Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 2 เส้นทาง
หิวเหลือเกิน!
กระเพาะอาหารถึงขั้นเริ่มย่อยพละกำลังภายในกายตนเองแล้ว หากกายหยาบของตนถูกย่อยสลายเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก นานวันเข้าร่างกายก็คงถูกย่อยสลายจนว่างเปล่าและต้องเสียชีวิตไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบปรับเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการพังทลายของร่างกายแล้วหลอมรวมเข้ากับกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทาความหิวโหยทันทีโดยไม่สนใจสิ่งอื่น เมื่อมาถึงโลกใบนี้ เนื่องจากกฎเกณฑ์แตกต่างกัน ร่างกายของเขาจึงลดลงจากระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายในตอนแรกเหลือเพียงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น! โครงสร้างบางส่วนภายในร่างกายจึงย่อมสลายกลายเป็นพลังงานจำนวนมากเป็นธรรมดา
“ใช้กายหยาบของเจ้าฝืนต้านทาน เจ้าจะสามารถทนได้นานเท่าไหร่กันเชียว” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงที่อยู่ด้านข้างยิ้มหยัน “กายหยาบเล็กจิ๋วของเจ้า ไหนเลยจะสามารถเทียบกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอซึ่งไม่เคยหนีออกจากกรงขังมาก่อน สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดพวกนั้น…แม้จะขุดค้นพลังของตนออกมาน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเพราะปัญญาที่แสนจะธรรมดาของพวกมัน จึงเป็นเพียงระดับจักรพรรดิเทพเท่านั้น แต่พวกมันถูกบ่มเพาะและถือกำเนิดขึ้นมาในมิติคละถิ่น เลือดเนื้อทุกส่วนจึงแทบจะเทียบได้กับหยกแก้วคละถิ่นที่มีมวลเท่ากัน หากได้กินเนื้อพวกมัน จึงจะสามารถต้านความหิวได้ดีที่สุด! ดังนั้นเจ้าจะต้องรีบไปล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้โดยเร็วที่สุด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
หากพูดถึงกายหยาบ พวกเขาก็แตกต่างกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดจากแก่นแท้
เพียงแต่เพราะระดับขั้นของพวกเขาเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดตั้งไม่รู้กี่ระดับ พลังจึงจัดอยู่ในขั้นที่ทัดเทียมกัน
“เอาล่ะ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงกล่าว “เจ้ารีบเลือกสถานที่สักแห่งจากสถานที่รวมตัวทั้งห้าเถิด ข้าจะส่งเจ้าไปใกล้ๆ กับสถานที่รวมตัว…เจ้าจะต้องหนีจากจุดใกล้ๆ สถานที่รวมตัวไปให้ถึงด้านในสถานที่รวมตัวเอง”
“หนีไปให้ถึงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักได้ถึงนัยยะในคำพูดของอีกฝ่าย
“ถูกต้อง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นมีอยู่ทุกแห่งหนทั่วโลกใบนี้ แม้จะส่งเจ้าไปถึงบริเวณใกล้ๆ แต่เจ้าก็ยังอาจจะถูกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นลอบโจมตีอยู่ดี นี่คือการทดสอบที่ง่ายดายที่สุดแล้ว หากเจ้าต้านทานไม่ไหว ก็จะถูกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสังหารและกลืนกินไป! เช่นนั้นแล้ว เส้นทางการบำเพ็ญของเจ้าก็จะสิ้นสุดลงแล้ว เจ้ามาถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ด้วยความยากลำบาก ทั้งยังมาถึงโลกใบนี้ได้ คงจะต้องไม่ยอมตายไปเช่นนี้หรอกกระมัง” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “ไม่ยอมจำนน ก็เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน หากเจ้าจะให้ข้าส่งตัวไป ข้าก็จะส่งไปทันที”
“ข้าสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าใดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ฟ้าจวนจะมืดแล้ว” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงมองไปด้านนอก “รอจนฟ้าสว่างอีกครั้ง ข้าก็จำเป็นต้องส่งเจ้าจากไปแล้วล่ะ”
“ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขานั่งขัดสมาธิลงไปทันทีโดยไม่สนใจอะไรอื่นอีก พยายามฟื้นฟูพลังกลับมาโดยเร็วที่สุด
เมื่อฟ้าสว่างอีกครั้ง ก็ต้องจากไปแล้วหรือ
คิดจะให้การฝึกกายคละถิ่นเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ คิดจะคงระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ให้ได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาแปดปีสิบปี เวลาน้อยนิดเท่านี้ย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน
ทว่า ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ด้วยระดับขั้นวิถีอากาศของตนทุกวันนี้ จะคิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาที่เหมาะสมกับกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ขึ้นมา ก็คงมิใช่เรื่องยาก มีหวังจะสำเร็จได้ก่อนฟ้าจะสว่าง! ขอเพียงคิดค้น ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ขึ้นมาได้ ความสามารถในการเอาตัวรอดของตนก็จะเพิ่มขึ้นมาแล้ว
“แคว่ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาโบกมือคราหนึ่ง อากาศก็เกิดระลอกขึ้นมา ถึงขั้นมองเห็นผนังเยื่อของโลกได้รางๆ โลกภายนอกมีพลังคละวิถีโหมซัด และมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวราวกับโซ่อย่างไรอย่างนั้น โซ่อักขระลับแน่นขนัดสายแล้วสายเล่า…ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องหยุดหายใจ เขารู้สึกว่ามิอาจต้านทานได้
มิใช่ระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “ค้นคว้าอากาศหรือ หรือว่าเจ้าอยากจะค้นคว้าศาสตร์การทะลุอากาศหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเขาด้วยความงุนงง
“เจ้าอย่าพยายามอีกเลย ผู้แกร่งกล้าจากโลกต่างๆ มากมายบินทะยานมาถึงโลกแห่งนี้ พลังต่ำที่สุด โดยทั่วไปก็เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงกล่าว “ในจำนวนนั้นมีผู้บำเพ็ญสายโลหิตอยู่ด้วย และก็มีผู้ที่รู้แจ้งวิถีเช่นกัน และมีผู้ที่หลอมแปรฟ้าดินด้วย…เส้นทางการบำเพ็ญชนิดต่างๆ มีอยู่มากมาย ผู้ที่เชี่ยวชาญศาสตร์การเคลื่อนที่ชนิดต่างๆ ล้วนมีทั้งนั้น! แต่ในโลกทิพย์แห่งนี้มิอาจทะลุอากาศได้หรอก!”
บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงส่ายศีรษะ “ผู้ใดก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น! เมื่อเทียบกันแล้ว การสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นยังง่ายกว่าเสียอีก”
“มิอาจทะลุผ่านได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนี้
โลกใบนี้ก็อันตรายแล้ว หากถูกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหลายล้อมโจมตีขึ้นมา จะหนีก็หนีได้ยากมาก
“ในโลกหลายแห่งของพวกเจ้า มิได้เรียกว่าที่นี่เป็น โลกแห่งการเนรเทศ’ และ ‘โลกแห่งความสิ้นหวัง’ หรอกหรือ หากสามารถทะลุอากาศได้ ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเรียกได้ว่าเป็นโลกแห่งความสิ้นหวังเล่า” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดพลางหัวเราะฮิฮิ
……
แม้วิญญาณอาวุธของวังแห่งนี้จะพูดเช่นนี้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงนั่งขัดสมาธิลองดูอยู่ตรงนั้น
หลังจากลองดูอยู่หนึ่งชั่วยาม ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มั่นใจว่า อีกฝ่ายมิได้พูดปด
“เป็นแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “การกดดันด้านต่างๆ เช่นแรงดึงดูดนั้นแข็งแกร่งกว่าโลกอสนีบาตก่อนหน้านี้เป็นพันเท่า อากาศก็ปิดผนึกจนมิอาจทะลุผ่านได้เลย”
ก่อนหน้านี้ในโลกอสนีบาต วิธีจำพวกการเคลื่อนที่ในพริบตา และการเคลื่อนย้ายต่างๆ ล้วนแต่ถูกกดดันทั้งสิ้น บัดนี้ในโลกใบนี้ แม้แต่ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกายังไม่มีหวังเลย
หยวน…ส่งตนมายังโลกที่โหดร้ายขึ้นทุกทีๆ
“ข้าชอบเรียกโลกใบนี้ว่าโลกทิพย์มากกว่า” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพึมพำอยู่ข้างๆ “สำหรับเจ้าและคนอื่นๆ แล้ว แม้จะอันตรายกว่ามาก แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาส! สิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนมากราวมหาสมุทรก็ถือเป็นโอกาสของพวกเจ้า คว้าโอกาสเอาไว้ให้ดีเถิด จะมีหวังสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น,ได้ ที่นี่เป็นโลกแห่งความสิ้นหวังของพวกเจ้า แต่ก็เป็นสถานที่ในการบำเพ็ญที่ดีเช่นกัน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางค้นคว้าการฝึกกายคละถิ่นอย่างสุดกำลัง
ฟ้ามืดแล้ว…
เมื่อความมืดมิดของยามราตรีผ่านพ้นไป ฟ้าก็สว่างขึ้นมา
“ควรไปได้แล้ว” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงก็เอ่ยว่า “เลือกสถานที่รวมตัวมาแห่งหนึ่งเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นแล้วลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เวลาสั้นๆ เพียงคืนเดียว การฝึกกายคละถิ่นนั้นก้าวหน้าน้อยเสียจนสามารถมองข้ามไปได้
“ผู้ที่เหินทะยานมาถึงโลกใบนี้ในครั้งก่อนเลือกสถานที่รวมตัวแห่งไหนหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามด้วยหัวใจเต้นรัว
“ครั้งก่อนหรือ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “เป็นเมืองเมฆาแดง”
“เช่นนั้นข้าก็ไปยังเมืองเมฆาแดงก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
เป็นไปได้มากว่า
ผู้ที่มาถึงโลกใบนี้ในครั้งก่อนจะเป็นจักรพรรดิเป่ยเหอ!
เนื่องจากจักรพรรดิเป่ยเหอคนหนึ่งมาก่อน คนหนึ่งมาทีหลัง มิได้แตกต่างกันมากสักเท่าใดนัก
“ได้” บุรุษอาภรณ์ดำร่างผอมสูงโบกมือคราหนึ่งแล้วปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ “ไปเถิด หวังว่าเจ้าจะสามารถรอดชีวิตในโลกใบนี้ได้นานหน่อย”
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าอากาศเลือนรางไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกกครั้งก็ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งร้างแห่งหนึ่ง
รอบด้านมีพงหญ้าขึ้นรกไปหมด หญ้านั้นสูงกว่าคนเสียอีก
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอยขึ้นมาเล็กน้อย ลอยขึ้นมาจนสูงกว่าหญ้ารอบด้าน แล้วทอดสายตามองออกไปไกล
ด้วยสายตาของเขา เพียงแวบเดียวก็เห็นว่าเยื้องไปทางซ้ายด้านหน้ามีตัวเมืองอันใหญ่โตอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือสถานที่รวมตัวเพียงหนึ่งในห้าแห่งของ ‘โลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญ’ แห่งนี้
“ต้องรีบไปให้ถึงเมืองแห่งนั้นเสียก่อน ฟังที่วิญญาณอาวุธผู้นั้นพูด เกรงว่าคงจะมีผู้ที่เหินทะยานมาถึงโลกใบนี้ ยังไปไม่ถึงสถานที่รวมตัวก็สิ้นใจเสียแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ได้ยินมาว่าผู้ที่เหินทะยานมาถึงโลกใบนี้ โดยทั่วไประดับต่ำสุดก็เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว! เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนถึงขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่งแล้ว และมาที่นี่เพื่อใฝ่หาเส้นทางการบำเพ็ญระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก
“ต้องระวังหน่อย”
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บงำกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิง เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ มุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของเมืองแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
เงาร่างของเขาหลอมรวมเข้าไปในอากาศ จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
“เป็นแรงกดดันที่แข็งแกร่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ แรงกดดันแข็งแกร่งเกินไป ความเร็วในการบินทะยานของเขาช้ากว่าตอนที่อยู่ในโลกอสนีบาตอยู่ขุมใหญ่! ก้อนหินทั่วๆ ไปสักก้อนหนึ่งในโลกอสนีบาต เทพแท้ก็ยังยกไม่ขึ้น แต่แรงดึงดูดของที่นี่ยังมากกว่านับพันเท่า
“ฟึ่บ”
ทันใดนั้นเงารางสายหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ลอยขึ้นมา แล้วจ้องมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก “ถูกพบเข้าแล้ว”
เขาเก็บงำกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิง หลอมรวมเข้าไปในอากาศ แต่ก็ยังคงถูกพบเข้าอยู่ดี
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาสำแดงบริเวณเขตลวงออกมาทันที เมื่อเทียบกับ ‘บริเวณอากาศ’ แล้ว กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่า! บริเวณแผ่คลุมออกไป เพียงเพื่อสำรวจตรวจดูเท่านั้น มิได้สำแดงการโจมตีออกมา
“สวบๆๆ…”
บริเวณเขตลวงครอบคลุมพื้นที่ใหญ่มาก เป็นบริเวณถึงล้านลี้เลยทีเดียว
เมื่อปกคลุมไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า นอกจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้นที่กำลังจับจ้องตนอยู่ไกลออกไปแล้ว ขณะนี้ในบริเวณนับล้านลี้ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตัวแล้วตัวเล่ากำลังเร่งมาทางนี้อย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนอื่นๆ แล้วค่อยเข้ามายังขอบเขตพลังเขตลวงของตน!
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
พวกมันล้วนมีร่างกายกึ่งโปร่งแสง บนร่างมีลายจุดสีม่วงจุดแล้วจุดเล่าอยู่ ร่างกายแทบจะมีเงารางและกฎเกณฑ์แห่งความตายปรากฏขึ้นมาทั่วทุกหนแห่ง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซึ่งเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านเงามืดและความตาย กลิ่นอายของพวกมันมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอต่างๆ กันไป ในจำนวนนั้นผู้ที่แข็งแกร่งก็พอจะเทียบกับ ‘จักรพรรดิเทพหงส์อัคคี’ ได้ นอกจากนี้ ลำพังแค่บริเวณเขตลวงของตน ก็พบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นถึงห้าสิบสามตนด้วยกัน และคาดว่าในจำนวนนั้นมีระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ถึงสิบหกตนด้วยกัน!
“เจ้าเล่ห์นัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงขวัญผวาจนสั่นสะท้าน “มันกำลังเรียกรวมตัวเพื่อนของมันหรือนี่ ทั้งยังน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเผ่าเดียวกัน กำลังพุ่งเข้าไปในเขตลวงของตนอย่างต่อเนื่อง
“ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“ฆ่ามัน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานหนีอย่างรวดเร็วไปพลาง ขณะเดียวกันก็สำแดงกระบวนสังหารที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาทันทีโดยไม่กล้ารอช้า
………………………