะคิดบัญชีกับเจ้าหิมะเหินผู้นั้นก็ยังยุ่งยากอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ”
“วางใจเถิด เป้าหมายของโยวหยาในครั้งนี้คือ ‘งูอลหม่านไร้หม่น’ เป็นสถานที่อันตรายอย่างที่สุด ดังนั้นเขาจึงกำหนดจำนวนขั้นต่ำของกองกำลังในครั้งนี้อยู่ที่ห้าสิบคน! เพราะว่าหากน้อยเกินไปแล้วเขาก็ไม่มีความมั่นใจ” เสียฝานผ่อนคลายอีกทั้งยังมั่นใจในตนเอง “รอให้ถึงยามที่ภยันตรายมาถึงจริงๆ แล้ว พวกเราก็เพียงแค่ต้องผลักดันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน ด้วยกำลังของตนเพียงแค่คนเดียว พลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์นึกอยากจะมีชีวิตรอดจากการล้อมโจมตีของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างนั้นหรือ หึหึ”
“ถูกต้อง ระหว่างเส้นทางไปกลับมีโอกาสมากมาย โดยเฉพาะการล่าสังหารงูอลหม่านไร้หม่นเองก็อันตรายอย่างใหญ่หลวงอยู่แล้ว หิมะเหินผู้นี้เคราะห์ดีรอดจากภยันตรายได้ครั้งสองครั้ง ก็ไม่มีทางรอดต่อไปได้ทุกครั้งหรอก เขาต้องตายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว”
“กองกำลังที่มีเจตนาจะไปล่าสังหารงูอลหม่านไร้หม่นเช่นนี้เขายังกล้าเข้ามา ถ้าหากข้าเป็นเขา หากระมัดระวังตัวมากพอก็จะเข้าร่วมกองกำลังที่เพียงแค่ล่าสังหารอยู่ใกล้ๆ ด้านนอกเมืองเท่านั้น”
เสียฝานกับคนกลุ่มหนึ่งพากันวิพากษ์วิจารณ์
อ้างอิงจากแผนการของเสียฝาน
อาหารที่จะได้รับจากการล่าสังหารในครั้งนี้ล้วนเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการยืมมือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง ขอเพียงแค่ทำได้สำเร็จ เสียฝานโกรธเกลียดก็เป็นด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือพวกเขาต่างรู้ดีว่าตงป๋อเสวี่ยอิงครอบครองซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อยู่หกร่างเป็นอย่างน้อย ราคานี้ช่างสูงลิบลิ่วยิ่งนัก
“เขาต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว”
……
“ดูท่าทางคราวนี้หิมะเหินผู้นี้ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว” ผู้บำเพ็ญเอกเทศคนอื่นๆ ในกองกำลังจำนวนหนึ่งลอบทอดถอนใจ
“กล้าล่วงเกินเสียฝาน เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย”
“แต่พอเขาตายไป สมบัติล้ำค่าที่เขาเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงเวลานั้นก็ต้องนับเป็นของรางวัลของทั้งกองกำลัง ได้ยินว่าอย่างน้อยก็ต้องมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อยู่ถึงหกร่างเลยทีเดียว ถึงเวลานั้นพอแบ่งส่วนกันแล้ว พวกเราก็จะได้รับส่วนแบ่งไม่น้อยเลย” ผู้บำเพ็ญเอกเทศเหล่านี้ก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง ซากศพหกร่างรวมกันขึ้นมาแล้วก็สามารถเทียบได้กับอาหารที่หล่อเลี้ยงผู้บำเพ็ญคนหนึ่งได้หนึ่งแสนล้านปี ถึงแม้ว่าทุกคนในกองกำลังจะแบ่งส่วนกัน ทุกคนก็จะยังได้รับส่วนแบ่งมากมายอยู่ดี
ผู้บำเพ็ญเอกเทศเหล่านี้มิได้ผ่านวารวันมาเป็นอย่างดีสักเท่าใดนัก
พวกเขาก็มิได้มีไมตรีอันใดกับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ย่อมยืนดูอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงตายตกไปอย่างมีความสุข แล้วให้พวกเขามาแบ่งสรรปันส่วนสมบัติล้ำค่ากัน
……
“หิมะเหิน เขากล้าทำเช่นนี้ คงจะมีหลักประกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว” ‘นักพรตโยวหยา’ ผู้เป็นเพียงคนเดียวในกองกำลังที่สามารถเทียบเคียงกับเสียฝานได้มองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่ง มาถึงพลังยุทธ์ระดับนักพรตโยวหยา สายตาก็ย่อมไม่เหมือนกันแล้ว เขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือบางอย่าง ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงมีเคล็ดวิชาที่เป็นหลักประกันอันแข็งแกร่งบางอย่างอยู่จริงๆ ความช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านี้ก็คุ้มค่าเหลือเกินแล้ว
นักพรตโยวหยาเป็นคนเช่นนี้ ทั้งยังดีต่อผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
“โยวหยา ระวัง มีมังกรมดฝูงหนึ่งที่รู้สึกถึงกองกำลังของพวกเราได้แล้ว แล้วกำลังบุกเข้ามา” คนชุดเทาถ่ายเสียงพูด
“มังกรมด มีสักกี่ตนกัน” นักพรตโยวหยาถามไถ่
“ที่บุกเข้ามาในตอนแรกสุดมีอยู่แปดสิบหกตน นอกจากนี้ไกลออกไปยังมีมังกรมดกำลังมุ่งหน้ามาเพิ่มขึ้นอีก” คนชุดเทาถ่ายเสียงพูด
“เฉิงอวี่” นักพรตโยวหยาออกคำสั่ง “นำทางทุกคนอย่างสุดกำลัง”
“ขอรับ”
บุรุษเขาโค้งสีฟ้าที่มีผิวหนังสีเทาผู้มีความเร็วมากที่สุดในกองกำลังของนักพรตโยวหยามีชื่อว่า ‘เฉิงอวี่’ รับคำสั่ง ปลดปล่อยพลังออกมาในทันที เห็นเพียงแค่พลังสีเทาขมุกขมัวระเบิดออกมาจากบริเวณรอบกายเขาในทันใด ห่อหุ้มคนในกองกำลังทั้งห้าสิบเอ็ดคนเอาไว้
จากนั้น
ปัง!
กองกำลังที่พลังสีเทาขมุกขมัวนี้ห่อหุ้มเอาไว้ พุ่งอย่างฉับพลันด้วยความเร็วสูง พุ่งเร็วกว่าสามเท่าเสียด้วยซ้ำ
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์โดยรอบกะพริบวาบขวับๆๆ อย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการเคลื่อนที่ของกองกำลังพุ่งสูงอย่างฉับพลัน จึงอดที่จะตกตะลึงมิได้
“ทุกท่าน พวกเราถูกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่อยู่ใกล้ที่สุดค้นพบเข้าเสียแล้ว จะต้องเคลื่อนที่โดยเร็วที่สุด” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงพูด
“ถูกค้นพบแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ต้องสลัดให้หลุดโดยเร็วที่สุด”
“เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นชนิดใดกันที่ค้นพบ”
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากมิได้ตื่นตระหนก เพราะต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเมฆาแดงมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว ออกมาล่าสังหารก็หลายครั้ง ประสบกับภยันตรายอยู่บ่อยๆ จนเคยชินกันไปเสียแล้ว ถึงแม้จะสู้จนตัวตาย ก็หมายความเพียงแค่ว่าพวกเขาล้มเหลวในการไขว่คว้าบนเส้นทาง ‘วิถีคละถิ่น’ เท่านั้น ตอนนั้นเลือกที่จะไปจากบ้านเกิด มาถึงยังสถานที่ที่ถูกขนานนามไปต่างๆ นานาว่า ‘โลกแห่งความสิ้นหวัง’ หรือ ‘โลกแห่งการเนรเทศ’ หรือ ‘โลกแห่งความอยู่รอด’ แห่งนี้ ก็ย่อมต้องเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
หากไม่ประสบความสำเร็จ
ก็ต้องล้มลงบนเส้นทางสายนี้ในท้ายที่สุด
“มังกรมดสกัดกั้นอยู่ข้างหน้า พี่ใหญ่โยวหยา จะบุก หรือว่าจะวนรอบไปเล่า”
“บุก”
นักพรตโยวหยาออกคำสั่งในทันใด “มังกรมดทั้งฝูงใหญ่โตอย่างยิ่ง อีกทั้งตอนนี้ยังค้นพบพวกเราเข้าแล้วด้วย พวกเราวนรอบไป เกรงว่าจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่”
เขาทำการตัดสินใจโดยอิงจากสถานการณ์ที่ลูกน้องตรวจพบ
เพียงไม่นาน…
ทั้งกองกำลังของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นว่าด้านหน้ามีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนแล้วตนเล่าปรากฏตัวขึ้น ผู้แกร่งกล้าที่ถูกบรรดาผู้บำเพ็ญเมืองเมฆาแดงเรียกชื่อว่าเป็น ‘มังกรมด’ นั้นมีรูปลักษณ์คล้ายกับมดปลวกแต่มันมีหางที่ทั้งยาวทั้งแหลมคมเส้นหนึ่ง หางของมันเป็นส่วนที่มีพลังการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นที่สุดในร่างกาย มังกรมดนี้… เอาชนะด้วยจำนวน อ้างอิงจากข้อมูล ที่อาณาบริเวณรกร้างโดยรอบ มีมังกรมดอาศัยอยู่ทั้งสิ้นอย่างน้อยหนึ่งแสนตัว! ถึงขนาดที่มี ‘มังกรมด’ ระดับชีวิตคละถิ่นระดับสูงถูกคุมขังอยู่ตนหนึ่งด้วย
เพราะว่ากระจายตัวกันอยู่ทั่วดินแดนรกร้าง
ที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะเผชิญหน้า ก็มีเพียงแค่ไม่กี่สิบตัวตรงหน้านี้เท่านั้น
“จำเอาไว้ให้ดี ไม่จำเป็นต้องฆ่า ขอเพียงแค่สลัดให้หลุดไปโดยเร็วที่สุดก็พอ” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงออกคำสั่ง
ปัง!
มังกรมดฝูงใหญ่ฝูงหนึ่ง ที่ตัวเล็กหน่อยก็มีความสูงราวๆ ร้อยเมตร ส่วนหางก็ยาวถึงสามร้อยเมตร ส่วนที่ตัวใหญ่ที่สุดกลับมีความสูงถึงหนึ่งพันเมตร ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งก็มิปาน พวกมันแต่ละตัวบุกสังหารเข้ามาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่งหาใดเปรียบ
ณ โลกทิพย์แห่งนี้
ถึงแม้ว่าบรรดาผู้บำเพ็ญจะล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่บรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็มิได้ไว้ไมตรีต่อผู้บำเพ็ญเช่นเดียวกัน
“ปึง” บรรดามังกรมดปะทะเข้าด้วยกันกับกองล่าสังหารกองนี้ เคล็ดวิชาต่างๆ นานาพลันระเบิดสำแดงออกมาในทันใด อย่างเช่นกองกำลังใต้บังคับบัญชาของนักพรตโยวหยา และกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเสียฝาน ต่างก็ผสานรวมกันได้เป็นอย่างดียิ่ง นักพรตโยวหยายังนับว่ามีเมตตา เคล็ดวิชาเขตพลังที่สำแดงก็ยังคุ้มครองผู้บำเพ็ญเอกเทศและตงป๋อเสวี่ยอิง
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลย” เสียฝานได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เหลือบมองนักพรตโยวหยาที่อยู่ห่างออกไปปราดหนึ่งพลางเอ่ยพึมพำ “เจ้าก็ช่วยเหลือเขาได้เพียงชั่วครู่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสามารถแบ่งพลังมาคอยช่วยเหลือเขาได้ตลอดทั้งทางไปกลับ”
……………………