Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 20 โลกลวงมาเยือน!
“ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ไยจึงพบฝูงผู้ล่าฝูโม๋ที่ใหญ่โตเช่นนี้เข้าได้เล่า”
“แปดร้อยยกว่าตน ในจำนวนนั้นมีตั้งหกร้อยกว่าตนที่เป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์หรือ สัดส่วนของระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์มีมากเกินไปแล้ว!”
“เคราะห์ร้ายเกินไปแล้ว”
“พวกเราไปปะทะกับฝูงผู้ล่าฝูโม๋ที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้เข้าจนได้”
กองกำลังหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุด
ทุกคนต่างก็ร้อนรนไปหมด และรู้สึกไม่อยากจะเชื่อตาตนเองเลย! เพราะการจะพบฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้ช่างหาได้ยากนัก โดยทั่วไปแล้วจะต้องเป็นสถานที่ที่ใกล้กับถิ่นของ ‘นักโทษคละถิ่น’ จึงจะเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างใหญ่มารวมตัวกัน! ตลอดเส้นทางที่พวกเขาบินมา ล้วนแต่เตรียมการอย่างรอบคอบนักให้ห่างจากถิ่นของนักโทษคละถิ่นมาก!
ยามนี้
ผู้บำเพ็ญภายในกองออกล่ากองนี้กลับไม่รู้ว่า พวกเขาพบ ‘นักโทษคละถิ่น’ ผู้นี้ออกตระเวนพอดี
และบังเอิญบริเวณที่นักโทษคละถิ่นออกตระเวน…ก็อยู่ค่อนข้างใกล้กับพวกเขา จึงเตรียมการอย่างรวดเร็ว
หากนักโทษคละถิ่นตนนั้นอยู่ในถิ่นของมัน ก็จะอยู่ห่างกันไกลลิบลับ! ต่อให้ได้ข่าวแล้วเร่งเดินทางมาก็ไม่มีทางทันการ
“ทุกท่าน อย่างกังวลใจไป พวกเราพบผู้ล่าฝูโม๋แปดร้อยกว่าตนนั้นก่อนล้วงหน้า พวกมันยังอยู่ห่างจากเราค่อนข้างมาก! พวกเรารวดเร็วกว่าพวกมัน อีกไม่นานนัก ก็จะสามารถสลัดพวกมันทิ้งได้แล้ว! พวกมันไม่มีทางสัมผัสรับรู้พวกเราได้เลย” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงบอก
“อื้ม”
“พวกเรารีบ รีบสลัดพวกเขาทิ้งให้เร็วที่สุดเถอะ”
แม้จะยังอยู่ห่างกันมาก แต่หากไม่สลัดทิ้ง ก็มิอาจวางใจได้เลย
เพราะหากไล่ทันขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเป็นหายนะอันเร่งด่วนแล้ว!
……
แต่ราวกับว่าโชคชะตาของผู้บำเพ็ญไม่ค่อยดีนัก เพิ่งจะหนีรอดมาได้ไม่นานเท่าไหร่
“ไม่ดีแล้ว ข้างหน้ามีฝูง ‘เทพศิลาขาว’ อยู่ฝูงหนึ่ง ‘เทพศิลาขาว’ กว่าสองร้อยตนพบพวกเราเข้าแล้ว” ยามนี้บุรุษเกราะทองท่าทางเยียบเย็นกลับเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“อะไรนะ เทพศิลาขาวหรือ” นักพรตโยวหยาตกใจใหญ่
“คาดว่ามีระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์อยู่กว่าครึ่ง” บุรุษเกราะทองท่าทางเยียบเย็นพูดเสริม
นักพรตโยวหยาร้อนใจหาใดเปรียบ
เทพศิลาขาว…หากว่ากันรายตัว ก็แข็งแกร่งกว่าผู้ล่าฝูโม๋เสียอีก! เทพศิลาขาวตนหนึ่งสามารถสู้กับผู้ล่าฝูโม๋ระดับเดียวกันได้สองตน
บัดนี้เทพศิลาขาวสองร้อยกว่าตน หากพูดถึงพลังแล้วก็ไม่แพ้กองกำลังออกล่าของพวกเขากองนี้เลย
“เทพศิลาขาวกำลังบุกเข้ามาทางด้านหน้า ผู้ล่าฝูโม๋ไล่สังหารมาจากด้านหลัง หากพวกเราเดินทางอ้อม…เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ห่างจากพวกเขาน้อยลงไปอีก” บุรุษเกราะทองท่าทางเยียบเย็นถ่ายเสียงพูด “โยวหยา นี่คือภาพตำแหน่งของเผ่าพันธุ์ต่างๆ รอบด้านที่พวกเราพบเข้าแล้ว เผ่าพันธุ์เหล่านั้นยังไม่พบพวกเราในตอนนี้”
“เอ๊ะ”
นักพรตโยวหยาไตร่ตรองภาพตำแหน่งของฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งหลายที่อยู่รอบด้านดู
บัดนี้มีสองกองกำลังที่พบพวกเขาแล้ว
กองหนึ่งอยู่ด้านหลัง เป็นฝูงผู้ล่าฝูโม๋แปดร้อยกว่าตนที่น่าหวาดหวั่นที่สุด
อีกกองหนึ่งอยู่ด้านหน้า กำลังดาหน้ามาหาพวกเขา ระยะห่างกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือเทพศิลาขาวสองร้อยกว่าตน
รอบด้านยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ยังไม่พบพวกเขา
“ฝูงผู้ล่าฝูโม๋ยังอยู่ห่างจากพวกเราค่อนข้างมาก ขอเพียงพวกเราหนีอย่างสุดชีวิต ก็มีเวลามากพอที่จะทะลุออกจากการขัดขวางของเทพศิลาขาวได้” นักพรตโยวหยาตัดสินใจทันใด
จากนั้น
นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงแจ้วสถานการณ์ให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดในกองกำลังทราบ
“อะไรกัน ยังมีเทพศิลาขาวอีกหรือ”
“ด้านหน้ามีเทพศิลาขาวสองร้อยตนหรือ”
แต่ละพากันตื่นตระหนก
สถานการณ์ครั้งนี้เลวร้ายอย่างแท้จริง
“วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือมุ่งตรงไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด! ฝูงผู้ล่าฝูโม๋ตามหลังห่างจากพวกเราค่อนข้างมาก หากพวกเราทุ่มเทสุดกำลังก็มีโอกาสโจมตีฝูงเทพศิลาขาวที่ขวางกั้นอยู่ก่อนพวกมันจะมาถึง” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงพูด
“ได้”
“พุ่งไป”
และทุกคนก็ได้รับภาพตำแหน่งของเผ่าพันธุ์ต่างๆ รอบด้านที่ค้นพบแล้วกันถ้วนหน้า และรู้ว่านี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“น้องหิมะเหิน ข้ารู้ว่าเจ้าปะทุกำลังขั้นสุดออกมาแล้วคงไว้ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก แต่เจ้าก็ต้องสู้สุดกำลังสักตั้งนะ” นักพรตโยวหยาถ่ายเสียงพูด
“วางใจเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาเป็นคนที่สงบที่สุดในกองกำลัง เพราะสำหรับเขาแล้ว นี่คือเส้นทางในการเคี่ยวกรำตนเอง! ผู้ล่าฝูโม๋แปดร้อยกว่าตนที่อยู่ด้านหลัง เขาก็มิได้รู้สึกว่าอันตรายสักเท่าใดนัก
“มาแล้ว”
“เตรียมรับศึก”
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าหากัน กองกำลังผู้บำเพ็ญและเทพศิลาขาวจึงปะทะกันอย่างรวดเร็ว
เทพศิลาขาวนั้นราวกับยักษ์ที่ทั้งร่างทำขึ้นจากศิลาสีขาว ขนาดมีทั้งเล็กและใหญ่ แต่ละตนมีรูปร่างเป็นมนุษย์ ในมือยังถืออาวุธไว้ด้วย! บ้างก็เป็นพลองศิลา บ้างก็เป็นขวานศิลา ไปจนถึงค้อนศิลาและอื่นๆ แต่ละชนิดล้วนแต่ทำจาก ‘ศิลาสีขาว’ ทั้งสิ้น
“ฆ่ามัน”
“ฆ่าผู้บำเพ็ญพวกนี้ให้ตาย” เทพศิลาขาวกว่าสองร้อยตนพากันร้องคำราม พวกมันกวัดแกว่งอาวุธขนาดมหึมาด้วยกำลังอันยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด บุกสังหารเข้ามาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิง
พวกผู้บำเพ็ญอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ปะทุออกมาอย่างเต็มที่ พวกเขาร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ บ้างก็ใช้วิธีพันธนาการจัดการกับเทพศิลาขาวเหล่านั้น บ้างก็ใช้วิธีแสนอันตรายในการโจมตี บ้างก็ใช้วิธีโจมตีร่วมกัน…กลเม็ดต่างๆ ร้อยแปดพันเก้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลายร่างเป็นยักษ์สูงสิบเมตร ผิวกายเปล่งแสงสีเทาครึ้มออกมา ยามนี้กระบวนท่าของเขารวมกันได้อย่างแปลกพิสดาร วิถีพลังที่สำแดงออกมาก็ไม่แพ้เทพศิลาขาวระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์เลย! กระบวนท่ายังพิสดารกว่าเสียอีก!
“ไป” ทำเอาเทพศิลาขาวตนหนึ่งถูกแทงกระเด็นไปไกลลิบอย่างง่ายดาย เทพศิลาขาวพลิกกายกลางอากาศคราหนึ่งก่อนร่อนลงสู่พื้น ทำเอาผืนดินสั่นสะเทือนไปหมด
“เร็วเข้าๆ รีบดิ้นให้หลุดจากพวกเขาเสีย” นักพรตโยวหยาปลดปล่อยบริเวณขาวดำออกมา แถบผ้าขาวดำกระจายตัวออกไป แล้วส่งผลต่อสภาพการณ์โดยรวมทั้งหมด!
……
ไม่นานนัก
กองกำลังผู้บำเพ็ญก็พุ่งทะลุการขวางกั้นของเทพศิลาขาวฝูงนี้ไป เมื่อพุ่งทะลุไปก็สลัดทิ้งไปและหนีไปด้วยความเร็วสูง
“ฝูงผู้ล่าฝูโม๋ด้านหลังไล่ตามเข้ามาใกล้ขึ้นแล้ว” ทุกคนในที่นั้นต่างก็ไม่กล้าย่อหย่อนเลยแม้แต่น้อย จากสถานการณ์ที่สำรวจมา ระยะห่างระหว่างพวกเขากับฝูงผู้ล่าฝูโม๋ลดลงกว่าครึ่งแล้ว
“ร่างกายนี้ของข้า คงเอาไว้ได้สั้นเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับคืนสู่ร่างปกติ พลังชีวิตก็เหลือเพียงสองส่วนเท่านั้น!
ช่วยไม่ได้
ต่อให้ร่างกายสมบูรณ์ดีแล้วสู้เต็มที่จนร่างกายสลายไปจนสิ้น กายหยาบระดับยอดสุดของเขาก็สามารถคงไว้ได้เพียงชั่วจอกชาเดียวเท่านั้น
“กายหยาบมิอาจใช้ต่อสู้ในสงครามที่ค่อนข้างยาวนานได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า
“อะไรน่ะ!!!”
“ไม่!”
สีหน้าของคนอาภรณ์เทาพลันซีดขาว สายตาเต็มไปด้วยความเดือดแค้น
แต่ละคนในกองกำลังต่างก็มองไปทางเขา แม้แต่นักพรตโยวหยาก็ยังตกตะลึงไป เขาถามไถ่ว่า “ฉงหมาน ทำไมหรือ”
“นักโทษ!” ยามนี้คนอาภรณ์เทาก็ถ่ายเสียงบอกทุกคน เขาพูดอย่างสิ้นหวังว่า “นักโทษคละถิ่น! อยู่ข้างหน้า นักโทษคละถิ่นตนหนึ่งพาผู้ล่าฝูโม๋มากว่าเจ็ดร้อยคน! เป็นนักโทษคละถิ่นของผู้ล่าฝูโม๋ ข้ารู้แล้วว่าทั้งหมดเป็นแผนร้าย แผนร้าย! คงเป็นเพราะนักโทษนั่นออกตระเวนพอดี นักโทษคละถิ่นตนนี้พบพวกเราเข้า…ดังนั้นจึงได้ส่งผู้ล่าฝูโม๋กลุ่มใหญ่มาขับไล่พวกเราจากด้านหลัง พวกเราถูกขับไล่จนต้องหนีมาตามเส้นทางที่พวกมันต้องการ นักโทษผู้นี้กลับนำผู้ใต้บังคับบัญชามาดักที่อีกทางหนึ่งแล้วบุกสังหารเข้ามา หมดกัน หมดกัน”
ภายในกองกำลังเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ทุกคนพากันตะลึงงันไป ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ตลอดเส้นทางการบำเพ็ญของข้า จากดาวเคราะห์บ้านเกิดมาทีละก้าวๆ จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของจักรวาล ถึงขั้นกระโดดออกจากพันธนาการของจักรวาล…ขึ้นมาทีละก้าวๆ จวบจนวันนี้ ตลอดเส้นทางก็ได้เห็นผู้บำเพ็ญจากอารยธรรมต่างๆ ล้มลง วันนี้ ข้าก็จะต้องล้มลงแล้วเหมือนกันหรือ” ชายชราสวมอาภรณ์สีทองหลวมโพรกคนหนึ่งพึมพำเสียงต่ำ
“นักโทษออกตระเวน หมดกัน”
ยามนี้ผู้บำเพ็ญจำนวนมากต่างก็คิดททบทวนตลอดชีวิตของตน พวกเขาเลือกมายังโลกใบนี้ ก็ได้เตรียมตัวตายเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
แต่เมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ ในใจของพวกเขากลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ นี่คือการออกตระเวนของ ‘นักโทษคละถิ่น’ ตนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญพบพวกเขาเข้าพอดี แล้วสร้าง ‘สถานการณ์’ ให้พวกเขา อันที่จริงแล้วเรื่องพรรค์นี้ในประวัติศาสตร์ก็มีเกิดขึ้นบ้าง เพียงแต่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! เนื่องจากทั้งโลกทิพย์ มีนักโทษคละถิ่นทั้งหมดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตามปกติแล้วก็ล้วนแต่อยู่ในรังของตนเอง
เมื่อออกจากรัง ก็จะต้องถูกลงโทษและได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้น จึงยากนักที่จะออกตระเวนสักครั้ง!
ยากนักที่นักโทษสักคนหนึ่งจะปรากฏกายขึ้นมา!
กองกำลังผู้บำเพ็ญของพวกเขาก็ต้องรวมตัวกันให้ครบ จึงจะออกล่าสักครั้ง
บังเอิญพบเข้าพอดีน่ะหรือ
ความเป็นไปได้ต่ำมาก แต่ถึงกระนั้นในประวัติศาสตร์ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว!
“โยวหยา” นัยน์ตาทั้งคู่ของเสียฝานเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาถ่ายเสียงให้โยวหยาโดยตรง “ตอนนี้มีทางรอดเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือแยกกัน! ผู้ล่าฝูโม๋ฝูงหนึ่งไล่สังหารอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าก็มีผู้ล่าฝูโม๋กว่าเจ็ดร้อยตนซึ่งนำโดยนักโทษคละถิ่น…หนึ่งฝูงอยู่ข้างหน้า หนึ่งฝูงอยู่ข้างหลัง นี่เป็นหนทางตาย! พวกเราทำได้แค่หนีออกไปสองฝั่งเท่านั้น! ด้วยจำนวนของพวกมัน หากพวกเราหนีไปด้วยกัน ก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ต้องแยกกันหนี แบ่งออกเป็นกองกำลังหลายๆ กอง ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักกองที่สามารถหนีรอดได้!”
นักพรตโยวหยามองไปทางเสียฝาน
ใช่แล้ว
แยกกันไป!
“ถึงตอนนั้นเจ้ากับข้าก็เลือกยอดฝีมือในกองกำลัง แล้วจัดตั้งเป็นกองกำลังที่มีไม่เกินสิบคน” เสียฝานถ่ายเสียงพูดต่อไป “กองออกล่าของพวกเรากองนี้ มีทั้งหมดห้าสิบเอ็ดคน หากพวกเราตั้งกองกำลังที่ไม่เกินสิบคน…เชื่อว่าผู้ล่าฝูโม๋ที่ไล่ตามพวกเราก็คงไม่มากมายอะไรนัก ในกองกำลังของพวกเรากองนี้มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดรวมตัวกันอยู่ จึงมีโอกาสที่จะหนีรอดจากความตายได้”
นักพรตโยวหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เลือกคนเหล่านั้นน่ะหรือ”
“นี่คือรายนามที่ข้ากำหนดขึ้นมา” เสียฝานส่งรายนามฉบับหนึ่งผ่านวัตถุส่งสารไปให้ทันที
“อะไรนะ ไม่มีจ้าวหิมะเหินหรือ” นักพรตโยวหยางุนงง
“พลังชีวิตของเขาเหลือเพียงสองส่วนเท่านั้น! เวลาที่เขาคงพลังรบระดับยอดเอาไว้ได้ก็สั้นมากอย่างเห็นได้ชัด พลังชีวิตก็มีแค่สองส่วน เวลาที่คงอยู่ได้ก็สั้นจนเกินเหตุ พวกเรากำลังจะหนีเอาชีวิตรอด…ก็เป็นไปได้มากว่าจะถูกไล่สังหารและพัวพันอย่างต่อเนื่อง” เสียฝานถ่ายเสียงพูด “ให้เขาอยู่ในกองกำลังอื่นเถิด กลิ่นอายของเขาปะทุออกมาอย่างสับสนมิอาจเก็บงำได้ อาจจะกลายเป็นดึงดูดความสนใจขึ้นมาได้”
ว่าไปก็เหมือนจะช้า
แต่อันที่จริงแล้วทั้งสองคนถ่ายเสียงพูดกันรวดเร็วยิ่งนัก
“รายนามนี้ข้าต้องแก้ไขสักหน่อย” นักพรตโยวหยากัดฟันแน่น รายนามมีทั้งหมดเก้าคน! เขาและเสียฝานก็ครองสองที่นั่งแล้ว เหลืออีกเพียงเจ็ดที่เท่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของเสียฝานและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาโยวหยา…ก็ต้องละทิ้งไปตั้งมากมาย ทำให้นักพรตโยวหยาโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
แต่เขาก็เข้าใจว่า นี่เป็นเส้นทางที่มีความหวังเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่าผู้บำเพ็ญพวกนี้ให้ตาย!”
“ฆ่าพวกเขาเสีย!”
ฝูงผู้ล่าฝูโม๋ด้านหน้าปรากฏขึ้นในสายตาแล้ว กำลังมุ่งเข้ามาประจันหน้า ระยะทางก็หดสั้นลงอย่างรวดเร็ว ผู้ล่าฝูโม๋ตนแล้วตนเล่าทะยานข้ามขอบฟ้ามาพร้อมร้องโหยหวน ไกลออกไปด้านหลังพวกเขามีบุรุษร่างสูงใหญ่อยู่คนหนึ่ง ข้อมือและข้อเท้าของบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นล้วนมีโซ่ตรวนล่ามอยู่ บนโซ่ตรวนมีอักขระลับสีทองปรากฏขึ้นมา ราวกับแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบกดดันบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นเอาไว้
บุรุษร่างสูงใหญ่กลับมองดูทั้งหมดด้วยสีหน้าเย็นชา เขามองเห็นผู้ล่าฝูโม๋ใต้บังคับบัญชาซึ่งเนืองแน่นไปหมดกำลังพุ่งตรงไปทางกองออกล่าที่อยู่ไกลออกไปกองนั้น
“แยกกันหนี ยังพอมีความหวังที่จะรอดชีวิตอยู่สายหนึ่ง” เสียฝานพลันถ่ายเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
เขาและนักพรตโยวหยากลับพาผู้บำเพ็ญเจ็ดคนกลายเป็นลำแสงแล้วเริ่มทะยานหนีไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“อะไรกัน”
ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ เห็นเข้าก็เข้าใจว่าพวกเสียฝานและนักพรตโยวหยาทิ้งผู้บำเพ็ญคนอื่นไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สะดุ้ง จากนั้นก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา ก็ถูกแล้ว ตนเหลือพลังชีวิตเพียงสองส่วน แม้แต่กายหยาบระดับยอดก็ยังคงเอาไว้ได้ไม่นานเท่าใดนัก
“หนี!” ผู้บำเพ็ญบางคนเลือกที่จะหนี
“สู้เต็มที่!”
“สู้เอาเป็นเอาตายสักตั้งเถอะ อาจจะเคราะห์ดีสำเร็จขั้นคละถิ่นระหว่างความเป็นความตายพอดีก็ได้” ผู้บำเพ็ญบาางคนก็ยืนอยู่ที่เดิม รังเกียจที่จะหนีไป
ผู้บำเพ็ญแต่ละคนเลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน
“น่าสนุก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเบาๆ
เขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานข้ามขอบฟ้าแล้วเข้าไปรับมือฝูงผู้ล่าฝูโม๋ที่กำลังบุกเข้ามาสังหารจากที่ไกลๆ
“โลกลวง ร่อนลงไป!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตรงหน้า แล้วยื่นมือออกไปกดเบาๆ
ตู้ม!
………………………