Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 18 ปะทุ! หวนคืน!
ในสถานการณ์คับขัน ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสกัดกั้นอย่างยากลำบาก หอกยาวเล่มหนึ่งสำแดงออกมาจนถึงขีดสุด
ปัง!
หัวที่แข็งแกร่งราวหินผาของงูอลหม่านไร้หม่นกระแทกเข้ามาราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงกระเด็นถอยหลังไป กระดูกในร่างกายหักไปสามชิ้น โลหิตสดๆ พุ่งออกมา ทว่าจากนั้นร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว
“นี่ต่างหากจึงจะอันตรายพอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงบ้าคลั่งไปแล้ว
ออกมาครั้งนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับมังกรมารพิษ สถานการณ์ของเขาก็อันตรายมาก ในครั้งนั้นก็ได้เคี่ยวกรำวิถีหอกไปรอบหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าแม้การก้มหน้าก้มตาฝึกฝนของตนจะทำให้วิถีอากาศยกระดับขึ้นมา แต่ในการห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตายก็ยังคงพบปัญหาบางอย่าง
และยามนี้สถานการณ์ก็เลวร้ายมากยิ่งขึ้น! ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสู้สุดชีวิตนั้น ก็พบปัญหาของวิถีอากาศ
คิดจะบรรลุถึง ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่บรรลุถึงขีดจำกัดที่ต่ำกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่น วิถีหอกที่แฝงไว้ด้วยวิถีอากาศต้องบรรลุขีดจำกัดด้วยเช่นกันจึงจะถูกต้อง!
ทำให้วิถีหอกสมบูรณ์…
ทำให้กายหยาบสมบูรณ์…
อันที่จริงล้วนแต่เป็นการยกระดับของวิถีทั้งสิ้น!
เพียงสามชั่วลมหายใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าสู้ต่อไปแล้ว
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาการบาดเจ็บสาหัสเกินไป เกรงว่าคงจะมิอาจคงสถานะระดับยอดไว้ได้นานนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
“ปะทุออกมาเถิด กายหยาบที่แข็งแกร่งที่สุด!”
“ต่อสู้อย่างสุดกำลัง ลองดูใหม่ พิสูจน์วิถีหอกของข้า”
ตู้ม!
กลิ่นอายร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันปะทุขึ้นมา
……
เสียฝานสกัดกั้นงูอลหม่านไร้หม่นไปพลาง จับตามองด้านตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง “ฮ่าฮ่า ถูกเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง แม้วิถีหอกจะไม่เลว แต่ภายในชั่วจอกชาหนึ่งเขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน!”
จากนั้น
ตู้ม!
“อะไรกัน” เสียฝานมองดูด้วยความตกตะลึง
ยามนี้ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทุขึ้นมาจนสูงราวสิบเมตร! ผิวหนังทั้งร่างเปล่งแสงสีเทารำไรออกมา ตอนแรกยังดูหล่อเหลา ยามนี้กลับใหญ่โตบึกบึนขึ้นมา กลิ่นอายก็ยิ่งใหญ่บ้าคลั่ง!
กลิ่นอายนี้แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับเสียฝานแล้วก็แตกต่างกันไม่มากสักเท่าใดนัก
“ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ” เสียฝานตกใจ “ไม่ กลิ่นอายของเขาดุเดือดและไม่เสถียรเอาเสียเลย! น่าจะยังมิได้บรรลุถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างแท้จริง แต่ก็สามารถปะทุขึ้นมาถึงระดับนี้ได้อย่างพอถูไถ”
คงกายหยาบระดับนี้ไว้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ทันใดนั้นขาข้างหนึ่งก็ก้าวข้ามธรณีประตูมา!
“ไสหัวไป!” วิถีหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงฟาดลงไป มิติชั้นแล้วชั้นเล่ารายล้อมอยู่ ก่อนจะตะปบลงบนหัวศิลาของงูอลหม่านไร้หม่นด้านข้างตัวหนึ่ง โจมตีเสียจนงูอลหม่านไร้หม่นตัวนั้นลอยกระเด็นออกไป
หลังจากกายหยาบปะทุขึ้นมา
ในฐานะผู้ที่รับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ พลังวิถีอากาศของเขาสามารถคงอยู่ในระดับเดียวกับพวกเสียฝานและนักพรตโยวหยาได้เป็นช่วงสั้นๆ!
“ปัง” “ปัง” พลังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ย่อมสามารถโจมตีงูอลหม่านไร้หม่นสามตัวให้ถอยไปได้อย่างง่ายดาย! ด้วยพลังระดับตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ หากจะพัวพันเขาเอาไว้ เกรงว่าคงจะต้องให้งูอลหม่านไร้หม่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์แปดเก้าตัวร่วมมือกัน
“สุขสราญนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงวิถีหอกออกมาตามอำเภอใจ
วิถีหอกอย่างเดียวกัน
หลังจากกายหยาบแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว อานุภาพที่สำแดงออกมาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
……
เสียฝานและคนอื่นๆ ทั้งสิบหกคนต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด
“มิน่าเล่า มิน่าเขาจึงกล้าไม่เห็นแก่หน้าข้า หลักประกันของเขาก็คือสิ่งนี้เองน่ะหรือ” เสียฝานเห็นเข้าก็ลอบพึมพำ “เฮอะ ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาไม่เสถียร กลิ่นอายก็สับสนวุ่นวายอยู่บ้าง สภาพเช่นนี้ต้องคงเอาไว้ได้ไม่นานสักเท่าไหร่เป็นแน่! รอให้ต้านไม่ไหวแล้ว ข้าจะดูสิว่าเขาจะทำเช่นไรได้อีก”
“พี่ใหญ่เสียฝาน รบกวนแล้ว! เขามีพลังเช่นนี้ ต่อให้สามารถคงเอาไว้ได้ในช่วงสั้นๆ นักพรตโยวหยาก็ต้องช่วยเขาสุดกำลังอย่างแน่นอน” บรรดาลูกมือของเสียฝานตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีเสียแล้ว
เสียฝานแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา
อันที่จริงแล้วที่ก้นบึ้งหัวใจของเขาก็เข้าใจดี
ผู้ที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์คนหนึ่ง กับผู้ที่สามารถคงพลังรบระดับยอดสุดเอาไว้ได้ในช่วงสั้นๆ…สถานะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
“หิมะเหินผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่”
“เกรงว่าพลังระดับนี้คงแตกต่างกับเสียฝานไม่มากสักเท่าใดแล้ว อย่างน้อยก็เป็นระดับเดียวกัน”
“ถูกต้อง เสียฝานต่อสู้ได้อย่างเหิมเกริมบ้าบิ่นกว่า อานุภาพเยี่ยมยอด ส่วนกระบวนท่าของหิมะเหินผู้นี้แปลกประหลาดยากเกินคาดเดามากกว่าอยู่บ้าง การต่อสู้ประชิดตัวก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน”
ผู้บำเพ็ญเอกเทศเหล่านั้นพากันมองจนตกตะลึงตาค้างไปหมด
ผู้ที่ยินดีปรีดาที่สุดในที่นั้นเห็นจะเป็นนักพรตโยวหยา
นักพรตโยวหยามองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งขยายขึ้นไปจนสูงถึงสิบเมตร หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างมิอาจควบคุมได้ “จ้าวหิมะเหินตัวดี ข้ากำลังคิดอยู่ว่าข้ากล้าไม่ไว้หน้าเสียฝานและโม่ซู จนถึงขั้นรู้ทั้งรู้ว่าเสียฝานเข้าร่วมกองออกล่า เขาก็ยังกล้ามา ที่แท้แล้วมีหลักประกันอันใดกันแน่! ที่แท้แล้วเขาสามารถปะทุพลังเช่นนี้ออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี่เอง”
“จ้าวหิมะเหิน พอจะมีวิธีโจมตีหัวพิษในปากของงูอลหม่านไร้หม่นผ่านหัวศิลาของมันหรือไม่” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงถาม
“มีสิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบ เขารู้แจ้งกระบวนท่าทางด้านวิถีอากาศที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างของศัตรูอยู่ก่อนแล้ว
“ช่วยด้วยเถิด รีบช่วยข้าสังหารงูอลหม่านไร้หม่นตัวนี้เร็วเข้า มันบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว พลังชีวิตยังเหลืออยู่สามส่วน” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงอย่างร้อนรน แม้จะเหลืออยู่สามส่วน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีโจมตีของเหล่าสหายของมันก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง อาจย่อมมิอาจเทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งกำลังปะทุขึ้นมาในตอนนี้ได้เลย
“แค่ช่วยข้าสังหารงูอลหม่านไร้หม่นตัวนี้ ข้ายินดีมอบซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ตนหนึ่งให้แทนคำขอบคุณ! ทว่า ต้องรอสักพักหนึ่งจึงจะสามารถมอบให้เจ้าได้” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงพูด
“ฮ่าฮ่า แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หอกยาวเล่มหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงย่ำอากาศไปแล้วพุ่งเข้ามาในทันใด
เนื่องจากเหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็กำลังห้ำหั่นกับงูอลหม่านไร้หม่นทั้งหลาย ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารมาตลอดทาง ก็มิได้พบเรื่องยุ่งยากมากมายแต่อย่างใด งูอลหม่านไร้หม่นแค่ตัวสองตัวก็สามารถกระแทกให้พ้นไปได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปภายในกลุ่มของนักพรตโยวหยา
“ช่วยลงมือทีเถิด”
วิธีการต่างๆ ของพวกนักพรตโยวหยายังคงดำเนินต่อไป ทั้งพันธนาการ ทั้งแทรกซึมเข้าไป
“มาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา หอกหนึ่งฟาดลงบนหัวศิลาขนาดมหึมาของงูอลหม่านไร้หม่น ยามนี้หัวศิลากำลังกลืนหัวพิษของตนเองเอาไว้ และปกป้องอย่างระมัดระวัง
วิ้ง
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกซึมเข้าไปในทันใด ก่อนจะทะลุผ่านอุปสรรคแล้วตรงเข้าไปในหัวพิษ
เสียงดังโครมคราม! อาการบาดเจ็บของงูอลหม่านไร้หม่นตัวนี้พลันสาหัสขึ้นอีก
“รีบช่วยข้าเร็วเข้า”
“ช่วยข้าที” งูอลหม่านไร้หม่นตัวนี้เปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ดี เร็วเข้าๆ ทำต่อไป” นักพรตโยวหยาเห็นเข้าก็ดีใจใหญ่ พวกเขาล้อมโจมตีได้ผลช้าเกินไป ยามนี้เมื่อบวกกับตงป๋อเสวี่ยอิง กลับได้ผลรวดเร็วขึ้นจนเห็นได้ชัด!
ปังๆๆ…
หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงฟันลงบนหัวของงูอลหม่านไร้หม่นตัวนั้นอย่างดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า มีนอยากจะหลบซ่อน หมายจะหนี แต่ก็ถูกพันธนาการเสียจนหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงเป็นฝ่ายรับการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า! ยังมีพละกำลังแปลกประหลาดบางอย่างแทรกซึมเข้าไปในหัวพิษของมันแล้วกัดกร่อนอย่างต่อเนื่อง
“ปังๆๆ!!!” ตงป๋อเสวี่ยอิงโจมตีออกไปถึงยี่สิบเอ็ดหอกต่อเนื่องกัน กลิ่นอายวิญญาณของงูอลหม่านไร้หม่นตัวนั้นสลายไปจนสิ้น ปากมหึมาของหัวศิลาคลายออก หัวพิษที่อยู่ด้านในโผล่ออกมาแล้ว หัวศิลาหดเล็กลง ส่วนหัวพิษก็ขยายใหญ่ขึ้น กลับคืนสู่ขนาดปกติดังเดิม
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” นักพรตโยวหยาดีใจใหญ่ เขาโบกมือคราหนึ่ง แล้วเก็บซากงูอลหม่านไร้หม่นที่ใฝ่ฝันตนนี้ลงไป ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงบอกผู้ร่วมกองกำลังทั้งมวล “ได้งูอลหม่านไร้หม่นมาอยู่ในมือแล้ว ทุกท่านรีบหนีกลับไปเร็วเข้า!”
“ไปเถอะ!”
“ไป!”
แต่ละฝ่ายไม่ราวีกันอีกต่อไป ต่อสู้ไปพลาง พยายามสลัดให้หลุดไปพลาง แล้วหนีไปอย่างต่อเนื่อง
ข้อดีของการสู้ไปพลาง หนีไปพลางก็คือสามารถเลือกเส้นทางหนีของตนได้เอง แล้วพยายามสลัดสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนอื่นๆ ที่ล้อมสังหารเข้ามาให้พ้นไปให้ได้
นอกจากงูอลหม่านไร้หม่นตัวที่นักพรตโยวหยาเก็บไปแล้วตนนั้น ก็ยังสังหารงูอลหม่านไร้หม่นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้อีกเก้าตัว กองออกล่าของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งนี้จึงสามารถสะบัดให้หลุดจนได้ในที่สุดก่อนจะหนีออกไปไกล
“ฮ่าฮ่าฮ่า หนีออกมาแล้ว” ยามนี้นักพรตโยวหยามีรอยยิ้มระบายทั่วหน้า อารมณ์ดียิ่งนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคืนสูรูปลักษณ์ปกติแล้ว
ยามนี้พลังชีวิตของเขาเหลือเพียงสองส่วนกว่าๆ เท่านั้น! เขาดูดซับหยกแก้วคละถิ่นก้อนแล้วก้อนเล่าลงไปแล้วฟื้นฟูกลับมาด้วยความเร็วสูงสุด เพราะถึงอย่างไรระหว่างทางกลับก็อาจจะต้องต่อสู้ได้ตลอดเวลา
“การฝึกกายคละถิ่นของข้ายังคงมีข้อบกพร่องอยู่ บัดนี้เมื่อปะทุขึ้นมา อย่างน้อยร่างกายต้องคงไว้ที่ความสูงสิบเมตรให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ นี่คือร่างกายที่เล็กที่สุดที่เขาสามารถคงเอาไว้ได้แล้ว! หากร่างกายไม่มั่นคง ก็มิอาจทำให้ร่างกายหดเล็กลงได้อีก
“เฮอะ”
เสียฝานเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งด้วยความรังเกียจเป็นอย่างมาก
เสียฝานไม่สามารถทำให้หิมะเหินผู้นี้ตายได้ เขาจึงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็เข้าใจว่า…ด้วยพลังของตงป๋อเสวี่ยอิในตอนนี้ บวกกับที่กองกำลังของพวกนักพรตโยวหยาพยายามช่วยตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสุดกำลัง พวกเขาก็ไม่มีหวังแม้แต่น้อยแล้ว
……
ขณะเดียวกับที่กองออกล่ากองนี้เดินทางกลับนั้น
ณ แม่น้ำอันกว้างใหญ่สายหนึ่ง
สัตว์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่าเดินออกมาจากแม่น้ำจนแน่นขนัดไปหมด แต่ละตัวล้วนมีกลิ่นอายระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทั้งสิ้น มีถึงห้าร้อยตัวด้วยกัน หลังพวกมันเดินออกมาจากแม่น้ำแล้ว ก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากแม่น้ำเป็นคนสุดท้าย ทั้งร่างของเขาห่อหุ้มด้วยเกราะซึ่งดูแทบจะเหมือนกับสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น เขามีดวงตาสีแดงเข้ม เมื่อสาวเท้าออกไปเหยียบอากาศ ทำเอาอากาศสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไป
บนข้อมือและข้อเท้าของเขามีโซ่ตรวนอยู่ โซ่นั้นยืดยาวออกไปกลางอากาศ
เมื่อเขาเดินออกมาจากแม่น้ำ อักขระลับสีทองบนโซ่เหล่านี้ก็เริ่มค่อยๆ สว่างขึ้นมา ตรวนก็กลายเป็นสีแดงเรื่อ อักขระลับสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างขึ้นมาเสียงดัง ฟึ่บๆๆ อานุภาพอันไร้ที่สิ้นสุดกดดันลงบนร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง
“พวกเจ้าดินแดนที่สมควรตาย ต้องมีสักวันหนึ่งที่ดินแดนใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของพวกเจ้าถูกทำลายจนสิ้นซาก เหลือแต่เจ้าดินแดนอย่างพวกเจ้าไม่กี่คนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเดียวดาย” บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หลังจากเขาเดินออกมาแล้ว ด้านหลังเขาก็มีสัตว์ประหลาดมากมายมหาศาลเดินตามออกมา พวกมันล้วนแต่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทั้งสิ้น
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหมดนับพันตัวคอยรักษาการณ์อยู่!
เห็นได้ชัดว่านี่คือนักโทษคละถิ่นออกตระเวน!
นักโทษคละถิ่นแต่ละตนต่างก็ถูกทรมานทุกวันทุกคืน วิธีเดียวที่สามารถบรรเทาความทรมานได้ก็คือการสังหารผู้บำเพ็ญ!
“เอ๊ะ”
บุรุษร่างสูงใหญ่หันขวับไปมองทางทิศหนึ่งไกลออกไป เขาได้รับสารที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นใต้บังคับบัญชาของเขาส่งมาให้ ว่ามีกองกำลังผู้บำเพ็ญกองหนึ่งอยู่ห่างออกไป
……………………