Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 26 งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่
ภายในตำหนักเมฆาแดง
ผู้บำเพ็ญพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ กลางอากาศภายในโถงตำหนักมีภาพช่วงแล้วช่วงเล่าปรากฏขึ้นมา นั่นก็คือภาพการต่อสู้ทั้งหมดที่พวกเขาได้ประสบมาตลอดทางไปและกลับของการออกล่าครั้งนี้! เห็นได้ชัดว่า ‘วิญญาณอาวุธของตำหนักเมฆาแดง’ นั้นสามารถตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทิพย์ได้
วิญญาณอาวุธตำหนักเมฆาแดงจะแบ่งสรรปันส่วนให้อย่างเหมาะสมตามการอุทิศตนของผู้บำเพ็ญแต่ละคน
“จ้าวหิมะเหินสามารถแบ่งสิ่งที่ได้จากการชนะศึกไปได้ห้าส่วน”
“นักพรตโยวหยา ได้รับสิ่งที่ได้จากการชนะศึกร้อยละห้า”
“เทพมารเสียฝานได้รับสิ่งที่ได้จากการชนะศึกร้อยละสี่”
“…”
เสียงของวิญญาณอาวุธสะท้อนก้องไปทั่วทั้งตำหนักเมฆาแดง
คนทั้งหมดยอมทั้งกายทั้งใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับสิ่งที่ได้จากการชนะศึกครึ่งหนึ่ง! อันที่จริงนี่ก็ถือว่าน้อยแล้ว หากพูดถึงคุณูปการของตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้แล้ว จะได้รับแบ่งสิ่งที่ได้จากการชนะศึกไปแปดหรือเก้าส่วนก็ถือว่าปกตินัก ที่ตำหนักเมฆาแดงแบ่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงห้าส่วน ก็เพราะตามกฎการแบ่งสรรของตำหนักเมฆาแดงต่อให้อุทิศตนมากกว่านี้…อย่างมากที่สุดก็ได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น!
ให้ ‘วิญญาณอาวุธของตำหนักเมฆาแดง’ แบ่งสรรปันส่วน ก็มีวิธีการแบ่งเช่นนี้เอง!
หากรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมน่ะหรือ
ในบรรดาผู้บำเพ็ญ ก็สามารถตกลงวิธีการแบ่งเองได้! ขอเพียงทุกคนเห็นด้วย ก็ย่อมทำได้อเป็นธรรมดา
อย่างครั้งก่อนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดตั้งกองกำลังออกล่า ก็ได้ประกาศให้รู้กันทั่วก่อนแล้วว่า ตนจะเอาสิ่งที่ได้จากการชนะศึกไปแปดส่วน! ที่เหลือสองส่วนก็จะให้เหล่าผู้บำเพ็ญแบ่งสรรกัน ทุกคนต่างก็ตกลงเช่นนั้น จึงย่อมทำตามที่ตกลงกันไว้ อันที่จริงแล้ว…หากตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งกองกำลังขึ้นมา อย่าว่าแต่ครอบครองแปดส่วนเลย ต่อให้ครอบครองเก้าส่วนเพียงคนเดียว เกรงว่าก็คงจะมีผู้บำเพ็ญบางคนที่เข้าร่วมด้วยความกระตือรือร้น!
“น้องหิมะเหิน นับถือท่านเจ้ามากจริงๆ การล่าครั้งนี้ ระหว่างทางที่น้องหิมะเหินไปก็มิได้สำแดงพลังออกมาเลย ทั้งยังพบอันตรายใหญ่หลวงระหว่างทางกลับ น้องหิมะเหินจึงได้สำแดงกลเม็ดออกมา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พี่หิมะเหินก็ยังได้แบ่ง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ห้าสิบสามตน’ มาอย่างง่ายดาย” นักพรตโยวหยาที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
สิ่งที่ได้จากการชนะศึกในครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์แปดสิบสองตน ทว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านี้ก็มีทั้งสูงทั้งต่ำแตกต่างกันไป เช่น ‘งูอลหม่านไร้หม่น’ ตัวหนึ่งก็เทียบเท่ากับผู้ล่าฝูโม๋ระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์สามตนแล้ว หรืออย่าง ‘เทพศิลาขาว’ ตนหนึ่งก็เทียบเท่ากับผู้ล่าฝูโม๋ในระดับเดียวกันถึงสองตน
เนื่องจากมูลค่าแตกต่างกัน
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์แปดสิบสองตน บวกกับพวกจักรพรรดิเทพช่วงท้ายและช่วงกลางที่ล่าสังหารมาได้ บวกกับอาหารที่ผู้บำเพ็ญทั้งสี่ท่านซึ่งล่วงลับไปแล้วได้ทิ้งเอาไว้ เมื่อนับรวมกันทั้งหมด ก็เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ที่ธรรมดาสามัญที่สุดหนึ่งร้อยหกตน!
ตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งไปครึ่งหนึ่ง!
“นี่ที่ตกลงกันไว้แล้วติดค้างเจ้าอยู่น่ะ” นักพรตโยวหยาโยนที่เก็บสมบัติล้ำค่าไปให้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วตรวจดู ด้านในก็คือผู้ล่าฝูโม๋ระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ตนหนึ่ง
“การออกล่าครั้งนี้ เพื่อจะให้ได้งูอลหม่านไร้หม่นมา เดิมทีข้าคิดว่ายังต้องนำอาหารที่ตนสะสมไว้ออกมาเพื่อชดเชยให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายเสียอีก” นักพรตโยวหยารำพึง “คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วไม่ใช่แค่ไม่ต้องชดเชยให้เท่านั้น แต่ยังได้เพิ่มมาอีกจำนวนหนึ่งด้วย” เขาได้สิ่งที่ได้จากการชนะศึกมาร้อยละห้าของทั้งหมด ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ราวห้าตัวกว่าๆ เมื่อหักงูอลหม่านไร้หม่นออกไป เขาก็ยังได้เพิ่มมาอีกเล็กน้อย
“มากมายนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูสิ่งที่ตนได้รับ
สิ่งที่ได้จากการชนะศึกห้าสิบสามตน นักพรตโยวหยาให้มาอีกตนหนึ่ง บวกกับที่เสียฝานมอบให้เพื่อชดใช้อีกสามตน ทั้งหมดจึงได้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์มาห้าสิบเจ็ดตนด้วยกัน
ผลประโยชน์เช่นนี้…
นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญหน้าไหนที่ได้รับมามากมายอย่างง่ายดายเช่นนี้อีกแล้ว
“อย่างพวกท่านเจ้าเมืองทั้งสาม แม้จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็แข็งแกร่งกว่าผู้แกร่งกล้าระดับยอดแค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ทักษะที่พวกเขาได้รับจากการชนะศึกก็แค่แข็งแกร่งกว่าพวกนักพรตโยวหยาไม่กี่เท่าแค่นั้นเอง”
พลังแข็งแกร่งขึ้นหลายส่วน
ได้รับอาหาร แต่ความสามารถกลับสูงขึ้นมาก ก็เพราะใบเมฆาวายุ บรรพชนงูเก้าเศียรและอูเสี่ยวล้วนแต่มีกลเม็ดอันไร้เทียมทานอย่างยิ่งในบางด้าน
“หากไม่พูดถึงพลังซึ่งหน้า ลำพังแค่อาหารที่ได้รับมา ข้าก็คงจะเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเมฆาแดงแล้วกระมัง หรืออาจจะถึงขั้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกทิพย์ก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตรวจพบข่าวหนึ่ง “เป็นพวกเขาหรือ”
ครึ่งวันมานี้ มีผู้ส่งสารมาให้ตนมากมายเกินไปแล้ว! ทั้งเหล่าผู้บำเพ็ญในกองกำลัง ทั้งผู้บำเพ็ญทั้งหลายในเมืองเมฆาแดง…
แต่ยามนี้ สามคนที่ส่งสารมาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอยอย่างเคร่งขรึม
“ท่านเจ้าเมืองทั้งสามเชิญข้าไปพร้อมกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
ในคูหาของท่านเจ้าเมืองใบเมฆาวายุ
ใบเมฆาวายุ บรรพชนงูเก้าเศียรและอูเสี่ยวจัดงานเลี้ยงขึ้นมา แล้วเชื้อเชิญผู้บำเพ็ญทั้งหมดในเมืองเมฆาแดง แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือเชิญ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นแขกหลักคนสำคัญสำหรับงานเลี้ยงครั้งนี้
“ไม่เสียทีที่เป็นจ้าวหิมะเหิน เมื่อกลับมา ท่านเจ้าเมืองทั้งสามก็จัดงานเลี้ยงให้ทันที”
“พวกเราก็ได้อาศัยใบบุญไปด้วย”
“ครั้งก่อนที่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ ก็คือตอนที่ท่านเจ้าเมืองใบเมฆาวายุและอูเสี่ยวจัดงานเลี้ยงให้บรรพชนงูเก้าเศียร”
แต่ละคนในตำหนักเมฆาแดงพูดคุยกัน
“ท่านเจ้าเมืองทั้งสามเชิญแล้ว” นักพรตโยวหยาเอ่ย “พวกเรารีบไปกันเถิด”
“อื้ม ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วเดินออกไปด้านนอก
เสียฝานก็พูดอยู่ด้านหลังว่า “ไปด้วยกันๆ”
……
ไม่นานนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ก็มาถึงคูหาของท่านเจ้าเมือง ‘ใบเมฆาวายุ’ หน้าประตูคูหามีผู้บำเพ็ญบางส่วนมาถึงก่อนแล้ว พวกเขาไม่รีบร้อนเข้าไป หากแต่พูดคุยกันอยู่เป็นกลุ่มๆ
“จ้าวหิมะเหิน”
“คารวะจ้าวหิมะเหิน”
ผู้บำเพ็ญทั้งหลายพลันเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น สายตาที่พวกเขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเร่าร้อน เพราะถึงอย่างไรสำหรับผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่แล้ว การจะ ‘เอาชีวิตรอด’ ในโลกทิพย์นั้นยากเกินไปแล้ว! อย่างสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ตนหนึ่งสามารถเป็นอาหารได้สามแสนล้านปี ระยะเวลาล้านล้านปี ก็ต้องการระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์สามสิบกว่าตนเป็นอาหาร!
จักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์นั้นยากจะสังหารได้ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจึงมักจะล่าระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางและจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ซึ่งก็ต้องอาศัยการออกล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้จำนวนครั้งมาชดเชย! เมื่อออกล่าหลายครั้งเข้า ก็มีอันตรายมากไปด้วย
หากออกไปกับตงป๋อเสวี่ยอิง ทั้งปลอดภัย ทั้งสบาย ครั้งหนึ่งอาจจะได้อาหารเพียงพอสำหรับหลายหมื่นล้านปีเลยก็เป็นได้
“นี่เพิ่งจะนานสักเท่าไหร่กันเชียว เขาก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาเสียแล้ว ท่านเจ้าเมืองทั้งสามถึงขั้นจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อเขา” จักรพรรดิเป่ยเหอยืนมองอยู่ไกลออกไป เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในคูหาท่ามกลางเหล่าผู้บำเพ็ญที่ห้อมล้อมอยู่ ในใจของจักรพรรดิเป่ยเหอซับซ้อนเป็นอย่างมาก “ส่วนข้ากลับต้องสู้สุดชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่ออาหาร”
ตลอดเวลาอันยาวนานที่เขามาถึงโลกทิพย์แห่งนี้ จักรพรรดิเป่ยเหอก็ได้ออกล่าหลายครั้ง
โดยทั่วไปแล้ว ครั้งหนึ่งก็จะได้อาหารสำหรับล้านปี! หากเคราะห์ดีจึงจะได้อาหารพอสำหรับสิบล้านปี แน่นอนว่ากองกำลังที่จักรพรรดิเป่ยเหอเข้าร่วม ก็แทบจะออกล่าบริเวณใกล้ๆ นอกเมืองเกือบทั้งหมด หากเข้าร่วมกองกำลังที่มุ่งหน้าออกไปยังที่ไกลลิบก็จะอันตรายกว่ามากทีเดียว แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับโดยทั่วไปแล้วก็มากกว่ามากมายเช่นกัน ครั้งหนึ่งก็จะได้อาหารที่เพียงพอสำหรับคงอยู่ได้หลายร้อยล้านปีไปจนถึงพันล้านปีก็เป็นเรื่องปกตินัก
แต่เมื่ออยู่ไกลออกไป ระดับความอันตรายก็สูงเกินไปแล้ว!
เช่นพวกนักพรตโยวหยาในครั้งนี้ โชคไม่ดีนักจึงได้พบกับ ‘นักโทษออกตระเวน’ เข้า เคราะห์ดีที่มีตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ จึงสิ้นใจไปเพียงสี่คนเท่านั้น หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิง เกรงว่ากองกำลังของพวกนักพรตโยวหยาก็คงต้องสูญสิ้นไปยกกอง!
“ฟิ้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอก็เข้าไปในคูหาของใบเมฆาวายุอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงสวนอันวิจิตรแห่งหนึ่งภายใต้การห้อมล้อมของเหล่าผู้บำเพ็ญ ภายในสวนแบ่งออกเป็นที่นั่งมากมาย สาวใช้หุ่นเชิดหลายคนคอยปรนนิบัติอยู่
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปไกล มีผู้บำเพ็ญสามคนกำลังยืนสนทนากันอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายของทั้งสามคนนั้นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ในที่นั้นกระจายตัวกันอยู่รอบๆ
“ท่านเจ้าเมืองทั้งสามหรือ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองไป แล้วก็สังเกตเห็นเจ้าเมือง ‘ใบเมฆาวายุ’ ก่อน
สามารถบรรลุถึงระดับครึ่งคละถิ่นบนเส้นทางความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้ก็ยากมากแล้ว นี่ยังร้ายกาจกว่า ‘เจ้าศิลา’ และ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ในโลกบ้านเกิดของเขาตั้งไม่รู้เท่าไหร่
ใบเมฆาวายุกลับมีเส้นทางถึงสองสายที่ก้าวเดินไปจนถึงระดับครึ่งคละถิ่นแล้ว ภายในโลกทิพย์แห่งนี้นั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง!
“ไม่รู้ว่าในโลกกำเนิดมากมายเท่าไหร่ หรือในโลกพิเศษมากมายแค่ไหน จึงจะมีผู้บำเพ็ญอย่างใบเมฆาวายุถือกำเนิดขึ้นมาได้สักคนหนึ่ง” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกนับถือนัก
…………………………